วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คุณเห็นอะไรซ่อนอยู่ในกำแพง ?



จีรวัฒน์ ครองแก้ว

              ลองถามตัวเอง ถามจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาแบบไร้จริตดูสักครั้ง  
คุณมองภาพวาดฝีมือจิตรกรนิรนามที่ฝากไว้ตามกำแพงเก่า  ตามตึกร้างหรือแม้กระทั่งพื้นถนนอย่างไร  ?
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คุณจะมองมันในด้านลบมากกว่าด้านบวก                           แต่จะแปลกที่ทุกคนแทบจะไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมคุณคิดอย่างนั้น
ภาพที่ผมใช้ประกอบบทความชิ้นนี้คือกำแพงโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับบ้านของผมเอง
สำหรับครูศิลปะหรือผู้ที่อาจอ้างว่าพอรู้เรื่องศิลปะบ้างอาจจะให้ค่าว่ามันก็แค่กำแพงเปื้อนสีจากเด็กเหลือขอ
สิ่งที่ควรจัดการกับมันคือการลบทำความสะอาดเสียเพื่อให้รั้วกลับมาสวยงามเรียบร้อยเหมือนเดิม 
ที่ผลงานชิ้นนี้ยังอวดฝีมืออยู่ได้อาจเป็นเพราะมุมที่ถูกละเลงเป็นงานฝีมือชิ้นนี้มันซ่อนอยู่ในจุดอับลับตาคน 
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ขอเปรียบเปรยกับอาหารสักจาน  มันเป็นมุมที่ไม่จำเป็นต้องโรยผักชี
วันนี้จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากฝ่ายปกครอง
ถ้ามุมที่เด็กพวกนี้เลือกคือรั้วด้านหน้าโรงเรียน  หรือเกิดกับรั้วโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหรือในกรุงเทพฯ ผมคิดว่าป่านนี้ผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้คงถูกลบไปในทันทีที่ฝ่ายปกครองมาเห็นพร้อมๆ กับแก๊งค์นักวาดที่จะต้องถูกเรียกตัวไปทำโทษให้หลาบจำ
          ข้อหาทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน
          เป็นเด็กไร้วัฒนธรรมที่ไม่รู้กาลเทศะ!!
วันที่ศิลปินวัยกระเตาะนัดรวมตัวกันมาสร้างผลงานชิ้นนี้  เป็นวันที่ผมอยู่บ้านและนั่งฟังเหตุการณ์อยู่ด้วยเกือบตลอดเวลาที่พวกเขารังสรรค์งานร่วมกัน
เสียงพูดคุย ปรึกษาหารือ  เสียงหัวเราะและบทสนทนาเกือบทั้งหมดกระทบโสตประสาทผมพอที่จะเข้าใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรและต้องการอะไร
             ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่  ผมขอตอบด้วยความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นและอย่างไม่ต้องเอียงอายใส่จริตใดๆ ว่า สิ่งที่ผมได้ยินในวันนั้น                                                                                                                                      
คือเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข !!
คุณลองย้อนความทรงจำของคุณกลับไปในวัยเด็กสักเสี้ยววินาที  คุณจะพบว่าจิตใต้สำนึกของคุณจะพุ่งตรงไปที่ความทรงจำที่เป็นความสุข
ความสุขคือสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการไม่ใช่หรือ ?
ถ้าสิ่งที่คุณต้องการในวัยเด็กคือความทุกข์ผมคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าจะแนะนำให้คุณไปพบแพทย์  แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการนั้นเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าคือความสุข
คำถามต่อไปที่คุณไม่สามารถละเลยได้ไม่ว่าคุณจะมีบุคลิกภาพประนีประนอมมากแค่ไหนก็ตามก็คือคำถามที่ว่า
“แล้วทำไมเด็กกลุ่มนี้ต้องแอบมาหาความสุขนอกรั้วโรงเรียนที่ลับหูลับตาอาจารย์เช่นนี้ ?”
ทำไมความสุขของเด็กกลุ่มนี้ไม่เกิดขึ้นต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนๆ ทุกคนภายในรั้วโรงเรียน !!
ทำไมความสุขของพวกเขาจึงต้องกระทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ก็กล้าหาญที่จะทำทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดและอาจถูกลงโทษเมื่อถูกจับได้
ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม  ทำไม  ทำไม  ทำไม  ทำไม ทำไม  ทำไม  
ผมกำลังจะบอกว่าความผิดซึ่งเป็นการกระทำที่พวกคุณ (ครู) ทั้งหลายเป็นผู้กำหนดค่าแต่ฝ่ายเดียวนั้น  ไม่เคยถูกมองในมุมที่ใช้เพื่อการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เลย 
คุณ (ครู) ทั้งหลายไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมจึงมีความคิดเช่นนั้น คุณคิดและทำในที่สิ่งคุณทำมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนให้สังคมยอมรับว่านี่คือมาตรฐานการศึกษา
จะมีครูสักกี่คนที่กำหนดเป้าหมายในการเรียนการสอนของตัวเองและโรงเรียนไว้ว่า
การเรียนคือความสุข  โรงเรียนคือสถานที่ที่อบอวลไปด้วยความสุข                        โรงเรียนคือที่ที่ต้องปลอดจากอำนาจและการบังคับขู่เข็ญ !!                                        โรงเรียนคือที่ๆ เด็กจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับกลิ่นอายอันเต็มไปด้วยเสรีภาพและคุณค่าของมัน !!
คุณลองเอานโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมากางดูและเปรียบเทียบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงเรียนในประเทศนี้ดูก็แล้วกัน  คุณจะพบว่าทุกวันนี้เราผลิตนักเรียนออกมา 3 กลุ่มเท่านั้น
1.      เด็กที่มีความสุขมากที่บ้าน  เมื่อมาเรียนจึงทนกับความทุกข์ในโรงเรียนได้
2.      เด็กที่มีความสุขบ้างไม่สุขบ้างที่บ้าน  เมื่อมาเรียนจึงมีความสุขบ้างไม่มีความสุขบ้างเหมือนกัน
3.      เด็กที่มีแต่ความทุกข์ที่บ้าน  เมื่อมาเรียนยิ่งเหมือนดิ่งจมลงไปบนกองทุกข์และถูกผลักให้ห่างไกลจากความสุขออกไปทุกที
คุณคิดว่าประไทยมีเด็กกลุ่มไหนมากที่สุด ?
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งว่า  ทุกวันนี้ยังมีครูและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังมีเชื่อว่า  ความเลวของเด็กหรือมนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นจากสันดาน !!
เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วย  “อำนาจ”
คุณจะไม่ตระหนักรู้เลยว่าอำนาจคือตัวการที่ทำให้  “ความรัก” ขาดหายไปจากสังคมไทย !!
ถ้าผมจะลองตั้งคำถามอย่างสุดโต่งดูว่าสังคมไทยมีความรักให้กันน้อยลงทุกที  เชื่อว่าจะต้องมีหลายคนที่เถียงคอเป็นเอ็นและอาจได้รับคำตำหนิว่าผมกำลังดูแคลนคนไทยและสังคมไทยเกินไป
แน่นอนเหลือเกินว่าคำตำหนิเหล่านี้จะต้องออกมาจากปากของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ชอบผูกขาดความคิดความเชื่อไว้ที่พวกเขาเพียงกลุ่มเดียว  คนพวกนี้ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าเคยรักใครหรือเปล่านอกจากตัวเอง ?
ตัวอย่างของคนพวกนี้พบเห็นได้ไม่อยาก สัญลักษณ์ของพวกเขาคือ “อำนาจ” ที่ถืออยู่ในมือ
คนพวกนี้เชื่อว่า “อำนาจคือความรัก”  ไม่ได้คิดว่า “ความรักคืออำนาจ”
การเลี้ยงดูลูกหลานในครอบครัว  การเรียนในโรงเรียน  การทำงาน  หรือแม้แต่การปฏิบัติต่อประชาชนของรัฐล้วนเป็นเรื่องของอำนาจทั้งสิ้น
ลองนับดูสิว่าในสังคมไทยมีคนที่มีความรักและศรัทธาในตัวเองและผู้อื่นอยู่สักกี่คน
ผมไม่ได้เหมารวมถึงผู้คนทั้งหมดในประเทศนี้  แต่คุณคิดว่าเรามีคนแบบนี้อยู่เป็นส่วนน้อยหรือส่วนมากของประเทศล่ะ !!
สังคมไทยไม่นิยมที่จะพูดถึงปัญหาอันเป็นรากเหง้าของมนุษย์กันตรงๆ  คิดอยู่อย่างเดียวว่าสิ่งที่เรามีและประกอบกันขึ้นเป็นเรานั้นช่างเลิศเลอและไม่มีใครจะเทียบได้
สังคมไทยยอมรับไม่ได้ที่จะบอกว่าคุณภาพของผู้คนในประเทศนี้บางเรื่องมันห่วยแตก !!
จิตรกรรมฝาผนังบนรั้วโรงเรียนแห่งนี้เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งอีกหลายปัญหาอันว่าด้วยอำนาจในรั้วโรงเรียนและผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคนที่เป็นครูได้อ่านบทความนี้แล้วจะร้องกรี๊ด ควันออกหูหรือโกรธจนตัวสั่น !!                          
            คนพวกนี้ไม่ยอมให้ใครแตะต้องมานานแล้ว
            เพราะเขาเป็นครู  เราจะไปรู้ดีกว่ากว่าคนที่เป็นครูได้อย่างไร ?
ใช่..  คุณอาจอ้างการเป็นครูได้ 
แต่ผมไม่เห็นใครรับสารภาพเลยว่ามาเป็นครูด้วยความตั้งใจที่จะเป็นตั้งแต่แรกหรือเปล่า ?
วิงวอนให้ลองกลับไปดูจิตรกรรมฝาผนังบนรั้วโรงเรียนใหม่อีกครั้ง  แล้วลองเปลี่ยนมุมของคำถามที่เกิดขึ้น ลองเปลี่ยนคนที่ถูกตั้งคำถามให้เป็นตัวคุณเอง
ถ้าคุณคิดว่าเด็กมีสันดานของความเลว ! แล้วตัวคุณล่ะ ? 
ถ้าความเจ็บปวดและทุกข์ของเด็กเป็นกระจกให้คนเป็นครูไม่ได้                               จะคาดหวังอะไรกับการศึกษาของบ้านเรา !!
……………………..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น