ภาพแรก
ภาพจาก http://www.ungift.org จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ภาพแรกในความทรงจำของผมขมุกขมัวเหมือนมองผ่านกระจกของหน้าต่างในบ้านร้าง
ผมไม่สนใจภาพของบ้านโย้เย้หลังเล็กที่สภาพไม่ต่างอะไรกับโรงนาหลังนั้นนักหรอก สิ่งที่ผมจำได้ก่อนภาพและรายละเอียดอันรกรุงรังกลับเป็นเสียงตวาดของพ่อที่ดังมาแต่ไกลสลับกับเสียงร้องไห้ของพี่นุช
เมื่อประตูบ้านเปิดออก....
กระเด็นสิ
!! ผมน่าจะเรียกมันว่ากระเด็นมากกว่า เพราะมันไม่ใช่ประตูอย่างที่ผมเคยเห็นในตลาดหรือที่ไหนๆ ทุกครั้งที่มันเปิดออกมันจะกระเด็นกระดอนไปมาอย่างนี้ทุกครั้ง
มันเหมือนแผ่นไม้ที่มาเกาะอยู่รวมกันแล้วเปิดปิดได้มากกว่า
“กูบอกกี่ทีแล้วว่าไม่ให้มึงไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้น”
พ่อกระแทกเสียงจนผมสะดุ้ง
พ่อกระแทกเสียงจนผมสะดุ้ง
“มึงอยากเล่นนักใช่มั๊ย
กูว่าเล่นไม้เรียวซะก่อนเถอะ”
มือที่กำไม้เรียวจนเกร็งกร้านของพ่อฟาดลงไปบนตัวของพี่นุชที่ดิ้นพราดๆ
อย่างไม่ยั้ง
ส่วนผมตอนนั้นถอยร่นไปอยู่ที่มุมเสาแล้ว
เช่นเดียวกับพี่ส้ม พี่เปี๊ยกและพี่สร้อยที่ขยับไปกองรวมกันอยู่อีกฟากหนึ่งเหมือนกองผ้าขี้ริ้วที่สั่นเทิ้ม
“พอเถอะพี่ชด เดี๋ยวมันตายห่าก็จบกัน” เสียงแม่ตะโกน
แม่เดินเข้ามาจากหลังบ้านในมือถือจานปลาทูที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ ความหอมชวนน้ำลายสอของมันไม่ได้ช่วยให้ความกลัวของพี่นุชและพวกเราลดลงเลย
พ่อโยนไม้เรียวลงบนพื้นอย่างเสียอารมณ์
“เอ้า...
พวกมึงไปกินข้าวกันได้แล้ว”
แม่วางจานปลาทูลงแล้วบ่นต่อจากพ่อ
แม่วางจานปลาทูลงแล้วบ่นต่อจากพ่อ
“จำไว้นะเอ็งทุกคนเลย ต่อไปไม่ให้ข้ามไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้น พวกมันไม่ใช่เพื่อนมึง”
แม่เท้าสะเอวชี้นิ้วมาที่พวกผมทั้งห้าคนที่ตอนนี้ไหลมารวมกันอยู่กลางบ้านแล้ว
“เร็วๆ
รีบกินจะได้รีบไป”
แม่พูดแค่นั้นแล้วเดินกลับไปที่หลังบ้านโดยไม่คิดจะมาดูรอยช้ำที่กลางหลังพี่นุชเลยสักนิด
แม่พูดแค่นั้นแล้วเดินกลับไปที่หลังบ้านโดยไม่คิดจะมาดูรอยช้ำที่กลางหลังพี่นุชเลยสักนิด
พ่อเดินตามแม่ไปแล้วหย่อนร่างลงนั่งพ่นควันบุหรี่โขมงอยู่หลังบ้านอย่างเสียอารมณ์ ตรงหน้าพ่อมีกับข้าวอยู่สามถ้วยและแน่นอนว่าจะต้องมีขวดเหล้าขาวพร้อมแก้ววางไว้ใกล้ๆ
กันเสมอ
เสียงร้องไห้ของพี่นุชค่อยๆ
เบาลงไปเหลือแต่เสียงสะอึกสะอื้นที่ขาดเป็นห้วงๆ พร้อมคราบน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม
ความมอมแมมที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า
ผมเขยิบเข้าไปใกล้พี่เปี๊ยก ทุกคนเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบกริบ
แต่ก็มีบางครั้งที่พร้อมใจเงยหน้าขึ้นมาสบตากันเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
กลิ่นหอมของปลาทูช่วยบรรเทาความหิวโหยของมื้อแรกไปได้
แต่มันไม่ได้บรรเทาความหวาดกลัวที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเราเลยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นผมยังตั้งคำถามไม่เป็นว่าเพราะอะไรพ่อกับแม่ถึงได้ดุดันกับพวกผมห้าคนนัก
พี่นุชเป็นพี่สาวคนโต เธออายุ 17 ปีห่างจากพี่ส้มพี่สาวคนรองสองปี ถัดจากพี่ส้มก็เป็นพี่เปี๊ยกพี่ชายคนเดียวของผมและพี่สร้อยพี่สาวอีกคน พวกเขาอายุห่างกันคนละปี
ส่วนผมพี่นุชบอกว่าเพิ่งจะเจ็ดขวบ
!!
อาจจะด้วยเหตุนี้กระมังที่พี่นุชกลายเป็นคนที่โดนพ่อกับแม่ดุมากที่สุด
แต่ก็นั่นแหละตอนนั้นผมยังไม่รู้อะไรเลยจริงๆ รู้แต่ว่าวันเวลากับชีวิตของผมที่นั่นมันช่างเดินไปอย่างเชื่องช้า
รู้อยู่เพียงอย่างเดียวคือชื่อที่พ่อกับแม่เรียกผมง่ายๆ
ว่า “บอย”
@@@@@
คำว่าเด็กฝั่งโน้นที่พ่อตะคอกใส่พี่นุช
หมายถึงเด็กกลุ่มใหญ่ตรงสนามเด็กเล่นอีกฟากถนนที่มีเครื่องเล่นวางไว้เต็มไปหมด
ที่ผมชอบที่สุดคือถังกลมๆ
ขนาดใหญ่สีส้มสดที่เพียงแค่มุดจากด้านหนึ่งไปทะลุอีกด้านหนึ่งมันก็สนุกจนลืมโลก
แต่ว่าเกือบทุกครั้ง ความสนุกนี้มักจะจบลงด้วยเสียงไม้เรียว !!
ความจริงผมกับพวกพี่ๆ
ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเล่นกับเด็กพวกนั้นเท่าไหร่นักหรอก
ทำไมนะรึ ?
ก็เพราะพวกเขาไม่เหมือนเรานะสิ
!!
อย่างน้อยผมก็ไม่เคยเห็นเด็กพวกนั้นใส่เสื้อผ้าขาดๆ
และดูซอมซ่อเหมือนผมกับพี่ๆ เลยสักคน
ทุกครั้งที่ไปที่นั่น ผมคือเด็กที่ดูมอมแมมที่สุด แม้ว่าจริงๆ แล้วผมจะมีผิวขาวกว่าใครในบ้านก็ตาม แต่นั่นมันก็แค่ภายนอก
ผมคิดว่ามันยังมีอะไรที่ทำให้พวกผมแตกต่างกับพวกเขามากกว่านั้น
เสียงหัวเราะ
!!
นั่นแหละความแตกต่างแรกที่ผมคิดออก
นั่นแหละความแตกต่างแรกที่ผมคิดออก
เสียงหัวเราะของเด็กพวกนั้นดังกลบเสียงพึมพำของผมกับพี่ๆ
เสมอ แต่ก็เพราะเสียงหัวเราะนี่แหละที่เหมือนมนต์สะกดเราให้ยอมแอบหนีพ่อกับแม่เพื่อไปที่นั่นทุกครั้งที่มีโอกาส
ผมจำได้ขึ้นใจว่าผมกับพวกพี่ได้หัวเราะร่วมกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
!!
เด็กที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มนั้นชื่อปาน เขาเป็นคนเดียวที่ผมคุยและเล่นด้วย
นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาอายุมากกว่าผมเพียงแค่ปีเดียวในขณะที่คนอื่นๆ
ก็รุ่นราวคราวเดียวกับพี่ๆ ของผมแล้ว
“บอยไปเล่นที่บ้านเรามั๊ย
?”
ปานเคยเอ่ยชวนผมหลายครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาควรจะรู้ว่าคำตอบมันคืออะไร
ปานเคยเอ่ยชวนผมหลายครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาควรจะรู้ว่าคำตอบมันคืออะไร
“เราไปไม่ได้ พ่อกับแม่ห้าม”
คำตอบของผมไม่ตรงกับความคิดหรอกเชื่อสิ
คำตอบของผมไม่ตรงกับความคิดหรอกเชื่อสิ
“อืม..
มิน่าล่ะพ่อเราถึงบอกว่าพ่อกับแม่เธอดูลึกลับ”
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจจริงๆ
ว่า คำว่าลึกลับที่เขาพูดถึงมันหมายความว่ายังไง
พ่อกับแม่ผมอาจจะเป็นคนดุที่ชอบตีลูกตัวเองเพราะแอบไปที่สนามเด็กเล่นนั้นก็ได้
เขาจึงดูลึกลับในสายตาคนอื่นเสมอ !!
แต่ก็ช่างเถอะผมคงไม่มีโอกาสได้ไปถามพ่อกับแม่ของปานอยู่แล้วว่าคำว่า “ลึกลับ” นั้นหมายถึงอะไรกันแน่
บ้านของปานกับเด็กพวกนั้นอยู่เลยสนามเด็กเล่นไปไม่มากนัก ผมเห็นพวกเขาเดินออกมาจากซอยเล็กๆ ที่ไล่เรียงกันเป็นระเบียบ บ้านทุกหลังมีรั้วรอบขอบชิด มีประตูบานใหญ่สำหรับรถคันหรูที่ผมเคยสังเกตว่าหลายหลังจะมีคนคอยเปิดประตูให้รถเหล่านั้นเป็นประจำ
ที่สำคัญบ้านแต่ละหลังดูคล้ายๆ
กันไปหมด ทั้งขนาดและความสวยงาม
เคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้ามีโอกาสได้อยู่บ้านแบบนั้นกับเขาบ้าง
ผมจะจำบ้านของตัวเองได้ยังไง !!
ผมจะจำบ้านของตัวเองได้ยังไง !!
บ้านที่ผมจำได้คือบ้านที่อยู่ในภาพแรกแห่งความทรงจำของผมต่างหาก
บ้านที่ไม่ต่างจากโรงนาหลังนั้นตั้งอยู่ไกลออกมาจากซอยที่เด็กพวกนั้นอยู่เหมือนคนละฟากแม่น้ำ
จะตั้งใจหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ความจริงก็คือ บ้านที่พ่อกับแม่พาพวกผมมาอยู่นั้นแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว
มันโดดเดี่ยวเสียจนไม่จำเป็นต้องมีรั้วเหมือนบ้านคนอื่น บ้านหลังที่ใกล้ที่สุดกับเราก็แทบจะมองเราไม่เห็น หรือถ้าจะเห็นก็คงเป็นแค่ความโย้เย้และโกโรโกโสของมัน
เราจึงไม่มีเพื่อนบ้านและผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะเป็นเพื่อนบ้านกับเราหรือเปล่า
พวกเขาจะผ่านหน้าบ้านเราก็เฉพาะตอนที่เอาขยะมาทิ้งเท่านั้น
!!
เช่นเดียวกัน พ่อกับแม่ก็ไม่เคยแวะคุยกับใครในแถบนี้เลยสักครั้ง แม้ว่าจะต้องพาพวกเราห้าคนเข้าไปในเมืองและผ่านหน้าบ้านพวกเขาทุกวันก็ตาม
ผมเคยคิดเหมือนกันว่า ทำไมพ่อกับแม่ต้องพาพวกเราไปขายของไกลๆ
ทั้งที่แถวนี้ก็มีแต่บ้านคนรวยทั้งนั้น
@@@@@
ผมกับพวกพี่ๆ
ต้องออกไปช่วยพ่อกับแม่ขายของทุกวัน
ใช่...
ทุกวัน !!
ความทรงจำผมไม่ผิดอย่างแน่นอน
คำว่าวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นความรู้ใหม่ของผมด้วยซ้ำไป
เรามีเวลาเพียงแค่อึดใจหลังจากกินข้าวเช้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะขึ้นรถกระบะคันเก่าสัปปะรังเคนั่น
ผมรู้สึกว่าเวลาที่มันแล่นผ่านไปที่ไหน เสียงแผดก้องของมันเหมือนจะประจานให้ผู้คนรู้ว่าเศษขยะเคลื่อนที่ได้กำลังจะผ่านหน้าบ้านพวกเขาไป
พี่นุชกับพี่ส้มมีหน้าที่คดข้าวใส่กล่องพร้อมน้ำใส่กระติกเพื่อไปเป็นเสบียงมื้อเที่ยง ส่วนผมก็ต้องช่วยพี่เปี๊ยกเตรียมกองหนังสือ
มันเป็นงานที่จะต้องทำทุกวันก่อนที่พ่อกับแม่จะพาพวกเราออกจากบ้าน
ความจริงแล้วหนังสือที่จะเตรียมไปขายนั้นแทบจะไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย นอกจากหยิบมันออกมาจากมุมห้อง จากนั้นก็แค่แบ่งออกเป็นสองกองๆ
ละประมาณยี่สิบเล่มได้กระมัง
ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือดาราที่หน้าปกเปื่อยยุ่ยหรือไม่ก็เป็นหนังสือสวดมนต์หรือหนังสืองานศพอะไรเทือกนั้น
ทุกวันที่เราขนหนังสือพวกนี้ออกไปคือทุกวันที่ผมตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำไมเราต้องเตรียมหนังสือเก่าๆ
นั่นซ้ำซาก ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครซื้อมันเลยแม้แต่เล่มเดียว
!!
เมื่อทุกอย่างถูกขนขึ้นรถหมดแล้ว แม่จะให้พวกเรานั่งอยู่ท้ายกระบะ
ส่วนแม่จะนั่งด้านหน้ากับพ่อแต่จะคอยหันมาดูพวกเราเกือบจะตลอดเวลา
ตอนนั้นผมคิดว่าแม่คงกลัวว่าพวกเราจะตกรถ แต่เมื่อคิดอีกที
ทำไมแม่จะต้องกลัวว่าเราจะตกรถทั้งๆ ที่รถก็จอดติดไฟแดงอยู่ด้วยซ้ำ
ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะไม่ยอมให้เราคลาดสายตาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะไม่ยอมให้เราคลาดสายตาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
พ่อจะขับรถพาพวกเราเข้าไปในเมืองที่ถูกเรียกว่า
“หาดใหญ่”
ผมรู้แค่เพียงว่ามันเป็นตลาดที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ
ผมรู้แค่เพียงว่ามันเป็นตลาดที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ
ที่น่าทึ่งสำหรับเด็กเจ็ดขวบอย่างผมคือผู้คนที่นี่พูดกันเร็วเหมือนจรวด ไม่เหมือนพ่อกับแม่ที่พูดแปร่งๆ ออกไปจากพวกเขามาก
แต่ไม่ว่าใครจะพูดภาษาอะไร มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก
เพราะบางวันผมแทบจะไม่
ได้พูดเลยด้วยซ้ำ !!
.............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น