วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 1)

ภาพแรก

ภาพจาก http://www.ungift.org                                                                     จีรวัฒน์  ครองแก้ว


                ภาพแรกในความทรงจำของผมขมุกขมัวเหมือนมองผ่านกระจกของหน้าต่างในบ้านร้าง
                ผมไม่สนใจภาพของบ้านโย้เย้หลังเล็กที่สภาพไม่ต่างอะไรกับโรงนาหลังนั้นนักหรอก  สิ่งที่ผมจำได้ก่อนภาพและรายละเอียดอันรกรุงรังกลับเป็นเสียงตวาดของพ่อที่ดังมาแต่ไกลสลับกับเสียงร้องไห้ของพี่นุช
                เมื่อประตูบ้านเปิดออก....
                กระเด็นสิ !!  ผมน่าจะเรียกมันว่ากระเด็นมากกว่า  เพราะมันไม่ใช่ประตูอย่างที่ผมเคยเห็นในตลาดหรือที่ไหนๆ  ทุกครั้งที่มันเปิดออกมันจะกระเด็นกระดอนไปมาอย่างนี้ทุกครั้ง 
มันเหมือนแผ่นไม้ที่มาเกาะอยู่รวมกันแล้วเปิดปิดได้มากกว่า
                “กูบอกกี่ทีแล้วว่าไม่ให้มึงไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้น”  
                พ่อกระแทกเสียงจนผมสะดุ้ง
                “มึงอยากเล่นนักใช่มั๊ย  กูว่าเล่นไม้เรียวซะก่อนเถอะ”
                มือที่กำไม้เรียวจนเกร็งกร้านของพ่อฟาดลงไปบนตัวของพี่นุชที่ดิ้นพราดๆ อย่างไม่ยั้ง  ส่วนผมตอนนั้นถอยร่นไปอยู่ที่มุมเสาแล้ว  เช่นเดียวกับพี่ส้ม พี่เปี๊ยกและพี่สร้อยที่ขยับไปกองรวมกันอยู่อีกฟากหนึ่งเหมือนกองผ้าขี้ริ้วที่สั่นเทิ้ม
                “พอเถอะพี่ชด  เดี๋ยวมันตายห่าก็จบกัน”  เสียงแม่ตะโกน
                แม่เดินเข้ามาจากหลังบ้านในมือถือจานปลาทูที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ  ความหอมชวนน้ำลายสอของมันไม่ได้ช่วยให้ความกลัวของพี่นุชและพวกเราลดลงเลย
                พ่อโยนไม้เรียวลงบนพื้นอย่างเสียอารมณ์
                “เอ้า... พวกมึงไปกินข้าวกันได้แล้ว”  
                แม่วางจานปลาทูลงแล้วบ่นต่อจากพ่อ
                “จำไว้นะเอ็งทุกคนเลย  ต่อไปไม่ให้ข้ามไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้น  พวกมันไม่ใช่เพื่อนมึง”
                แม่เท้าสะเอวชี้นิ้วมาที่พวกผมทั้งห้าคนที่ตอนนี้ไหลมารวมกันอยู่กลางบ้านแล้ว
                “เร็วๆ รีบกินจะได้รีบไป”  
                แม่พูดแค่นั้นแล้วเดินกลับไปที่หลังบ้านโดยไม่คิดจะมาดูรอยช้ำที่กลางหลังพี่นุชเลยสักนิด
พ่อเดินตามแม่ไปแล้วหย่อนร่างลงนั่งพ่นควันบุหรี่โขมงอยู่หลังบ้านอย่างเสียอารมณ์  ตรงหน้าพ่อมีกับข้าวอยู่สามถ้วยและแน่นอนว่าจะต้องมีขวดเหล้าขาวพร้อมแก้ววางไว้ใกล้ๆ กันเสมอ
เสียงร้องไห้ของพี่นุชค่อยๆ เบาลงไปเหลือแต่เสียงสะอึกสะอื้นที่ขาดเป็นห้วงๆ พร้อมคราบน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม 
ความมอมแมมที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า 
ผมเขยิบเข้าไปใกล้พี่เปี๊ยก  ทุกคนเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบกริบ  แต่ก็มีบางครั้งที่พร้อมใจเงยหน้าขึ้นมาสบตากันเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
กลิ่นหอมของปลาทูช่วยบรรเทาความหิวโหยของมื้อแรกไปได้  แต่มันไม่ได้บรรเทาความหวาดกลัวที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเราเลยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นผมยังตั้งคำถามไม่เป็นว่าเพราะอะไรพ่อกับแม่ถึงได้ดุดันกับพวกผมห้าคนนัก
พี่นุชเป็นพี่สาวคนโต  เธออายุ 17  ปีห่างจากพี่ส้มพี่สาวคนรองสองปี  ถัดจากพี่ส้มก็เป็นพี่เปี๊ยกพี่ชายคนเดียวของผมและพี่สร้อยพี่สาวอีกคน  พวกเขาอายุห่างกันคนละปี 
ส่วนผมพี่นุชบอกว่าเพิ่งจะเจ็ดขวบ !! 
อาจจะด้วยเหตุนี้กระมังที่พี่นุชกลายเป็นคนที่โดนพ่อกับแม่ดุมากที่สุด  แต่ก็นั่นแหละตอนนั้นผมยังไม่รู้อะไรเลยจริงๆ  รู้แต่ว่าวันเวลากับชีวิตของผมที่นั่นมันช่างเดินไปอย่างเชื่องช้า
รู้อยู่เพียงอย่างเดียวคือชื่อที่พ่อกับแม่เรียกผมง่ายๆ ว่า  “บอย” 

@@@@@

                คำว่าเด็กฝั่งโน้นที่พ่อตะคอกใส่พี่นุช  หมายถึงเด็กกลุ่มใหญ่ตรงสนามเด็กเล่นอีกฟากถนนที่มีเครื่องเล่นวางไว้เต็มไปหมด 
ที่ผมชอบที่สุดคือถังกลมๆ ขนาดใหญ่สีส้มสดที่เพียงแค่มุดจากด้านหนึ่งไปทะลุอีกด้านหนึ่งมันก็สนุกจนลืมโลก 
แต่ว่าเกือบทุกครั้ง  ความสนุกนี้มักจะจบลงด้วยเสียงไม้เรียว !!
ความจริงผมกับพวกพี่ๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเล่นกับเด็กพวกนั้นเท่าไหร่นักหรอก 
ทำไมนะรึ ?
ก็เพราะพวกเขาไม่เหมือนเรานะสิ !!
อย่างน้อยผมก็ไม่เคยเห็นเด็กพวกนั้นใส่เสื้อผ้าขาดๆ และดูซอมซ่อเหมือนผมกับพี่ๆ เลยสักคน 
ทุกครั้งที่ไปที่นั่น  ผมคือเด็กที่ดูมอมแมมที่สุด  แม้ว่าจริงๆ แล้วผมจะมีผิวขาวกว่าใครในบ้านก็ตาม  แต่นั่นมันก็แค่ภายนอก ผมคิดว่ามันยังมีอะไรที่ทำให้พวกผมแตกต่างกับพวกเขามากกว่านั้น
เสียงหัวเราะ !!  
               นั่นแหละความแตกต่างแรกที่ผมคิดออก
เสียงหัวเราะของเด็กพวกนั้นดังกลบเสียงพึมพำของผมกับพี่ๆ เสมอ  แต่ก็เพราะเสียงหัวเราะนี่แหละที่เหมือนมนต์สะกดเราให้ยอมแอบหนีพ่อกับแม่เพื่อไปที่นั่นทุกครั้งที่มีโอกาส 
ผมจำได้ขึ้นใจว่าผมกับพวกพี่ได้หัวเราะร่วมกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น  !!
เด็กที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มนั้นชื่อปาน  เขาเป็นคนเดียวที่ผมคุยและเล่นด้วย  นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาอายุมากกว่าผมเพียงแค่ปีเดียวในขณะที่คนอื่นๆ ก็รุ่นราวคราวเดียวกับพี่ๆ ของผมแล้ว 
“บอยไปเล่นที่บ้านเรามั๊ย ?”  
               ปานเคยเอ่ยชวนผมหลายครั้ง  ซึ่งแน่นอนว่าเขาควรจะรู้ว่าคำตอบมันคืออะไร
“เราไปไม่ได้  พ่อกับแม่ห้าม”  
              คำตอบของผมไม่ตรงกับความคิดหรอกเชื่อสิ
“อืม..  มิน่าล่ะพ่อเราถึงบอกว่าพ่อกับแม่เธอดูลึกลับ” 
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่า  คำว่าลึกลับที่เขาพูดถึงมันหมายความว่ายังไง 
พ่อกับแม่ผมอาจจะเป็นคนดุที่ชอบตีลูกตัวเองเพราะแอบไปที่สนามเด็กเล่นนั้นก็ได้  
เขาจึงดูลึกลับในสายตาคนอื่นเสมอ !!                                                                                    
แต่ก็ช่างเถอะผมคงไม่มีโอกาสได้ไปถามพ่อกับแม่ของปานอยู่แล้วว่าคำว่า  “ลึกลับ”  นั้นหมายถึงอะไรกันแน่
บ้านของปานกับเด็กพวกนั้นอยู่เลยสนามเด็กเล่นไปไม่มากนัก  ผมเห็นพวกเขาเดินออกมาจากซอยเล็กๆ ที่ไล่เรียงกันเป็นระเบียบ  บ้านทุกหลังมีรั้วรอบขอบชิด  มีประตูบานใหญ่สำหรับรถคันหรูที่ผมเคยสังเกตว่าหลายหลังจะมีคนคอยเปิดประตูให้รถเหล่านั้นเป็นประจำ
ที่สำคัญบ้านแต่ละหลังดูคล้ายๆ กันไปหมด  ทั้งขนาดและความสวยงาม
เคยคิดเล่นๆ ว่า  ถ้ามีโอกาสได้อยู่บ้านแบบนั้นกับเขาบ้าง  
              ผมจะจำบ้านของตัวเองได้ยังไง !!                                                                                                                
บ้านที่ผมจำได้คือบ้านที่อยู่ในภาพแรกแห่งความทรงจำของผมต่างหาก 
บ้านที่ไม่ต่างจากโรงนาหลังนั้นตั้งอยู่ไกลออกมาจากซอยที่เด็กพวกนั้นอยู่เหมือนคนละฟากแม่น้ำ  จะตั้งใจหรือเปล่าผมไม่รู้  แต่ความจริงก็คือ  บ้านที่พ่อกับแม่พาพวกผมมาอยู่นั้นแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว  
มันโดดเดี่ยวเสียจนไม่จำเป็นต้องมีรั้วเหมือนบ้านคนอื่น  บ้านหลังที่ใกล้ที่สุดกับเราก็แทบจะมองเราไม่เห็น  หรือถ้าจะเห็นก็คงเป็นแค่ความโย้เย้และโกโรโกโสของมัน
เราจึงไม่มีเพื่อนบ้านและผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะเป็นเพื่อนบ้านกับเราหรือเปล่า 
พวกเขาจะผ่านหน้าบ้านเราก็เฉพาะตอนที่เอาขยะมาทิ้งเท่านั้น !!
เช่นเดียวกัน  พ่อกับแม่ก็ไม่เคยแวะคุยกับใครในแถบนี้เลยสักครั้ง  แม้ว่าจะต้องพาพวกเราห้าคนเข้าไปในเมืองและผ่านหน้าบ้านพวกเขาทุกวันก็ตาม
ผมเคยคิดเหมือนกันว่า  ทำไมพ่อกับแม่ต้องพาพวกเราไปขายของไกลๆ ทั้งที่แถวนี้ก็มีแต่บ้านคนรวยทั้งนั้น

@@@@@

ผมกับพวกพี่ๆ ต้องออกไปช่วยพ่อกับแม่ขายของทุกวัน
ใช่... ทุกวัน !! 
ความทรงจำผมไม่ผิดอย่างแน่นอน คำว่าวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นความรู้ใหม่ของผมด้วยซ้ำไป
เรามีเวลาเพียงแค่อึดใจหลังจากกินข้าวเช้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะขึ้นรถกระบะคันเก่าสัปปะรังเคนั่น  
ผมรู้สึกว่าเวลาที่มันแล่นผ่านไปที่ไหน  เสียงแผดก้องของมันเหมือนจะประจานให้ผู้คนรู้ว่าเศษขยะเคลื่อนที่ได้กำลังจะผ่านหน้าบ้านพวกเขาไป
พี่นุชกับพี่ส้มมีหน้าที่คดข้าวใส่กล่องพร้อมน้ำใส่กระติกเพื่อไปเป็นเสบียงมื้อเที่ยง  ส่วนผมก็ต้องช่วยพี่เปี๊ยกเตรียมกองหนังสือ
มันเป็นงานที่จะต้องทำทุกวันก่อนที่พ่อกับแม่จะพาพวกเราออกจากบ้าน 
ความจริงแล้วหนังสือที่จะเตรียมไปขายนั้นแทบจะไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย  นอกจากหยิบมันออกมาจากมุมห้อง  จากนั้นก็แค่แบ่งออกเป็นสองกองๆ ละประมาณยี่สิบเล่มได้กระมัง  ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือดาราที่หน้าปกเปื่อยยุ่ยหรือไม่ก็เป็นหนังสือสวดมนต์หรือหนังสืองานศพอะไรเทือกนั้น
ทุกวันที่เราขนหนังสือพวกนี้ออกไปคือทุกวันที่ผมตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำไมเราต้องเตรียมหนังสือเก่าๆ นั่นซ้ำซาก  ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครซื้อมันเลยแม้แต่เล่มเดียว !!
เมื่อทุกอย่างถูกขนขึ้นรถหมดแล้ว  แม่จะให้พวกเรานั่งอยู่ท้ายกระบะ  ส่วนแม่จะนั่งด้านหน้ากับพ่อแต่จะคอยหันมาดูพวกเราเกือบจะตลอดเวลา 
ตอนนั้นผมคิดว่าแม่คงกลัวว่าพวกเราจะตกรถ  แต่เมื่อคิดอีกที ทำไมแม่จะต้องกลัวว่าเราจะตกรถทั้งๆ ที่รถก็จอดติดไฟแดงอยู่ด้วยซ้ำ
              ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะไม่ยอมให้เราคลาดสายตาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว 
พ่อจะขับรถพาพวกเราเข้าไปในเมืองที่ถูกเรียกว่า  “หาดใหญ่”  
ผมรู้แค่เพียงว่ามันเป็นตลาดที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ 
ที่น่าทึ่งสำหรับเด็กเจ็ดขวบอย่างผมคือผู้คนที่นี่พูดกันเร็วเหมือนจรวด  ไม่เหมือนพ่อกับแม่ที่พูดแปร่งๆ ออกไปจากพวกเขามาก 
แต่ไม่ว่าใครจะพูดภาษาอะไร  มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก
เพราะบางวันผมแทบจะไม่ ได้พูดเลยด้วยซ้ำ !!

.............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น