วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มากอดกันเถอะ !!



จีรวัฒน์ ครองแก้ว
           
         การกอดเป็นภาษากายที่งดงามที่สุด  แต่แปลกตรงที่คนไทยใช้ภาษานี้น้อยมาก
          การที่คนไทยใช้การกอดเป็นภาษาเพื่อการสื่อสารทางจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกกันน้อย  เพราะวิธีคิดของสังคมไทย  “ความรักคือการควบคุม”  เพราะฉะนั้นผู้ควบคุมจึงไม่แสดงออกอะไรที่เปิดเผยให้เห็นว่าความรักคืออิสระ  การให้จึงหมายถึงการควบคุมไปด้วยภายใต้เหตุผลที่ถูกยกมาอ้างว่าเป็นความหวังดี  
            ครอบครัวคนไทยจึงไม่นิยมแสดงออกความรักด้วยการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา  โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่ทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวจะถูกตีความว่าเป็นผู้ควบคุมบนพื้นฐานวัฒนธรรมและวิธีคิดที่ผู้ชายเป็นใหญ่
            วิธีคิดอันเต็มไปด้วยข้อจำกัดของแสดงความรักในสังคมไทยเช่นนี้ทำให้เราสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาประเทศในหลายเรื่องมาโดยตลอด  ไม่เว้นแม้แต่การพัฒนาทางการเมือง  
            เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็เชื่อเหลือเกินว่าจะมีใครหลายคนออกมาค้านแล้วพูดว่า  มันเป็นคนละเรื่องกัน  หรือไม่ก็ตั้งคำถามว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร 
            การมองอะไรเป็นคนละเรื่องไปหมดเช่นนี้เองที่เป็นปัญหาว่าด้วยวิธีคิดของสังคมไทย  เพราะถ้ามันจะเป็นคนละเรื่อง  มันก็เป็นคนละเรื่องเดียวกันต่างหาก !!
         ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคนละเรื่องที่ต้องถูกควบคุมจากอำนาจเดียวจึงเป็นรากเหง้าของความรักและอำนาจในสังคมไทย
@@@@@@@

            ผมมีประสบการณ์ตรงว่าด้วยปัญหาเรื่องการกอดอย่างน้อยสองครั้งที่อยากจะถ่ายถอดให้เอาไปคิดต่อกัน  เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกชาย  จำได้ว่าตอนนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นประถมต้นในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงและขยายสาขามาเปิดใกล้บ้าน  ผมและเพื่อนบ้านอีกหลายคนตัดสินใจให้ลูกย้ายจากโรงเรียนเดิมไปโรงเรียนนี้  โดยมีชื่อเสียงและผลงานที่เคยได้รับรู้เป็นแรงจูงใจ
            ต้องบอกก่อนว่าลูกชายของผมนั้นซนไม่แพ้ลิง  แต่ก็เลี้ยงลูกมาโดยไม่มองว่าความซนเป็นปัญหาในชีวิต  มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจความซนมากกว่า  บางคนทำราวกับว่าในวัยเด็กนั้นตัวเองไม่เคยซน  
            ที่บ้านผมอุทิศข้างฝาบ้านทุกห้องให้เป็นกระดาษวาดรูปสำหรับลูกชายทั้งสองคนหรือลิงสองตัว  ประโยชน์ประการแรกที่ได้คือประหยัดเงินค่าวอลเปเปอร์และค่าทาสีบ้านอย่างยิ่ง  มองไปทางไหนก็จะมีแต่ลายเส้นการ์ตูนบ้างอะไรบ้างก็สุดแล้วแต่จะเขียนเอาตามสบาย
            พวกผู้ใหญ่ที่มาบ้านก็วี๊ดว้าย  ดัดจริตกันใหญ่  ทำไมสอนลูกแบบนี้  ทำไมตามใจลูกแบบนี้ !!
            แต่หลังจากนั้นอีกแค่สองปี  ผมไม่เคยเห็นลูกผมเขียนข้างฝาบ้านอีกเลย  จะขอร้องอย่างไรหรือติดสินบนอย่างไรเขาก็ไม่เขียน  ไม่เห็นต้องไปห้ามสักนิด
            คุณได้แต่อ้างเหตุผลการเลี้ยงดู  แต่คุณไม่เคยถามตัวเองเลยว่าข้อห้ามที่คุณห้ามเด็กๆ นะ เพื่อให้เด็กดีจริงๆ หรือเพื่อสนองอะไรบางอย่างในตัวคุณที่คุณมองไม่เห็น !!  
            แต่ความซนของลูกชายคงไปกระทบกับการเรียนการสอนของคุณครู  ไม่นานนักเจ้าลูกชายจึงได้รับตำแหน่งยอดซนและอยู่ในทำเนียบที่ต้องขอเชิญผู้ปกครองไปพบ
           ผมได้รับคำแนะนำจากคุณครูประจำชั้นว่า  อาการซนของลูกชายมีมากกว่าปกติ  ขอให้ทางผู้ปกครองพาลูกชายไปรับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งก็ยอมรับคำแนะนำและปฏิบัติตามด้วยดี 
            ผลของการพบคุณหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีบอกว่าลูกชายมีลักษณะ Hyper Active แต่ไม่มาก  เมื่อโตขึ้นอาการในลักษณะนี้จะลดน้อยลงไปเอง  แต่ตราบใดที่มันยังไม่น้อยลงคุณครูประจำชั้นก็ยังคงมองว่าเป็นปัญหาอยู่เช่นเดิม  จึงบอกกับทางแม่ของเด็กว่าลูกชายควรไปพบหมออีกครั้งและรับประทานยาเพื่อปรับพฤติกรรม 
            โลกของการศึกษาในบ้านเราที่เต็มไปด้วยการประนีประนอม  เพราะเราฝากลูกไว้ในความดูแลของครู  ทำให้ครอบครัวผมต้องยอมพาลูกชายไปหาหมออีกครั้งที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ์  คราวนี้คุณหมอจัดยามาให้กินจนได้  แต่ผลลัพธ์หลังจากที่กินยาไปแล้วระยะหนึ่งก็คือ  ตัวยาไปกดประสาทให้เขาเซื่องซึมจนกลายเป็นคนละคน
            ลูกชายของผมซนน้อยลงสมใจคุณครูแต่กลับดูเหมือนผักมากขึ้นทุกวัน !!
          ผมตัดสินใจไปพบครูประจำชั้นของลูกชายเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนแนวทางบางอย่างที่น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันจากครูว่า  ลูกชายของผมซนสุดๆ จริงๆ  เพราะไม่ยอมอยู่นิ่งในขณะที่ครูสอน  ก็ได้แต่ยืนยันกลับไปว่าอาการที่ว่ามานี้  ไม่ได้เป็นปัญหาที่บ้านมากนักเพราะผมไม่ได้มองว่าความซนมันเป็นปัญหา  แต่ก็ยอมรับว่าที่บ้านอาจจะมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขาซนได้ดีกว่าที่โรงเรียน 
ดูเหมือนการสนทนาระหว่างผู้ปกครองกับครูประจำชั้นจะไม่มีอะไรดีขึ้น  
ก่อนที่จะจบการแลกเปลี่ยนในวันนั้น  ผมถามคำถามๆ หนึ่งกลับไปที่คุณครูคนสวยว่า
            “ครูเคยกอดเขาบ้างมั๊ยครับ ?”
คำตอบที่ได้คือความเงียบ!! และการส่ายหน้าช้าๆ      
ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่ออยู่ที่โรงเรียน  ลูกชายจึงซนกว่าอยู่ที่บ้าน
        แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่ได้กอดลูกก่อนไปโรงเรียน                                                                                            
แต่ก็ไม่รู้ว่าการที่คุณครูท่านเงียบนั้นเพราะไม่เคยรู้จักคำว่ากอด  หรือว่ารู้จักแต่ไม่เข้าใจความหมาย  หรือว่าทั้งรู้จักและเข้าใจความหมายแต่ว่าทำไม่เป็น  
แต่ที่แน่ใจอย่างยิ่งก็คือ  เรื่องนี้คงไม่มีการสอนในตำราหรือหลักสูตรของผู้ที่เรียนครูอย่างแน่นอน  รวมถึงคนที่ทำหน้าที่สอนให้คนเป็นครูจะคิดบ้างหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้   
อาการเงียบของคุณครูเพียงคนเดียวจึงสะท้อนความเป็นไปและวิธีคิดว่าด้วยการแสดงความรักในสังคมไทยและปัญหาในระบบการศึกษาไทยได้มากมาย
ลองคิดดูง่ายๆว่า ถ้ามีนักเรียนในห้องเรียนประมาณ 40 คน  ไปโรงเรียนประมาณ 200 วันต่อปี  
ถ้าคุณครูกอดลูกศิษย์ของตัวเองเพียงแค่วันละ 1 คน  ในแต่ละปีเด็กคนนั้นจะได้รับการกอดจากคุณครูของเขาถึง 5 ครั้ง  
แต่นี่คุณครูไม่เคยกอดเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่กอดเขาทุกวัน 
 เมื่อต้องถึงเวลาที่จะต้องให้เขาเชื่อฟัง  เด็กจะฟังใคร !!
ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นอย่างโรงเรียนมัธยม  การกอดอาจไม่เหมาะสมแล้ว  แต่การแสดงออกว่าคุณครูมีความรักและห่วงใยลูกศิษย์ยังเป็นสิ่งจำเป็น  
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกว่ายังมีครูในบ้านเมืองนี้อีกหลายคนยืนยันที่จะแสดงความรักต่อลูกศิษย์ด้วยไม้เรียวและความรุนแรง  เพียงเพราะข้ออ้างว่าเด็กที่เป็นวัยรุ่นนั้นเริ่มหัวแข็งและดื้อด้าน
ครูเหล่านี้จะคิดสักนิดมั๊ยว่า  การที่เขาต้องมาสอนเด็กดื้อด้านเหล่านี้ก็เพราะในชั้นประถมศึกษานั้นไม่มีครูคนไหนที่เคยกอดเขาเลย
@@@@@@

            อีกเรื่องเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กของตัวผมเอง  เพราะการที่ต้องเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่คุณพ่อและคุณแม่หย่าร้างกัน  ชีวิตจึงต้องระหกระเหเร่ร่อนเหมือนนกไร้รัง  บางครั้งต้องไปอยู่กับคุณแม่  บางครั้งต้องไปอยู่กับคุณพ่อ  หรือบ่อยครั้งก็ต้องตะลอนไปนอนบ้านญาติ  สุดแต่ว่าสถานการณ์และจังหวะในช่วงนั้นจะเป็นอย่างไร
            แต่ที่จำได้ก็คือ  ผมไม่เคยได้รับการกอดจากใครทั้งนั้น !!
            ไม่เคยคิดว่าความอบอุ่นจากการกอดจะมีอยู่จริง  ไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายทุกครั้งที่ดูโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ว่าตัวละครในเรื่องเขากอดกันทำไม  รู้แต่ว่าทุกครั้งที่เห็นใครกอดกัน  แววตาของทั้งสองคนที่เปล่งประกายออกมานั้นเหมือนดวงตายิ้มได้
            มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมต้องไปอยู่กับคุณพ่อ  จำได้ว่าขณะนั้นเรียนอยู่ประถมศึกษาตอนปลายแล้ว  และโรงเรียนนี้ก็เป็นโรงเรียนที่คุณแม่สอนอยู่  แต่เนื่องจากท่านมีครอบครัวใหม่จึงไม่สามารถที่จะพาผมไปอยู่ด้วยได้ 
การไปเรียนและได้เห็นหน้าคุณแม่ทุกวันแต่ไม่สามารถกลับบ้านกับท่านได้เหมือนที่เคยทำ  เป็นความเจ็บปวดที่ต้องเรียนรู้และอยู่กับมันนานนับปี
            ในช่วงพักกลางวันของวันหนึ่ง  มีเสียงตามสายของโรงเรียนประกาศชื่อผมให้ไปที่ร้านสหกรณ์ของโรงเรียน  เมื่อไปถึงแม่ของผมรออยู่ที่นั่นก่อนแล้วกับเพื่อนครูอีกคนหนึ่ง  ทั้งสองคนคุยกันพอจับใจความได้ว่า  คุณแม่ได้เงินมาก่อนหนึ่งและควรจะซื้ออะไรให้ผมสักอย่างหนึ่งเพราะตั้งแต่ไปอยู่กับคุณพ่อก็ไม่เคยได้ของขวัญอะไรจากคุณแม่เลยนอกจากเงินค่าขนม  
             คุณแม่ให้ผมเลือกของในร้านสหกรณ์ที่อยากได้ชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญ
            ผมยืนชื่นชมและยินดีกับของที่ได้รับด้วยอาการดีใจ  จนทำให้คุณแม่ตรงเข้ามาสวมกอดผมไว้แล้วร้องไห้ด้วยความสงสาร  
             ถ้าไม่นับช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ออกมา  มันเป็นความทรงจำแรกที่ได้รับการสวมกอดจากผู้เป็นแม่  มันทำให้ผมรู้ได้ในทันทีถึงสัมผัสและความรู้สึกอันยิ่งใหญ่จากการกอดที่คุณแม่มอบให้
            นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมยังกอดลูกชายเสมอแม้ว่าเขาจะโตเป็นหนุ่มวัยรุ่นแล้วก็ตาม !! 

@@@@@@

            หลายคนบอกว่าการกอดเป็นวัฒนธรรมฝรั่ง  
            ขอค้านหัวชนฝายกเว้นแต่ว่าคนที่พูดนั้นจะปฏิเสธการกอดทุกกรณีไม่ว่ามันจะเป็นวัฒนธรรมของใคร  แต่ก็อยากจะถามสักหน่อยว่า  การที่คุณไม่ยอมกอดอะไรเลยเพราะอ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมฝรั่งนั้น  มันรวมถึงตอนที่คุณร่วมรักกับภรรยาหรือสามีด้วยหรือเปล่า ? 
แล้วคุณอธิบายให้เธอหรือเขาเข้าใจยังไงว่าวัฒนธรรมไทยเขาห้ามกอดกันขณะร่วมรัก !!
            เพราะฉะนั้นการไม่กอดหรือไม่ใช้ภาษากายเพื่อจะแสดงความรักของคนไทยนั้น  นอกจากจะเกลียดตัวกินไข่แล้ว  ยังดัดจริตหรือใช้ยางอายอย่างไม่มีเหตุผล  
             สังคมไทยเริ่มต้นผูกเงื่อนของปัญหาด้วยการใช้ความรักในเชิงอำนาจเสียเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งมันทำให้หลายๆ อย่างในบ้านเมืองนี้ผิดรูปและบิดเบี้ยว  หรือนำไปสู่ปัญหาที่ต้องมาแก้ไขกันในบั้นปลายเสมอ  
              กว่าที่ลูกจะรู้ว่าพ่อแม่รักก็ต่อเมื่อได้ไปกอดคอกันร้องไห้อยู่ในสถานบำบัดยาเสพติด  หรือเฝ้าพร่ำเพ้อขอโทษขอโพยกันอยู่หน้ากรงขัง  แล้วมันก็ไปเป็นฉากซ้ำแล้วซ้ำเล่าในละครน้ำเน่า
ปัญหาคือวิธีคิดนี้ได้รับการสืบทอดกันเป็นมรดก  จากพ่อแม่รุ่นหนึ่งไปสู่พ่อแม่อีกรุ่นหนึ่ง จากครูรุ่นหนึ่งไปสู่ครูอีกรุ่นหนึ่ง                                                                                           
            การที่จะให้สังคมไทยแสดงความรักต่อกันมากขึ้นนั้น  คงต้องรอให้คนรุ่นหนึ่งที่หมักหมมวิธีคิดอันเป็นอุปสรรคต่อการแสดงความรักเอาไว้มากกว่าคนรุ่นอื่นตายไปเสียก่อน  
              เพราะความรักที่แสดงออกในระดับสังคมต้องอาศัยโครงสร้างและการสอดประสานของผู้คนในสังคมให้ไปในทิศทางเดียวกัน  การแสดงความรักในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่อยากแสดงด้วยนั้นเสียเวลาเปล่า
            หวังว่าคนรุ่นใหม่จะแสดงความรักกันมากขึ้น                                                                                               
            พ่อแม่กอดกันมากขึ้น  
  คุณพ่อคุณแม่กอดลูกมากขึ้น 
           พี่น้องกอดกันมากขึ้น 
           เพื่อนกอดเพื่อนมากขึ้น  
           ......และแน่นอนว่าคุณครูควรกอดลูกศิษย์มากขึ้นด้วย

……………………..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น