จีรวัฒน์ ครองแก้ว
การกอดเป็นภาษากายที่งดงามที่สุด แต่แปลกตรงที่คนไทยใช้ภาษานี้น้อยมาก
การที่คนไทยใช้การกอดเป็นภาษาเพื่อการสื่อสารทางจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกกันน้อย เพราะวิธีคิดของสังคมไทย “ความรักคือการควบคุม”
เพราะฉะนั้นผู้ควบคุมจึงไม่แสดงออกอะไรที่เปิดเผยให้เห็นว่าความรักคืออิสระ การให้จึงหมายถึงการควบคุมไปด้วยภายใต้เหตุผลที่ถูกยกมาอ้างว่าเป็นความหวังดี
ครอบครัวคนไทยจึงไม่นิยมแสดงออกความรักด้วยการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่ทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวจะถูกตีความว่าเป็นผู้ควบคุมบนพื้นฐานวัฒนธรรมและวิธีคิดที่ผู้ชายเป็นใหญ่
ครอบครัวคนไทยจึงไม่นิยมแสดงออกความรักด้วยการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่ทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวจะถูกตีความว่าเป็นผู้ควบคุมบนพื้นฐานวัฒนธรรมและวิธีคิดที่ผู้ชายเป็นใหญ่
วิธีคิดอันเต็มไปด้วยข้อจำกัดของแสดงความรักในสังคมไทยเช่นนี้ทำให้เราสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาประเทศในหลายเรื่องมาโดยตลอด ไม่เว้นแม้แต่การพัฒนาทางการเมือง
เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็เชื่อเหลือเกินว่าจะมีใครหลายคนออกมาค้านแล้วพูดว่า มันเป็นคนละเรื่องกัน หรือไม่ก็ตั้งคำถามว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็เชื่อเหลือเกินว่าจะมีใครหลายคนออกมาค้านแล้วพูดว่า มันเป็นคนละเรื่องกัน หรือไม่ก็ตั้งคำถามว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
การมองอะไรเป็นคนละเรื่องไปหมดเช่นนี้เองที่เป็นปัญหาว่าด้วยวิธีคิดของสังคมไทย เพราะถ้ามันจะเป็นคนละเรื่อง มันก็เป็นคนละเรื่องเดียวกันต่างหาก !!
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคนละเรื่องที่ต้องถูกควบคุมจากอำนาจเดียวจึงเป็นรากเหง้าของความรักและอำนาจในสังคมไทย
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคนละเรื่องที่ต้องถูกควบคุมจากอำนาจเดียวจึงเป็นรากเหง้าของความรักและอำนาจในสังคมไทย
@@@@@@@
ผมมีประสบการณ์ตรงว่าด้วยปัญหาเรื่องการกอดอย่างน้อยสองครั้งที่อยากจะถ่ายถอดให้เอาไปคิดต่อกัน
เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกชาย จำได้ว่าตอนนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นประถมต้นในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงและขยายสาขามาเปิดใกล้บ้าน
ผมและเพื่อนบ้านอีกหลายคนตัดสินใจให้ลูกย้ายจากโรงเรียนเดิมไปโรงเรียนนี้
โดยมีชื่อเสียงและผลงานที่เคยได้รับรู้เป็นแรงจูงใจ
ต้องบอกก่อนว่าลูกชายของผมนั้นซนไม่แพ้ลิง
แต่ก็เลี้ยงลูกมาโดยไม่มองว่าความซนเป็นปัญหาในชีวิต
มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจความซนมากกว่า
บางคนทำราวกับว่าในวัยเด็กนั้นตัวเองไม่เคยซน
ที่บ้านผมอุทิศข้างฝาบ้านทุกห้องให้เป็นกระดาษวาดรูปสำหรับลูกชายทั้งสองคนหรือลิงสองตัว ประโยชน์ประการแรกที่ได้คือประหยัดเงินค่าวอลเปเปอร์และค่าทาสีบ้านอย่างยิ่ง มองไปทางไหนก็จะมีแต่ลายเส้นการ์ตูนบ้างอะไรบ้างก็สุดแล้วแต่จะเขียนเอาตามสบาย
พวกผู้ใหญ่ที่มาบ้านก็วี๊ดว้าย ดัดจริตกันใหญ่ ทำไมสอนลูกแบบนี้ ทำไมตามใจลูกแบบนี้ !!
แต่หลังจากนั้นอีกแค่สองปี ผมไม่เคยเห็นลูกผมเขียนข้างฝาบ้านอีกเลย จะขอร้องอย่างไรหรือติดสินบนอย่างไรเขาก็ไม่เขียน ไม่เห็นต้องไปห้ามสักนิด
คุณได้แต่อ้างเหตุผลการเลี้ยงดู แต่คุณไม่เคยถามตัวเองเลยว่าข้อห้ามที่คุณห้ามเด็กๆ นะ เพื่อให้เด็กดีจริงๆ หรือเพื่อสนองอะไรบางอย่างในตัวคุณที่คุณมองไม่เห็น !!
แต่ความซนของลูกชายคงไปกระทบกับการเรียนการสอนของคุณครู ไม่นานนักเจ้าลูกชายจึงได้รับตำแหน่งยอดซนและอยู่ในทำเนียบที่ต้องขอเชิญผู้ปกครองไปพบ
ที่บ้านผมอุทิศข้างฝาบ้านทุกห้องให้เป็นกระดาษวาดรูปสำหรับลูกชายทั้งสองคนหรือลิงสองตัว ประโยชน์ประการแรกที่ได้คือประหยัดเงินค่าวอลเปเปอร์และค่าทาสีบ้านอย่างยิ่ง มองไปทางไหนก็จะมีแต่ลายเส้นการ์ตูนบ้างอะไรบ้างก็สุดแล้วแต่จะเขียนเอาตามสบาย
พวกผู้ใหญ่ที่มาบ้านก็วี๊ดว้าย ดัดจริตกันใหญ่ ทำไมสอนลูกแบบนี้ ทำไมตามใจลูกแบบนี้ !!
แต่หลังจากนั้นอีกแค่สองปี ผมไม่เคยเห็นลูกผมเขียนข้างฝาบ้านอีกเลย จะขอร้องอย่างไรหรือติดสินบนอย่างไรเขาก็ไม่เขียน ไม่เห็นต้องไปห้ามสักนิด
คุณได้แต่อ้างเหตุผลการเลี้ยงดู แต่คุณไม่เคยถามตัวเองเลยว่าข้อห้ามที่คุณห้ามเด็กๆ นะ เพื่อให้เด็กดีจริงๆ หรือเพื่อสนองอะไรบางอย่างในตัวคุณที่คุณมองไม่เห็น !!
แต่ความซนของลูกชายคงไปกระทบกับการเรียนการสอนของคุณครู ไม่นานนักเจ้าลูกชายจึงได้รับตำแหน่งยอดซนและอยู่ในทำเนียบที่ต้องขอเชิญผู้ปกครองไปพบ
ผมได้รับคำแนะนำจากคุณครูประจำชั้นว่า อาการซนของลูกชายมีมากกว่าปกติ
ขอให้ทางผู้ปกครองพาลูกชายไปรับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็ยอมรับคำแนะนำและปฏิบัติตามด้วยดี
ผลของการพบคุณหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีบอกว่าลูกชายมีลักษณะ
Hyper
Active แต่ไม่มาก
เมื่อโตขึ้นอาการในลักษณะนี้จะลดน้อยลงไปเอง แต่ตราบใดที่มันยังไม่น้อยลงคุณครูประจำชั้นก็ยังคงมองว่าเป็นปัญหาอยู่เช่นเดิม จึงบอกกับทางแม่ของเด็กว่าลูกชายควรไปพบหมออีกครั้งและรับประทานยาเพื่อปรับพฤติกรรม
โลกของการศึกษาในบ้านเราที่เต็มไปด้วยการประนีประนอม เพราะเราฝากลูกไว้ในความดูแลของครู ทำให้ครอบครัวผมต้องยอมพาลูกชายไปหาหมออีกครั้งที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ์ คราวนี้คุณหมอจัดยามาให้กินจนได้ แต่ผลลัพธ์หลังจากที่กินยาไปแล้วระยะหนึ่งก็คือ ตัวยาไปกดประสาทให้เขาเซื่องซึมจนกลายเป็นคนละคน
ลูกชายของผมซนน้อยลงสมใจคุณครูแต่กลับดูเหมือนผักมากขึ้นทุกวัน !!
ผมตัดสินใจไปพบครูประจำชั้นของลูกชายเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนแนวทางบางอย่างที่น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันจากครูว่า ลูกชายของผมซนสุดๆ จริงๆ เพราะไม่ยอมอยู่นิ่งในขณะที่ครูสอน ก็ได้แต่ยืนยันกลับไปว่าอาการที่ว่ามานี้
ไม่ได้เป็นปัญหาที่บ้านมากนักเพราะผมไม่ได้มองว่าความซนมันเป็นปัญหา แต่ก็ยอมรับว่าที่บ้านอาจจะมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขาซนได้ดีกว่าที่โรงเรียน
ดูเหมือนการสนทนาระหว่างผู้ปกครองกับครูประจำชั้นจะไม่มีอะไรดีขึ้น
ก่อนที่จะจบการแลกเปลี่ยนในวันนั้น ผมถามคำถามๆ หนึ่งกลับไปที่คุณครูคนสวยว่า
ก่อนที่จะจบการแลกเปลี่ยนในวันนั้น ผมถามคำถามๆ หนึ่งกลับไปที่คุณครูคนสวยว่า
“ครูเคยกอดเขาบ้างมั๊ยครับ
?”
คำตอบที่ได้คือความเงียบ!!
และการส่ายหน้าช้าๆ
ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่ออยู่ที่โรงเรียน ลูกชายจึงซนกว่าอยู่ที่บ้าน
แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่ได้กอดลูกก่อนไปโรงเรียน
แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่ได้กอดลูกก่อนไปโรงเรียน
แต่ก็ไม่รู้ว่าการที่คุณครูท่านเงียบนั้นเพราะไม่เคยรู้จักคำว่ากอด หรือว่ารู้จักแต่ไม่เข้าใจความหมาย หรือว่าทั้งรู้จักและเข้าใจความหมายแต่ว่าทำไม่เป็น
แต่ที่แน่ใจอย่างยิ่งก็คือ เรื่องนี้คงไม่มีการสอนในตำราหรือหลักสูตรของผู้ที่เรียนครูอย่างแน่นอน รวมถึงคนที่ทำหน้าที่สอนให้คนเป็นครูจะคิดบ้างหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้
แต่ที่แน่ใจอย่างยิ่งก็คือ เรื่องนี้คงไม่มีการสอนในตำราหรือหลักสูตรของผู้ที่เรียนครูอย่างแน่นอน รวมถึงคนที่ทำหน้าที่สอนให้คนเป็นครูจะคิดบ้างหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้
อาการเงียบของคุณครูเพียงคนเดียวจึงสะท้อนความเป็นไปและวิธีคิดว่าด้วยการแสดงความรักในสังคมไทยและปัญหาในระบบการศึกษาไทยได้มากมาย
ลองคิดดูง่ายๆว่า
ถ้ามีนักเรียนในห้องเรียนประมาณ 40 คน
ไปโรงเรียนประมาณ 200 วันต่อปี
ถ้าคุณครูกอดลูกศิษย์ของตัวเองเพียงแค่วันละ 1 คน ในแต่ละปีเด็กคนนั้นจะได้รับการกอดจากคุณครูของเขาถึง 5 ครั้ง
แต่นี่คุณครูไม่เคยกอดเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่กอดเขาทุกวัน
ถ้าคุณครูกอดลูกศิษย์ของตัวเองเพียงแค่วันละ 1 คน ในแต่ละปีเด็กคนนั้นจะได้รับการกอดจากคุณครูของเขาถึง 5 ครั้ง
แต่นี่คุณครูไม่เคยกอดเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่กอดเขาทุกวัน
เมื่อต้องถึงเวลาที่จะต้องให้เขาเชื่อฟัง เด็กจะฟังใคร !!
ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นอย่างโรงเรียนมัธยม การกอดอาจไม่เหมาะสมแล้ว
แต่การแสดงออกว่าคุณครูมีความรักและห่วงใยลูกศิษย์ยังเป็นสิ่งจำเป็น
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกว่ายังมีครูในบ้านเมืองนี้อีกหลายคนยืนยันที่จะแสดงความรักต่อลูกศิษย์ด้วยไม้เรียวและความรุนแรง เพียงเพราะข้ออ้างว่าเด็กที่เป็นวัยรุ่นนั้นเริ่มหัวแข็งและดื้อด้าน
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกว่ายังมีครูในบ้านเมืองนี้อีกหลายคนยืนยันที่จะแสดงความรักต่อลูกศิษย์ด้วยไม้เรียวและความรุนแรง เพียงเพราะข้ออ้างว่าเด็กที่เป็นวัยรุ่นนั้นเริ่มหัวแข็งและดื้อด้าน
ครูเหล่านี้จะคิดสักนิดมั๊ยว่า
การที่เขาต้องมาสอนเด็กดื้อด้านเหล่านี้ก็เพราะในชั้นประถมศึกษานั้นไม่มีครูคนไหนที่เคยกอดเขาเลย
@@@@@@
อีกเรื่องเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กของตัวผมเอง เพราะการที่ต้องเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่คุณพ่อและคุณแม่หย่าร้างกัน ชีวิตจึงต้องระหกระเหเร่ร่อนเหมือนนกไร้รัง บางครั้งต้องไปอยู่กับคุณแม่ บางครั้งต้องไปอยู่กับคุณพ่อ หรือบ่อยครั้งก็ต้องตะลอนไปนอนบ้านญาติ สุดแต่ว่าสถานการณ์และจังหวะในช่วงนั้นจะเป็นอย่างไร
แต่ที่จำได้ก็คือ ผมไม่เคยได้รับการกอดจากใครทั้งนั้น !!
ไม่เคยคิดว่าความอบอุ่นจากการกอดจะมีอยู่จริง
ไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายทุกครั้งที่ดูโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ว่าตัวละครในเรื่องเขากอดกันทำไม รู้แต่ว่าทุกครั้งที่เห็นใครกอดกัน แววตาของทั้งสองคนที่เปล่งประกายออกมานั้นเหมือนดวงตายิ้มได้
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมต้องไปอยู่กับคุณพ่อ
จำได้ว่าขณะนั้นเรียนอยู่ประถมศึกษาตอนปลายแล้ว
และโรงเรียนนี้ก็เป็นโรงเรียนที่คุณแม่สอนอยู่ แต่เนื่องจากท่านมีครอบครัวใหม่จึงไม่สามารถที่จะพาผมไปอยู่ด้วยได้
การไปเรียนและได้เห็นหน้าคุณแม่ทุกวันแต่ไม่สามารถกลับบ้านกับท่านได้เหมือนที่เคยทำ เป็นความเจ็บปวดที่ต้องเรียนรู้และอยู่กับมันนานนับปี
ในช่วงพักกลางวันของวันหนึ่ง
มีเสียงตามสายของโรงเรียนประกาศชื่อผมให้ไปที่ร้านสหกรณ์ของโรงเรียน เมื่อไปถึงแม่ของผมรออยู่ที่นั่นก่อนแล้วกับเพื่อนครูอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนคุยกันพอจับใจความได้ว่า
คุณแม่ได้เงินมาก่อนหนึ่งและควรจะซื้ออะไรให้ผมสักอย่างหนึ่งเพราะตั้งแต่ไปอยู่กับคุณพ่อก็ไม่เคยได้ของขวัญอะไรจากคุณแม่เลยนอกจากเงินค่าขนม
คุณแม่ให้ผมเลือกของในร้านสหกรณ์ที่อยากได้ชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญ
คุณแม่ให้ผมเลือกของในร้านสหกรณ์ที่อยากได้ชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญ
ผมยืนชื่นชมและยินดีกับของที่ได้รับด้วยอาการดีใจ จนทำให้คุณแม่ตรงเข้ามาสวมกอดผมไว้แล้วร้องไห้ด้วยความสงสาร
ถ้าไม่นับช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ออกมา มันเป็นความทรงจำแรกที่ได้รับการสวมกอดจากผู้เป็นแม่ มันทำให้ผมรู้ได้ในทันทีถึงสัมผัสและความรู้สึกอันยิ่งใหญ่จากการกอดที่คุณแม่มอบให้
ถ้าไม่นับช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ออกมา มันเป็นความทรงจำแรกที่ได้รับการสวมกอดจากผู้เป็นแม่ มันทำให้ผมรู้ได้ในทันทีถึงสัมผัสและความรู้สึกอันยิ่งใหญ่จากการกอดที่คุณแม่มอบให้
นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมยังกอดลูกชายเสมอแม้ว่าเขาจะโตเป็นหนุ่มวัยรุ่นแล้วก็ตาม !!
@@@@@@
หลายคนบอกว่าการกอดเป็นวัฒนธรรมฝรั่ง
ขอค้านหัวชนฝายกเว้นแต่ว่าคนที่พูดนั้นจะปฏิเสธการกอดทุกกรณีไม่ว่ามันจะเป็นวัฒนธรรมของใคร แต่ก็อยากจะถามสักหน่อยว่า การที่คุณไม่ยอมกอดอะไรเลยเพราะอ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมฝรั่งนั้น มันรวมถึงตอนที่คุณร่วมรักกับภรรยาหรือสามีด้วยหรือเปล่า ?
ขอค้านหัวชนฝายกเว้นแต่ว่าคนที่พูดนั้นจะปฏิเสธการกอดทุกกรณีไม่ว่ามันจะเป็นวัฒนธรรมของใคร แต่ก็อยากจะถามสักหน่อยว่า การที่คุณไม่ยอมกอดอะไรเลยเพราะอ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมฝรั่งนั้น มันรวมถึงตอนที่คุณร่วมรักกับภรรยาหรือสามีด้วยหรือเปล่า ?
แล้วคุณอธิบายให้เธอหรือเขาเข้าใจยังไงว่าวัฒนธรรมไทยเขาห้ามกอดกันขณะร่วมรัก
!!
เพราะฉะนั้นการไม่กอดหรือไม่ใช้ภาษากายเพื่อจะแสดงความรักของคนไทยนั้น นอกจากจะเกลียดตัวกินไข่แล้ว
ยังดัดจริตหรือใช้ยางอายอย่างไม่มีเหตุผล
สังคมไทยเริ่มต้นผูกเงื่อนของปัญหาด้วยการใช้ความรักในเชิงอำนาจเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันทำให้หลายๆ อย่างในบ้านเมืองนี้ผิดรูปและบิดเบี้ยว หรือนำไปสู่ปัญหาที่ต้องมาแก้ไขกันในบั้นปลายเสมอ
กว่าที่ลูกจะรู้ว่าพ่อแม่รักก็ต่อเมื่อได้ไปกอดคอกันร้องไห้อยู่ในสถานบำบัดยาเสพติด หรือเฝ้าพร่ำเพ้อขอโทษขอโพยกันอยู่หน้ากรงขัง แล้วมันก็ไปเป็นฉากซ้ำแล้วซ้ำเล่าในละครน้ำเน่า
สังคมไทยเริ่มต้นผูกเงื่อนของปัญหาด้วยการใช้ความรักในเชิงอำนาจเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันทำให้หลายๆ อย่างในบ้านเมืองนี้ผิดรูปและบิดเบี้ยว หรือนำไปสู่ปัญหาที่ต้องมาแก้ไขกันในบั้นปลายเสมอ
กว่าที่ลูกจะรู้ว่าพ่อแม่รักก็ต่อเมื่อได้ไปกอดคอกันร้องไห้อยู่ในสถานบำบัดยาเสพติด หรือเฝ้าพร่ำเพ้อขอโทษขอโพยกันอยู่หน้ากรงขัง แล้วมันก็ไปเป็นฉากซ้ำแล้วซ้ำเล่าในละครน้ำเน่า
ปัญหาคือวิธีคิดนี้ได้รับการสืบทอดกันเป็นมรดก จากพ่อแม่รุ่นหนึ่งไปสู่พ่อแม่อีกรุ่นหนึ่ง จากครูรุ่นหนึ่งไปสู่ครูอีกรุ่นหนึ่ง
การที่จะให้สังคมไทยแสดงความรักต่อกันมากขึ้นนั้น คงต้องรอให้คนรุ่นหนึ่งที่หมักหมมวิธีคิดอันเป็นอุปสรรคต่อการแสดงความรักเอาไว้มากกว่าคนรุ่นอื่นตายไปเสียก่อน
เพราะความรักที่แสดงออกในระดับสังคมต้องอาศัยโครงสร้างและการสอดประสานของผู้คนในสังคมให้ไปในทิศทางเดียวกัน การแสดงความรักในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่อยากแสดงด้วยนั้นเสียเวลาเปล่า
หวังว่าคนรุ่นใหม่จะแสดงความรักกันมากขึ้น
พ่อแม่กอดกันมากขึ้น
เพราะความรักที่แสดงออกในระดับสังคมต้องอาศัยโครงสร้างและการสอดประสานของผู้คนในสังคมให้ไปในทิศทางเดียวกัน การแสดงความรักในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่อยากแสดงด้วยนั้นเสียเวลาเปล่า
หวังว่าคนรุ่นใหม่จะแสดงความรักกันมากขึ้น
พ่อแม่กอดกันมากขึ้น
คุณพ่อคุณแม่กอดลูกมากขึ้น
พี่น้องกอดกันมากขึ้น
เพื่อนกอดเพื่อนมากขึ้น
......และแน่นอนว่าคุณครูควรกอดลูกศิษย์มากขึ้นด้วย
พี่น้องกอดกันมากขึ้น
เพื่อนกอดเพื่อนมากขึ้น
......และแน่นอนว่าคุณครูควรกอดลูกศิษย์มากขึ้นด้วย
……………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น