วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 7)

เพื่อนใหม่


ภาพจาก http://www.unicef.org                                                                           จีรวัฒน์ ครองแก้ว


ผมเก็บกระดาษเลือดแผ่นนั้นไว้ในหนังสือเล่มเดิมแล้วเดินออกจากบ้านตรงไปที่สนามเด็กเล่นเพื่อสมทบกับพวกพี่ๆ
                ยังไม่ทันที่จะข้ามถนน  สายตามก็เหลือบไปเห็นรถบรรทุกคนเดิมยังจอดอยู่  ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้
                ทุกอย่างดูเงียบกริบเหมือนไม่มีใครอยู่ไม่ว่าคนขับหรือเด็กติดรถสักคน  มีแต่เปลเชือกที่แกว่งไปมาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งจะมีคนเพิ่งลุกจากมัน
                มองหาใครไอ้หนู 
เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้ง
                ปะๆเปล่าจ๊ะ  เดินมาดูเฉยๆ บ้านผมอยู่ตรงนี้เอง 
ผมพูดพลางชี้มือไปที่บ้าน
                ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้  ร่างของเขาสูงโปร่ง  ใบหน้าคมคายได้รูปแม้จะผิวคล้ำเหมือนคนขับรถสิบล้อทุกคนที่ผมเคยเห็นแต่ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างกับแววตาที่ดูอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรมากกว่าคนขับรถสิบล้อคนอื่นๆ
                อ๋อ..แล้วเราชื่ออะไรล่ะ 
คนขับรถสิบล้อถามพร้อมกับโน้มตัวลงมาเพื่อมองหน้าผมให้ถนัดขึ้น
                ชื่อบอย 
                ข้าชื่อเมฆนะ  เรียกว่าน้าเมฆก็ได้  ข้าน่าจะอ่อนกว่าแม่เอ็งมั๊ง  เคยเห็นที่นั่งรถด้านหน้ากระบะกับพ่อเอ็งทุกวันใช่มั๊ย ?” 
ผมพยักหน้ารับ  เสียงเหน่อๆ ของเขาน่าฟังและทำให้ผมผ่อนคลายลงไปมาก  มากพอที่จะกล้าถามเขากลับไปบ้าง
                น้ามาทำอะไรที่นี่ ?” 
จริงๆ ผมอยากจะถามว่ามาจอดรถทำไมที่นี่มากกว่า
                ข้ามาส่งของให้โรงงานน้ำมันปาล์มที่อยู่ตรงข้ามปากซอยนี่แหละ  เห็นทำเลตรงนี้มันเหมาะเลยเอารถมาจอดกะว่าจะพักสักสี่ห้าวันรอของจากหาดใหญ่ขนขึ้นกรุงเทพฯ ตอนกลับ 
ผมพยักหน้ารับแต่จริงๆ นั้นก็แค่เข้าใจว่าเขามาส่งของและรอขนของกลับเท่านั้นเองส่วนน้ำมันปาล์มคืออะไรนั้นผมไม่รู้เรื่องหรอก
                ว่าแต่พวกพี่ๆ เอ็งไปไหนกันหมดล่ะ  ข้าเคยมองไปเห็นมีเด็กรุ่นๆ อยู่อีกสามสี่คนไม่ใช่เหรอ 
น้าเมฆหมายถึงพวกพี่ๆ ของผม  แสดงว่าเขาก็เป็นคนช่างสังเกตไม่น้อยเหมือนกัน
                ไปเล่นฝั่งโน้นกันหมด  ผมตอบ
                อ้าวแล้วไม่ไปเล่นกับเขาเหรอ 
น้าเมฆถามพลางหยิบกระป๋องใบเล็กใต้ท้องรถออกมาแล้วนั่งลงขยำผ้าที่แช่อยู่
                ปวดท้อง ท้องเสีย 
น้าเมฆพยักหน้ารับคำตอบพร้อมกับบิดผ้าในมือแล้วโหนตัวขึ้นไปด้านหน้ารถเพื่อเช็ดกระจกมองข้างก่อนจะหันมาพูดว่า 
“เคยเห็นข้างในรถสิบล้อมั๊ย ?”  ผมส่ายหน้า
                “อยากเห็นมั๊ย” 
น้าเมฆถามพลางยิ้มที่มุมปาก 
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปหา  น้าเมฆดึงมือให้ผมโหนขึ้นไปด้านบน
“โอ้โห...”
ผมอุทานขึ้นมาอย่างลืมตัวไปกับความตื่นตาตื่นใจข้างหน้า 
ห้องคนขับสิบล้อกว้างใหญ่กว่าที่ผมคิด  เบาะหนังสีดำหนาหนุ่มนั่งสบายกว่ากระบะท้ายที่นั่งอยู่ทุกวันหลายเท่า  ด้านหน้ารถเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่ที่สะดุดตากลับเป็นรูปใบเล็กที่เหน็บอยู่ตรงกระจกหน้าเหนือที่นั่งคนขับ
ผมจ้องมองรูปนั้นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว
“ลูกชายกับลูกสาวฉันนะ” 
น้าเมฆพูดขึ้นเบาๆ
“ลูกสาวโคนโตอายุสิบสองแล้วส่วนคนเล็กเจ็ดขวบน่าจะเท่าบอยนะ” 
น้าเมฆดึงรูปนั้นลงมา
“เอ็งว่าคนไหนเหมือนข้ามากกว่ากัน” 
น้าเมฆถาม  ผมเพ่งดูรูปนั้นอีกครั้งแล้วชี้ไปที่เด็กผู้หญิง
“ใช่ลูกสาวเขาเหมือนฉันส่วนลูกชายเขาเหมือนแม่  แล้วเอ็งล่ะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่”  น้าเมฆหันมาถาม 
มันเป็นคำถามที่ผมไม่มีคำตอบให้  ไม่ว่าจะถามผมอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง !!
ไม่เป็นไรคงเหมือนทั้งสองคนนั่นแหละ  เอาอย่างนี้น้ามีเปลที่นอนสบายสุดในโลกให้นอนเล่นลองดูมั๊ย ?” 
น้าเมฆเปลี่ยนเรื่องคุย
                ผมพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด  น้าเมฆชี้มือไปที่เปลท้ายรถแล้วเปิดประตูอุ้มผมลงไป
                ผมไม่เคยนอนเปลมาก่อนในชีวิตเคยเห็นแต่ของชาวบ้านในตลาดหาดใหญ่  จึงมีอาการเก้ๆกังๆ จนน้าเมฆต้องเดินเข้ามาใกล้
                “เอ็งไม่เคยนอนเล่นบนเปลแบบนี้เหรอ ?” 
น้าเมฆถาม  ผมพยักหน้ารับ
                “เอาก้นขึ้นไปนั่งก่อนแล้วหมุนตัวเอาเท้ากับหัวขึ้นไป” 
น้าเมฆจัดแจงประคองผมให้ขึ้นไปนอนบนเปลจนได้ 
                แค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนได้รับการดูแลจากญาติผู้ใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่รู้หรอกว่าการมีญาติมันเป็นอย่างไร
                น้าเมฆเดินเข้าไปในรถแล้วกลับออกมาโดยมีบางอย่างถืออยู่ในมือ
                “เอ้านี่...  นอนให้เพลินเลยไอ้หนู  ข้าจะเปิดวิทยุให้ฟัง” 
น้าเมฆเปิดวิทยุเครื่องนั้นแล้วหมุนหาคลื่นจนไปหยุดอยู่ที่เพลงๆ หนึ่ง  มันเป็นเพลงลูกทุ่งที่ผมเคยได้ยินในตลาด
                ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเห็นวิทยุ  แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังวิทยุจริงกับเขา  เคยเห็นแต่เขาเปิดกันในตลาดไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสมานอนฟังมันเต็มสองหูบนเปลที่แกว่งไปมาชวนเคลิ้มแบบนี้
                นี่มันสวรรค์น้อยๆ ของผมจริงๆ

@@@@@

                เฮ้ย !!  ตื่นไอ้บอย” 
เสียงที่เรียกมาพร้อมกับแรงเขย่าจนผมโยกคลอนอยู่บนเปล  เมื่อปรือเปลือกตาขึ้นดูก็เห็นพี่เปี๊ยกยืนตาเขียวอยู่
                “ลุกๆ  นอนหลับเพลินเลยนะมึง  เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ได้ซวยกันหมด” 
พี่เปี๊ยกดุเพื่อกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นจากเปล
                เมื่อบิดขี้เกียจจนตาสว่างแล้วผมก็เห็นทั้งพี่นุช พี่ส้มพี่สร้อยยืนอยู่ตรงนั้นด้วย 
                “ไปเถอะบอยอย่ามากวนน้าเมฆเขาเลย  น้าเขาจะได้พักผ่อน” 
พี่นุชพูดขึ้น
                “ไม่เป็นไรหรอก  น้าพักมาหลายวันแล้วนี่ได้เจ้าบอยมาเล่นด้วยก็ดีจะได้ไม่เหงา” 
น้าเมฆออกตัวให้ผม  แสดงว่าพวกเขาต้องทำความรู้จักกันก่อนที่ผมจะตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
                “แล้วน้าเมฆจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนล่ะ”  พี่เปี๊ยกถาม
                “อีกสามวัน”  น้าเมฆตอบ
                “อีกสามวัน” 
ทั้งพี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยทวนคำตอบของน้าเมฆพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้ว่าประหลาดใจระคนดีใจ
                “ทำไมเหรอ  พวกเอ็งมีอะไร  อย่าบอกนะว่าจะฝากของไปกรุงเทพฯ  ของที่น้าบรรทุกกลับนี่มันเหม็นๆ ทั้งนั้นบางทีก็เป็นพวกอาหารทะเลแห้ง บางทีก็เป็นหนังวัวตากแห้งเหม็นบรรลัยเลย  พวกเอ็งจะฝากอะไรล่ะ” 
ดูเหมือนน้าเมฆก็แปลกใจแต่ยังไม่คิดไปไกล
                “ฝากคนจ๊ะ” 
พี่สร้อยสอดขึ้นจนได้
                “อะไรนะ !!  เอ็งว่ายังไงนะพูดอีกทีสิ” 
น้าเมฆอุทาน
                “คืออย่างนี้น้าเมฆ  คือว่า.....” 
พี่เปี๊ยกตัดสินใจเป็นคนอธิบายแต่ไม่วายอึกอัก
                “มีปัญหาอะไรไหนลองว่าไปสิ”  น้าเมฆเริ่มอยากรู้
                พี่เปี๊ยกหันไปมองหน้าพี่นุชเหมือนจะขอคำปรึกษา  พี่นุชพยักหน้ารับ  พี่เปี๊ยกจึงหันไปพูดกับน้าเมฆ 
“คือว่าฉันอยากจะฝากพี่สาวกับน้องสาวฉันทั้งสามคนนี่ไปกับน้าด้วย” 
พี่เปี๊ยกไม่พูดเปล่าแต่ยกสองมือขึ้นไหว้เหมือนวิงวอน
                “มันเรื่องอะไรกัน  พ่อกับแม่เอ็งจะได้เอาข้าตายนะสิ” 
น้าเมฆพูดพลางส่ายหน้า
                “เขาไม่ใช่พ่อแม่พวกหนู” 
พี่นุชพูดสวนทันควัน
                “อะไรนะ !!”  
น้าเมฆอุทานเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
                “จริงๆ จ๊ะน้า  พวกเรามาจากไหนก็ไม่รู้   เราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ  ไม่มีอะไรที่พวกเราเหมือนกันเลยน้าดูสิ” 
คำตอบของพี่เปี๊ยกทำให้น้าเมฆนิ่งเงียบแล้วกวาดตามองพวกเราทุกคนช้าๆ  ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า 
“แต่เขาก็เลี้ยงดูพวกเอ็งมาไม่ใช่เหรอ ?” 
                “เขากำลังจะขายพวกเราสามคนอีกไม่กี่วันนี้แล้ว” 
พี่นุชพูดพร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตา  พี่ส้มและพี่สร้อยก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
                “เฮ้ย !!” 
น้าเมฆอุทานเสียงหลง
                “จริงๆ จ๊ะน้าเมฆ  ไอ้บอยยืนยันได้มันแอบได้ยินมากับหู” 
พี่เปี๊ยกมองมาทางผม  น้าเมฆมองตาม
                “จริงหรือบอย” 
น้าเมฆถามผม
                “จริงครับ”  ผมยืนยัน
                “ไอ้คนที่จะพาเราไปขายมันมาดูตัวพวกเราแล้ว” 
พี่นุชตอบไปสะอื้นไป  แต่ยังไม่ทันที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป  พี่ส้มที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็ร้องเสียงหลง
                “เสียงรถ....  เสียงรถพ่อ เขากลับมากันแล้ว” 
                “เร็วๆ วิ่ง” 
พี่เปี๊ยกบอกทุกคนแล้วข้อคว้ามือผมวิ่งเข้าบ้านทิ้งน้าเมฆให้ยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น
                โชคดีที่ก่อนจะถึงบ้านนั้นทางในซอยจะเป็นโค้งหักข้อศอกประมาณสามสี่ร้อยเมตร  มันใกล้พอที่จะทำให้พี่ส้มได้ยินเสียงรถกระบะปุโรทั่งที่คำรามลั่นของพ่อได้  ก่อนที่เขาจะทันได้เห็นพวกเรา
                พี่นุชกับพี่ส้มรีบวิ่งไปที่หลังบ้านทำทีเป็นติดเตาเพื่ออุ่นกับข้าว  ส่วนพี่สร้อยรีบหยิบไม้กวาดมากวาดพื้นแต่ดูเหมือนมือที่จับไม้กวาดจะสั่นเทิ้มเล็กน้อย  ส่วนผมกับพี่เปี๊ยกที่วิ่งมาหลังสุดทำได้แค่นั่งลงตรงกองหนังสือแล้วพลิกมันไปมา
                “ปัง !!” 
เสียงประตูที่ปิดอย่างรุนแรงทำให้พวกเรารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนกลับมาด้วยอารมณ์แบบไหน
                “กูไม่เข้าใจเลยว่าอีเจ๊นั่นมันจะตั้งแง่อะไรนักหนา” 
พ่อเปิดฉากคุยกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
                “คงกลัวว่าจะมีปัญหาเหมือนคราวก่อนมั๊ง”  
แม่พูดแล้วเดินตามพ่อเข้าไป
                “ก็กูบอกแล้วไงว่ามันสุดวิสัย  อีนังเด็กสองคนนั่นมันรนหาที่เอง” 
พ่อยังหัวเสียและพูดถึงใครที่พวกเราไม่เคยรู้จัก
                แม่รีบเดินมาปิดประตูห้อง  คำสุดท้ายที่ผมได้ยินชัดเจนคือเสียงที่แม่ปรามพ่อให้เบาเสียงลง  จากนั้นก็เหลือแต่เสียงพึมพำของทั้งคู่คุยกันอยู่ในห้องนานนับชั่วโมง
                แม้จะไม่มีใครกล้าแอบฟังแต่พวกเราก็พอจะเดาได้ว่า  มันต้องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาสองคนอย่างแน่นอน 
                หรือว่า........
                หรือว่าอาจจะเป็นเรื่องสำคัญของพี่สาวทั้งสามคน !!

@@@@@

                ก่อนเข้านอนคืนนั้นผมแอบเอาของสองชิ้นไปซ่อนไว้ใต้หมอน  ชิ้นแรกเป็นไฟฉายอีกชิ้นหนึ่งคือกระดาษเลือดแผ่นนั้น
                แต่คืนนี้ต่างไปจากคืนก่อน  ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดตั้งใจที่จะไม่หลับ  ปล่อยให้ช่วงเวลาของความอึดอัดเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ  จนทุกอย่างเงียบสงัด  ได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นระงมอยู่รอบบ้าน
                ผมเอื้อมมือไปสะกิดให้พี่เปี๊ยกตื่น
                “อะไรบอย” 
พี่เปี๊ยกพลิกตัวมาทางผมแล้วกระซิบถาม
                “จะให้ดูอะไรนี่” 
พูดเสร็จผมล้วงมือไปหยิบไฟฉายใต้หมอน  มันเป็นไฟฉายขนาดเล็กเมื่อเปิดมันจึงไม่รบกวนสายตามากนัก  จากนั้นหยิบกระดาษสำคัญแผ่นนั้นออกมา
                “อะไรน่ะ ?” 
พี่เปี๊ยกถามอีกครั้ง
                ผมคลี่กระดาษที่พับครึ่งนั้นกางออก  เอาไฟฉายส่องไปให้เต็มหน้ากระดาษ
                “เอ็งก็รู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก  จะให้ข้าดูทำไม” 
พี่เปี๊ยกทำสีหน้างุนงง
                “พี่ดูดีๆ ซิ” 
ผมกระตุ้นให้พี่เปี๊ยกดูอีกครั้ง  คราวนี้พี่เปี๊ยกชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระดาษแผ่นนั้นแล้วเอาปลายนิ้วแตะไปตามรอยสีแดงที่เกรอะกรังอยู่บนกระดาษก่อนที่จะทำตาลุกวาว !!
                “เฮ้ย.. นี่มันเลือดนี่หว่า” 
พี่เปี๊ยกอุทาน
                “เอ็งไปเอามาจากไหน ?” 
พี่เปี๊ยกถามอย่างสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
                “มันอยู่ในหนังสือ” 
ผมกระซิบตอบ  แต่ยังไม่ทันที่พี่เปี๊ยกจะได้ถามอะไรต่อ  เสียงกุกกักในห้องนอนของพ่อกับแม่ก็ทำให้ผมต้องรีบปิดไฟฉายและสอดกระดาษแผ่นนั้นไว้ใต้หมอน
                เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ  ผมกับพี่เปี๊ยกนอนนิ่งแต่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ไม่กี่อึดใจจึงมีเสียงปิดประตูและลงกลอน  อาจจะเป็นแม่ที่เปิดประตูออกมาดูพวกเรา 
                นาทีนี้ทุกย่างก้าวของพวกเขากลายเป็นความหวาดกลัวของพวกเราไปแล้ว !!
............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น