จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ลองถามตัวเอง ถามจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาแบบไร้จริตดูสักครั้ง
คุณมองภาพวาดฝีมือจิตรกรนิรนามที่ฝากไว้ตามกำแพงเก่า
ตามตึกร้างหรือแม้กระทั่งพื้นถนนอย่างไร ?
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คุณจะมองมันในด้านลบมากกว่าด้านบวก แต่จะแปลกที่ทุกคนแทบจะไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมคุณคิดอย่างนั้น
ภาพที่ผมใช้ประกอบบทความชิ้นนี้คือกำแพงโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับบ้านของผมเอง
สำหรับครูศิลปะหรือผู้ที่อาจอ้างว่าพอรู้เรื่องศิลปะบ้างอาจจะให้ค่าว่ามันก็แค่กำแพงเปื้อนสีจากเด็กเหลือขอ
สิ่งที่ควรจัดการกับมันคือการลบทำความสะอาดเสียเพื่อให้รั้วกลับมาสวยงามเรียบร้อยเหมือนเดิม
ที่ผลงานชิ้นนี้ยังอวดฝีมืออยู่ได้อาจเป็นเพราะมุมที่ถูกละเลงเป็นงานฝีมือชิ้นนี้มันซ่อนอยู่ในจุดอับลับตาคน
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ขอเปรียบเปรยกับอาหารสักจาน มันเป็นมุมที่ไม่จำเป็นต้องโรยผักชี
วันนี้จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ
จากฝ่ายปกครอง
ถ้ามุมที่เด็กพวกนี้เลือกคือรั้วด้านหน้าโรงเรียน หรือเกิดกับรั้วโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหรือในกรุงเทพฯ
ผมคิดว่าป่านนี้ผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้คงถูกลบไปในทันทีที่ฝ่ายปกครองมาเห็นพร้อมๆ
กับแก๊งค์นักวาดที่จะต้องถูกเรียกตัวไปทำโทษให้หลาบจำ
ข้อหาทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน
เป็นเด็กไร้วัฒนธรรมที่ไม่รู้กาลเทศะ!!
ข้อหาทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน
เป็นเด็กไร้วัฒนธรรมที่ไม่รู้กาลเทศะ!!
วันที่ศิลปินวัยกระเตาะนัดรวมตัวกันมาสร้างผลงานชิ้นนี้ เป็นวันที่ผมอยู่บ้านและนั่งฟังเหตุการณ์อยู่ด้วยเกือบตลอดเวลาที่พวกเขารังสรรค์งานร่วมกัน
เสียงพูดคุย
ปรึกษาหารือ
เสียงหัวเราะและบทสนทนาเกือบทั้งหมดกระทบโสตประสาทผมพอที่จะเข้าใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรและต้องการอะไร
ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ผมขอตอบด้วยความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นและอย่างไม่ต้องเอียงอายใส่จริตใดๆ ว่า สิ่งที่ผมได้ยินในวันนั้น
ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ผมขอตอบด้วยความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นและอย่างไม่ต้องเอียงอายใส่จริตใดๆ ว่า สิ่งที่ผมได้ยินในวันนั้น
คือเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข !!
คุณลองย้อนความทรงจำของคุณกลับไปในวัยเด็กสักเสี้ยววินาที คุณจะพบว่าจิตใต้สำนึกของคุณจะพุ่งตรงไปที่ความทรงจำที่เป็นความสุข
ความสุขคือสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการไม่ใช่หรือ ?
ถ้าสิ่งที่คุณต้องการในวัยเด็กคือความทุกข์ผมคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าจะแนะนำให้คุณไปพบแพทย์
แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการนั้นเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าคือความสุข
คำถามต่อไปที่คุณไม่สามารถละเลยได้ไม่ว่าคุณจะมีบุคลิกภาพประนีประนอมมากแค่ไหนก็ตามก็คือคำถามที่ว่า
“แล้วทำไมเด็กกลุ่มนี้ต้องแอบมาหาความสุขนอกรั้วโรงเรียนที่ลับหูลับตาอาจารย์เช่นนี้
?”
ทำไมความสุขของเด็กกลุ่มนี้ไม่เกิดขึ้นต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนๆ
ทุกคนภายในรั้วโรงเรียน !!
ทำไมความสุขของพวกเขาจึงต้องกระทำแบบหลบๆ
ซ่อนๆ แต่ก็กล้าหาญที่จะทำทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดและอาจถูกลงโทษเมื่อถูกจับได้
ทำไม
ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม
ทำไม ทำไม ทำไม
ทำไม ทำไม ทำไม
ผมกำลังจะบอกว่าความผิดซึ่งเป็นการกระทำที่พวกคุณ
(ครู) ทั้งหลายเป็นผู้กำหนดค่าแต่ฝ่ายเดียวนั้น
ไม่เคยถูกมองในมุมที่ใช้เพื่อการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เลย
คุณ
(ครู) ทั้งหลายไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมจึงมีความคิดเช่นนั้น คุณคิดและทำในที่สิ่งคุณทำมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนให้สังคมยอมรับว่านี่คือมาตรฐานการศึกษา
จะมีครูสักกี่คนที่กำหนดเป้าหมายในการเรียนการสอนของตัวเองและโรงเรียนไว้ว่า
การเรียนคือความสุข
โรงเรียนคือสถานที่ที่อบอวลไปด้วยความสุข โรงเรียนคือที่ที่ต้องปลอดจากอำนาจและการบังคับขู่เข็ญ
!! โรงเรียนคือที่ๆ เด็กจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับกลิ่นอายอันเต็มไปด้วยเสรีภาพและคุณค่าของมัน
!!
คุณลองเอานโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมากางดูและเปรียบเทียบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงเรียนในประเทศนี้ดูก็แล้วกัน คุณจะพบว่าทุกวันนี้เราผลิตนักเรียนออกมา 3 กลุ่มเท่านั้น
1.
เด็กที่มีความสุขมากที่บ้าน เมื่อมาเรียนจึงทนกับความทุกข์ในโรงเรียนได้
2.
เด็กที่มีความสุขบ้างไม่สุขบ้างที่บ้าน เมื่อมาเรียนจึงมีความสุขบ้างไม่มีความสุขบ้างเหมือนกัน
3.
เด็กที่มีแต่ความทุกข์ที่บ้าน เมื่อมาเรียนยิ่งเหมือนดิ่งจมลงไปบนกองทุกข์และถูกผลักให้ห่างไกลจากความสุขออกไปทุกที
คุณคิดว่าประไทยมีเด็กกลุ่มไหนมากที่สุด ?
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งว่า ทุกวันนี้ยังมีครูและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังมีเชื่อว่า ความเลวของเด็กหรือมนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นจากสันดาน !!
เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วย “อำนาจ”
คุณจะไม่ตระหนักรู้เลยว่าอำนาจคือตัวการที่ทำให้
“ความรัก” ขาดหายไปจากสังคมไทย
!!
ถ้าผมจะลองตั้งคำถามอย่างสุดโต่งดูว่าสังคมไทยมีความรักให้กันน้อยลงทุกที เชื่อว่าจะต้องมีหลายคนที่เถียงคอเป็นเอ็นและอาจได้รับคำตำหนิว่าผมกำลังดูแคลนคนไทยและสังคมไทยเกินไป
แน่นอนเหลือเกินว่าคำตำหนิเหล่านี้จะต้องออกมาจากปากของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ชอบผูกขาดความคิดความเชื่อไว้ที่พวกเขาเพียงกลุ่มเดียว คนพวกนี้ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าเคยรักใครหรือเปล่านอกจากตัวเอง
?
ตัวอย่างของคนพวกนี้พบเห็นได้ไม่อยาก
สัญลักษณ์ของพวกเขาคือ “อำนาจ” ที่ถืออยู่ในมือ
คนพวกนี้เชื่อว่า
“อำนาจคือความรัก” ไม่ได้คิดว่า “ความรักคืออำนาจ”
การเลี้ยงดูลูกหลานในครอบครัว การเรียนในโรงเรียน การทำงาน
หรือแม้แต่การปฏิบัติต่อประชาชนของรัฐล้วนเป็นเรื่องของอำนาจทั้งสิ้น
ลองนับดูสิว่าในสังคมไทยมีคนที่มีความรักและศรัทธาในตัวเองและผู้อื่นอยู่สักกี่คน
ผมไม่ได้เหมารวมถึงผู้คนทั้งหมดในประเทศนี้ แต่คุณคิดว่าเรามีคนแบบนี้อยู่เป็นส่วนน้อยหรือส่วนมากของประเทศล่ะ !!
ผมไม่ได้เหมารวมถึงผู้คนทั้งหมดในประเทศนี้ แต่คุณคิดว่าเรามีคนแบบนี้อยู่เป็นส่วนน้อยหรือส่วนมากของประเทศล่ะ !!
สังคมไทยไม่นิยมที่จะพูดถึงปัญหาอันเป็นรากเหง้าของมนุษย์กันตรงๆ
คิดอยู่อย่างเดียวว่าสิ่งที่เรามีและประกอบกันขึ้นเป็นเรานั้นช่างเลิศเลอและไม่มีใครจะเทียบได้
สังคมไทยยอมรับไม่ได้ที่จะบอกว่าคุณภาพของผู้คนในประเทศนี้บางเรื่องมันห่วยแตก
!!
จิตรกรรมฝาผนังบนรั้วโรงเรียนแห่งนี้เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งอีกหลายปัญหาอันว่าด้วยอำนาจในรั้วโรงเรียนและผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคนที่เป็นครูได้อ่านบทความนี้แล้วจะร้องกรี๊ด ควันออกหูหรือโกรธจนตัวสั่น !!
คนพวกนี้ไม่ยอมให้ใครแตะต้องมานานแล้ว
เพราะเขาเป็นครู เราจะไปรู้ดีกว่ากว่าคนที่เป็นครูได้อย่างไร ?
คนพวกนี้ไม่ยอมให้ใครแตะต้องมานานแล้ว
เพราะเขาเป็นครู เราจะไปรู้ดีกว่ากว่าคนที่เป็นครูได้อย่างไร ?
ใช่.. คุณอาจอ้างการเป็นครูได้
แต่ผมไม่เห็นใครรับสารภาพเลยว่ามาเป็นครูด้วยความตั้งใจที่จะเป็นตั้งแต่แรกหรือเปล่า
?
วิงวอนให้ลองกลับไปดูจิตรกรรมฝาผนังบนรั้วโรงเรียนใหม่อีกครั้ง แล้วลองเปลี่ยนมุมของคำถามที่เกิดขึ้น ลองเปลี่ยนคนที่ถูกตั้งคำถามให้เป็นตัวคุณเอง
ถ้าคุณคิดว่าเด็กมีสันดานของความเลว
!
แล้วตัวคุณล่ะ ?
ถ้าความเจ็บปวดและทุกข์ของเด็กเป็นกระจกให้คนเป็นครูไม่ได้ จะคาดหวังอะไรกับการศึกษาของบ้านเรา !!
……………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น