รถไฟ นาฬิกาและชะตาชีวิต
ภาพจาก http://www.foxnews.com/health/ จีรวัฒน์ ครองแก้ว
วันแรกของการเป็นพ่อค้าลูกชิ้นปิ้งของผมกับพี่เปี๊ยกเริ่มต้นขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น
ประเมินดูจากลูกชิ้นที่พี่เปี๊ยกปิ้งแล้ววางใส่ถาดให้ผมมีทั้งที่ยังไม่สุกและไหม้เกรียม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะใส่ใจนัก คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะให้ขายหมดไวๆ
แล้วกลับไปนอนคุยกับพี่เปี๊ยกมากกว่า
พี่เปี๊ยกก็เช่นกัน
ดูแกจะไม่มีสมาธิกับการปิ้งลูกชิ้นสักเท่าไหร่ ผมสังเกตเห็นแกชะเง้อมองขบวนรถไฟทุกขบวนที่เคลื่อนเข้ามาในชานชะลาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน
“เอ็งปิ้งดีๆ
ได้มั๊ยวะไอ้เปี๊ยก ดูสิไหม้หมดแล้ว ถ้าไม้ไหนขายไม่ได้กูจะเอาคลุกขี้เถ้าให้พวกมึงกินแทนข้าว”
ในหัวสมองผมมีแต่คำถามทุกครั้งที่เธอเกรี้ยวกราดใส่พวกเรา ถ้าเธอจะทำดีกับเราขึ้นกว่านี้สักนิด
บางครั้งผมกับพี่เปี๊ยกอาจทนอยู่กับความลำบากนี้ได้ แต่เมื่อเธอและนายชดไม่เคยคิด
ทำไมผมและพี่เปี๊ยกจะต้องทนอยู่กับการจองจำที่แสนทรมานนี้
ตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ผมแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่เปี๊ยกเลย
เพราะน้าณีนั่งคุมเชิงพี่เปี๊ยกอยู่ไม่ห่าง เมื่อใดที่รถไฟเข้าเทียบชานชะลา เธอจะเดินตามไปยืนดูผมขึ้นไปขายลูกชิ้นบนขบวนรถอย่างไม่คลาดสายตาและเธอจะมีความสุขทุกครั้งที่ผมกลับลงมาพร้อมเงินเต็มถาดที่ยื่นให้
“มึงมัวเหม่ออะไรอยู่วะไอ้บอย รถไฟเข้าสถานีแล้วไม่เห็นเหรอ”
เสียงตวาดของเธอทำให้ผมสะดุ้ง พี่เปี๊ยกมองมาที่ผมแล้วพยักพเยิดให้ผมรีบเอาลูกชิ้นใส่ถาด แกคงรำคาญเสียงของเธอเต็มที
ผมรีบเอาลูกชิ้นใส่ถาดแล้วเดินตรงไปที่ขบวนรถไฟ
กลิ่นลูกชิ้นปิ้งหอมกรุ่นที่ลอยมาเตะจมูกอยู่แค่คืบไม่ได้ยั่วน้ำลายผมแล้ว
มันกลายเป็นกลิ่นที่บีบคั้นความรู้สึกจนต่อมน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ลูกชิ้นปิ้งครับลูกชิ้นปิ้ง”
เสียงร้องขายลูกชิ้นของผมฟังดูไม่ราบเรียบนัก บางครั้งมันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ
จนผมต้องพยายามตัดความกังวลทั้งหมดออกไปเมื่อคิดได้ว่า ถ้าวันนี้ลูกชิ้นเหลือ
มันคงไม่เป็นผลดีสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกอย่างแน่นอน
ทางออกของผมคือการพยายามทำความรู้สึกให้เพลิดเพลินกับความจอแจบนโบกี้รถไฟ
เพราะผู้คนที่เดินทางมากับรถไฟแต่ละขบวนเหมือนละครโรงใหญ่ที่มีชีวิต
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนมารวมกันมากมายขนาดนี้ แต่ละคนแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย บางคนแต่งเครื่องแบบเท่ห์ๆ และนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น บางคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มาพร้อมสัมภาระกองใหญ่ พวกเขาพูดคุยกันเหมือนไม่อยากหยุดพักหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันมานานแรมปี
ที่นั่งตอนท้ายของแต่ละโบกี้มักจะมีพระภิกษุนั่งอยู่ ท่านนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น
บางครั้งผมเห็นมีลูกศิษย์นั่งมาด้วย
อายุคงจะไล่เลี่ยกับผม
แต่แววตาพวกเขาไม่เหมือนผม
บางโบกี้จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่แต่งตัวด้วยเสื้อแขนสั้นสีขาวทั้งหมด ผู้ชายจะใส่กางเกงขายาวสีดำส่วนผู้หญิงจะใส่กระโปรงสีดำบ้างน้ำเงินบ้างคละกันไป หน้าตาที่สดใสดูมีความสุขไม่แพ้คำพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ครื้นเครงอยู่เป็นอยู่ระยะ พวกเขาเหมือนคนพิเศษในสายตาผม
ถ้าพี่เปี๊ยกได้เรียนหนังสือก็คงแต่งตัวแบบนี้ !!
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกเขาดูมีความสุขกับการเดินทางมากกว่าเด็กขายลูกชิ้นปิ้งอย่างผม อาจจะมีบางคนที่เหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างบ้าง แต่เขาคงเหม่อลอยออกไปด้วยความเพลิดเพลินมากกว่า ไม่เหมือนผมที่เหม่อลอยเกือบจะเจอดี
“ระวังไอ้หนู
!!”
ผู้หญิงวัยกลางคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านริมบนรถไฟร้องทักด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยพร้อมกับมือที่ยืนมาประคองไหล่ผมที่เอนเข้าไปหา ในขณะที่ผมพยายามฝืนมือที่ถือถาดลูกชิ้นให้ตั้งตรงเข้าไว้
“เดินดีๆ
อย่าเหม่อสิวะไอ้เด็กใหม่”
ผมหันไปตามเสียง เห็นเด็กหนุ่มอายุน่าจะมากกว่าพี่เปี๊ยกสักสองสามปียืนแสยะยิ้มอยู่ข้างๆ
ในมือเขาแบกถาดขายของสัพเพเหระเช่นยาดม กระดาษชำระและหมากฝรั่ง ตัวเขาดำเหมือนเอาถ่านไปทาเอาไว้เช่นเดียวกับผมที่หยิกจนขดกันเหมือนรังนก
แต่แววตาที่มองมาเหมือนเย้ยหยันและข่มเด็กใหม่อย่างผมอยู่ในที
“ขอโทษครับ”
สัญชาติญาณเอาตัวรอดทำให้ผมรีบพูดออกไปเสียก่อนที่เขาจะรู้สึกหมั่นไส้ผมไปมากกว่านี้
“เฮ้ย...เดี๋ยวพวกกูรับน้องให้เอามั๊ย
?”
ผมไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูดนอกจากรีบเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว
สังเกตว่ายังมีพรรคพวกของเขายืนรอหัวเราะเยาะผมอีกสองสามคน บางคนขายหนังสือพิมพ์ บางคนขายน้ำอัดลม
“มึงจะเดินหนีไปไหน เดี๋ยวก็ต้องเจอกูอีก”
เสียงเด็กผมหยิกคนนั้นพูดไล่หลังมาแต่ผมไม่อยากหันไปมอง
สังเกตดูผู้โดยสารบนขบวนรถก็ไม่สนใจอะไรสิ่งที่เกิดขึ้นนัก
พวกเขาดูเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับเด็กขายของบนรถไฟสักเท่าไหร่ หรือไม่ก็คงไม่อยากเสียเวลาใส่ใจกับเด็กที่ไร้ราคาอย่างเรา
สิ้นเสียงระฆังนายสถานีประกาศว่ารถไฟกำลังจะออกเดินทางต่อ พลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในอารมณ์ชั่ววูบ !!
“หรือเราจะหนีไปกับรถไฟขบวนนี้ ?”
สติที่ถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็วบอกผมในทันทีว่าเป็นไปไม่ได้
ถึงผมจะหนีไปได้แต่ผมจะทิ้งพี่เปี๊ยกไว้คนเดียวได้อย่างไร
ความรู้สึกที่โง่เขลาถูกลบหายออกไปในทันที เหลือเพียงความรู้สึกผิดที่กลับมาทิ่มแทงตัวเอง
ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น
ผมตัดสินใจก้าวลงจากโบกี้สุดท้ายของขบวนรถเดินกลับไปหาพี่เปี๊ยก
“เป็นไงวะไอ้พ่อค้าลูกชิ้นปิ้ง”
เสียงนายเพิงทักผมเมื่อเดินมาถึงรถเข็นปิ้งลูกชิ้น หน้าตายียวนของเขาทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนอยู่ข้างใน
“อ้าว..มาตั้งแต่เมื่อไหร่
?” น้าณีร้องทัก
“สักพักนี้แหละ
จะมาถามพี่ณีว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย”
นายเพิงถามพลางหันมามองหน้าผม
“ก็เรียบร้อยดี ขายดีซะด้วยสิ”
“ใช้ไอ้บอยขายน่ะดีแล้ว คนเขาจะได้สงสาร
ว่าแต่ว่าเอ็งไปรายงานตัวกับพี่ใหญ่เอ็งหรือยังหล่ะ ?”
นายเพิงโน้มตัวลงมาหาผม นัยน์ตาของเขาดูเจ้าเล่ห์พิกล
ผมอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ว่าไงน้าเพิงมาตรวจงานแต่เช้าเลยนะ”
ผมหันไปตามเสียง เด็กชายผมหยิกที่กระแทกผมเกือบล้มบนขบวนรถนั่นเอง
“นี่ไงไอ้บอยลูกพี่เอ็ง
ไอ้ก้าน รู้จักเอาไว้ซะ”
นายเพิงพูดพลางชี้นิ้วไปที่เด็กผมหยิกคนนั้น
“อ๋อ...รู้จักกันแล้ว แต่ยังไม่ได้รับน้อง รอโอกาสเหมาะๆ ก่อน”
เสียงลากยาวของเด็กชื่อก้านยียวนจนอยากจะอาเจียน ผมเบือนหน้าหนีหันไปทางพี่เปี๊ยกเห็นแกยืนขบกรามนิ่ง ในมือกำไม้คีบถ่านแน่นพร้อมสายตาที่มองเด็กชื่อก้านอย่างไม่ไว้ใจ
“ไอ้หนูช่วยดูไอ้บอยให้น้าด้วยนะ”
เสียงน้าณีพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงจ๊ะน้า เรื่องดูแลเด็กๆ
นี่ขอให้บอกฉันเอาอยู่หมัดอยู่แล้ว”
ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าคนชื่อก้านหันมาทางผมพร้อมแสยะยิ้มเห็นฟันขาวแถมยักคิ้วอย่างยียวน
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะพี่ณี”
ก่อนจะไปจากตรงนั้นนายเพิงก้มลงมากระซิบบางอย่างกับผมที่ข้างหู
“ถ้าเอ็งขายเก่งๆ
อีกหน่อยข้าจะเอาลูกชิ้นเม็ดเล็กๆ มาให้เอ็งขายนะไอ้หนู หึๆ”
นายเพิงหลิ่วตาใส่ผมก่อนเดินจากไป
ทิ้งไว้แต่ความสงสัยว่าลูกชิ้นเม็ดเล็กที่พูดถึงนั้นมันคืออะไร แต่ก่อนที่ความคิดจะอึดอัดมากไปกว่านั้น เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ
วันนั้นผมต้องวนเวียนขึ้นลงรถไฟเพื่อขายลูกชิ้นปิ้งอีกนับสิบรอบ
@@@@@
“ไอ้บอย อย่าเพิ่งหลับ”
เสียงกระซิบของพี่เปี๊ยกดังขึ้นที่ข้างหูผมขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราต้องวางแผนหนีกัน !”
ในที่สุดคำพูดนี้ก็หลุดออกมาจากปากพี่เปี๊ยก
“แต่ข้าสังหรณ์ใจ”
คำพูดเพียงสองสามคำแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นกังวลของพี่เปี๊ยก
“พี่สังหรณ์ใจอะไร
?” ผมกระซิบถาม
“ข้าสังหรณ์ใจว่าการหนีของเรามันจะยากกว่าที่พี่นุชหนี”
พี่เปี๊ยกเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ
“ไอ้บอย
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอ็งต้องดูแลตัวเองให้ได้รู้มั๊ย”
ผมพยักหน้าอยู่ในความมืด
“ไฟฉายอยู่ไหน”
พี่เปี๊ยกถาม
“อยู่นี่จ๊ะ”
ผมล้วงไฟฉายในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้พี่เปี๊ยก พี่เปี๊ยกรับมันไว้แล้วดึงผมห่มมาคลุมตัวเราสองคนก่อนที่จะเปิดไฟฉายขึ้นแล้วล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“เอ็งดูนี่”
พี่เปี๊ยกกระซิบแล้วส่องไปฉายไปที่นาฬิกาข้อมือที่น้าเมฆให้มา
“เราจะรอดไปได้เพราะนาฬิกาเรือนนี้”
พี่เปี๊ยกพูดแต่ผมกลับไม่เข้าใจความหมาย
“เอ็งกับข้าต้องอดทนอีกสักสองอาทิตย์
ข้าต้องการให้แน่ใจว่าทุกอย่างมันจะตรงเวลาหรือเปล่า”
คำพูดของพี่เปี๊ยกทำให้ผมสับสนมากขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจ”
ผมบอกพี่เปี๊ยกไปตามตรง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะใช้นาฬิกานี้จับเวลาทุกอย่างเอาไว้โดยเฉพาะขบวนรถไฟที่ล่องลงใต้”
พี่เปี๊ยกค่อยๆ
เฉลยแผนการ แต่ผมก็ยังคงไม่เข้าใจนัก
“เอ็งเห็นมั๊ยว่ารถไฟที่ล่องลงใต้ทุกขบวน
จะมีท้ายขบวนอยู่ใกล้กับหน้าบ้านที่สุด
ถ้าเรารู้ได้ว่าขบวนรถไฟขาล่องจะเข้าจอดที่สถานีเวลาไหนและออกเวลาไหน
โอกาสที่เราจะหนีไปกับรถไฟขบวนนั้นก็เป็นไปได้ แต่ทุกอย่างต้องแน่ใจเสียก่อน”
ผมเริ่มเห็นภาพ จริงอย่างที่เปี๊ยกบอก
รถไฟขาล่องทุกขบวนจะทิ้งท้ายขบวนไว้ห่างจากบ้านหลังนี้ไม่มากนัก ทุกขบวนจะจอดส่งผู้โดยสารนานพอสมควร นานพอที่จะทำให้ผมขายลูกชิ้นได้หลายไม้
“พรุ่งนี้เราจะถ่วงเวลาออกจากบ้านให้พอดีกับขบวนรถไฟที่เข้ามาจอด
จะได้รู้ว่าโบกี้สุดท้ายมันอยู่ห่างจากหน้าบ้านกี่เสาไฟฟ้า”
แผนการของพี่เปี๊ยกแทบทำให้ผมนอนไม่หลับ
ภาพของรถไฟที่กำลังเคลื่อนขบวนออกจากสถานีไปพร้อมกับอิสรภาพ วนเวียนอยู่ในความคิดผมแทบตลอดคืน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น