วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 14)

รถไฟ นาฬิกาและชะตาชีวิต


ภาพจาก http://www.foxnews.com/health/                                                      จีรวัฒน์  ครองแก้ว

                วันแรกของการเป็นพ่อค้าลูกชิ้นปิ้งของผมกับพี่เปี๊ยกเริ่มต้นขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น  ประเมินดูจากลูกชิ้นที่พี่เปี๊ยกปิ้งแล้ววางใส่ถาดให้ผมมีทั้งที่ยังไม่สุกและไหม้เกรียม  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะใส่ใจนัก  คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะให้ขายหมดไวๆ แล้วกลับไปนอนคุยกับพี่เปี๊ยกมากกว่า
                พี่เปี๊ยกก็เช่นกัน  ดูแกจะไม่มีสมาธิกับการปิ้งลูกชิ้นสักเท่าไหร่  ผมสังเกตเห็นแกชะเง้อมองขบวนรถไฟทุกขบวนที่เคลื่อนเข้ามาในชานชะลาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน
                “เอ็งปิ้งดีๆ ได้มั๊ยวะไอ้เปี๊ยก  ดูสิไหม้หมดแล้ว  ถ้าไม้ไหนขายไม่ได้กูจะเอาคลุกขี้เถ้าให้พวกมึงกินแทนข้าว” 
                ในหัวสมองผมมีแต่คำถามทุกครั้งที่เธอเกรี้ยวกราดใส่พวกเรา  ถ้าเธอจะทำดีกับเราขึ้นกว่านี้สักนิด  บางครั้งผมกับพี่เปี๊ยกอาจทนอยู่กับความลำบากนี้ได้  แต่เมื่อเธอและนายชดไม่เคยคิด  ทำไมผมและพี่เปี๊ยกจะต้องทนอยู่กับการจองจำที่แสนทรมานนี้
ตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  ผมแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่เปี๊ยกเลย  เพราะน้าณีนั่งคุมเชิงพี่เปี๊ยกอยู่ไม่ห่าง  เมื่อใดที่รถไฟเข้าเทียบชานชะลา  เธอจะเดินตามไปยืนดูผมขึ้นไปขายลูกชิ้นบนขบวนรถอย่างไม่คลาดสายตาและเธอจะมีความสุขทุกครั้งที่ผมกลับลงมาพร้อมเงินเต็มถาดที่ยื่นให้
                “มึงมัวเหม่ออะไรอยู่วะไอ้บอย  รถไฟเข้าสถานีแล้วไม่เห็นเหรอ”
                เสียงตวาดของเธอทำให้ผมสะดุ้ง  พี่เปี๊ยกมองมาที่ผมแล้วพยักพเยิดให้ผมรีบเอาลูกชิ้นใส่ถาด  แกคงรำคาญเสียงของเธอเต็มที
                ผมรีบเอาลูกชิ้นใส่ถาดแล้วเดินตรงไปที่ขบวนรถไฟ  กลิ่นลูกชิ้นปิ้งหอมกรุ่นที่ลอยมาเตะจมูกอยู่แค่คืบไม่ได้ยั่วน้ำลายผมแล้ว  มันกลายเป็นกลิ่นที่บีบคั้นความรู้สึกจนต่อมน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
                “ลูกชิ้นปิ้งครับลูกชิ้นปิ้ง” 
                เสียงร้องขายลูกชิ้นของผมฟังดูไม่ราบเรียบนัก  บางครั้งมันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ  จนผมต้องพยายามตัดความกังวลทั้งหมดออกไปเมื่อคิดได้ว่า  ถ้าวันนี้ลูกชิ้นเหลือ  มันคงไม่เป็นผลดีสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกอย่างแน่นอน
                ทางออกของผมคือการพยายามทำความรู้สึกให้เพลิดเพลินกับความจอแจบนโบกี้รถไฟ  เพราะผู้คนที่เดินทางมากับรถไฟแต่ละขบวนเหมือนละครโรงใหญ่ที่มีชีวิต 
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนมารวมกันมากมายขนาดนี้  แต่ละคนแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย  บางคนแต่งเครื่องแบบเท่ห์ๆ และนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น  บางคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มาพร้อมสัมภาระกองใหญ่   พวกเขาพูดคุยกันเหมือนไม่อยากหยุดพักหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันมานานแรมปี 
ที่นั่งตอนท้ายของแต่ละโบกี้มักจะมีพระภิกษุนั่งอยู่  ท่านนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น บางครั้งผมเห็นมีลูกศิษย์นั่งมาด้วย  อายุคงจะไล่เลี่ยกับผม
แต่แววตาพวกเขาไม่เหมือนผม
บางโบกี้จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่แต่งตัวด้วยเสื้อแขนสั้นสีขาวทั้งหมด  ผู้ชายจะใส่กางเกงขายาวสีดำส่วนผู้หญิงจะใส่กระโปรงสีดำบ้างน้ำเงินบ้างคละกันไป  หน้าตาที่สดใสดูมีความสุขไม่แพ้คำพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ครื้นเครงอยู่เป็นอยู่ระยะ  พวกเขาเหมือนคนพิเศษในสายตาผม
                ถ้าพี่เปี๊ยกได้เรียนหนังสือก็คงแต่งตัวแบบนี้  !! 
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร  พวกเขาดูมีความสุขกับการเดินทางมากกว่าเด็กขายลูกชิ้นปิ้งอย่างผม  อาจจะมีบางคนที่เหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างบ้าง  แต่เขาคงเหม่อลอยออกไปด้วยความเพลิดเพลินมากกว่า  ไม่เหมือนผมที่เหม่อลอยเกือบจะเจอดี
“ระวังไอ้หนู !!
ผู้หญิงวัยกลางคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านริมบนรถไฟร้องทักด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยพร้อมกับมือที่ยืนมาประคองไหล่ผมที่เอนเข้าไปหา  ในขณะที่ผมพยายามฝืนมือที่ถือถาดลูกชิ้นให้ตั้งตรงเข้าไว้ 
“เดินดีๆ อย่าเหม่อสิวะไอ้เด็กใหม่”
ผมหันไปตามเสียง   เห็นเด็กหนุ่มอายุน่าจะมากกว่าพี่เปี๊ยกสักสองสามปียืนแสยะยิ้มอยู่ข้างๆ ในมือเขาแบกถาดขายของสัพเพเหระเช่นยาดม กระดาษชำระและหมากฝรั่ง  ตัวเขาดำเหมือนเอาถ่านไปทาเอาไว้เช่นเดียวกับผมที่หยิกจนขดกันเหมือนรังนก 
แต่แววตาที่มองมาเหมือนเย้ยหยันและข่มเด็กใหม่อย่างผมอยู่ในที
“ขอโทษครับ”
สัญชาติญาณเอาตัวรอดทำให้ผมรีบพูดออกไปเสียก่อนที่เขาจะรู้สึกหมั่นไส้ผมไปมากกว่านี้
“เฮ้ย...เดี๋ยวพวกกูรับน้องให้เอามั๊ย ?”
ผมไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูดนอกจากรีบเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว  สังเกตว่ายังมีพรรคพวกของเขายืนรอหัวเราะเยาะผมอีกสองสามคน  บางคนขายหนังสือพิมพ์  บางคนขายน้ำอัดลม
“มึงจะเดินหนีไปไหน  เดี๋ยวก็ต้องเจอกูอีก” 
เสียงเด็กผมหยิกคนนั้นพูดไล่หลังมาแต่ผมไม่อยากหันไปมอง  สังเกตดูผู้โดยสารบนขบวนรถก็ไม่สนใจอะไรสิ่งที่เกิดขึ้นนัก  พวกเขาดูเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับเด็กขายของบนรถไฟสักเท่าไหร่  หรือไม่ก็คงไม่อยากเสียเวลาใส่ใจกับเด็กที่ไร้ราคาอย่างเรา
สิ้นเสียงระฆังนายสถานีประกาศว่ารถไฟกำลังจะออกเดินทางต่อ                                                                      พลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในอารมณ์ชั่ววูบ !!
“หรือเราจะหนีไปกับรถไฟขบวนนี้ ?”
สติที่ถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็วบอกผมในทันทีว่าเป็นไปไม่ได้  ถึงผมจะหนีไปได้แต่ผมจะทิ้งพี่เปี๊ยกไว้คนเดียวได้อย่างไร
ความรู้สึกที่โง่เขลาถูกลบหายออกไปในทันที  เหลือเพียงความรู้สึกผิดที่กลับมาทิ่มแทงตัวเอง
ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น  ผมตัดสินใจก้าวลงจากโบกี้สุดท้ายของขบวนรถเดินกลับไปหาพี่เปี๊ยก 
“เป็นไงวะไอ้พ่อค้าลูกชิ้นปิ้ง” 
เสียงนายเพิงทักผมเมื่อเดินมาถึงรถเข็นปิ้งลูกชิ้น  หน้าตายียวนของเขาทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนอยู่ข้างใน 
“อ้าว..มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”  น้าณีร้องทัก
“สักพักนี้แหละ จะมาถามพี่ณีว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย” 
นายเพิงถามพลางหันมามองหน้าผม
“ก็เรียบร้อยดี  ขายดีซะด้วยสิ” 
“ใช้ไอ้บอยขายน่ะดีแล้ว  คนเขาจะได้สงสาร  ว่าแต่ว่าเอ็งไปรายงานตัวกับพี่ใหญ่เอ็งหรือยังหล่ะ ?”
นายเพิงโน้มตัวลงมาหาผม  นัยน์ตาของเขาดูเจ้าเล่ห์พิกล  ผมอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ว่าไงน้าเพิงมาตรวจงานแต่เช้าเลยนะ” 
ผมหันไปตามเสียง  เด็กชายผมหยิกที่กระแทกผมเกือบล้มบนขบวนรถนั่นเอง 
“นี่ไงไอ้บอยลูกพี่เอ็ง ไอ้ก้าน รู้จักเอาไว้ซะ”
นายเพิงพูดพลางชี้นิ้วไปที่เด็กผมหยิกคนนั้น
“อ๋อ...รู้จักกันแล้ว  แต่ยังไม่ได้รับน้อง  รอโอกาสเหมาะๆ ก่อน”
เสียงลากยาวของเด็กชื่อก้านยียวนจนอยากจะอาเจียน  ผมเบือนหน้าหนีหันไปทางพี่เปี๊ยกเห็นแกยืนขบกรามนิ่ง  ในมือกำไม้คีบถ่านแน่นพร้อมสายตาที่มองเด็กชื่อก้านอย่างไม่ไว้ใจ
“ไอ้หนูช่วยดูไอ้บอยให้น้าด้วยนะ”
เสียงน้าณีพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงจ๊ะน้า  เรื่องดูแลเด็กๆ นี่ขอให้บอกฉันเอาอยู่หมัดอยู่แล้ว”
ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าคนชื่อก้านหันมาทางผมพร้อมแสยะยิ้มเห็นฟันขาวแถมยักคิ้วอย่างยียวน 
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะพี่ณี”
ก่อนจะไปจากตรงนั้นนายเพิงก้มลงมากระซิบบางอย่างกับผมที่ข้างหู
“ถ้าเอ็งขายเก่งๆ อีกหน่อยข้าจะเอาลูกชิ้นเม็ดเล็กๆ มาให้เอ็งขายนะไอ้หนู หึๆ”
นายเพิงหลิ่วตาใส่ผมก่อนเดินจากไป  ทิ้งไว้แต่ความสงสัยว่าลูกชิ้นเม็ดเล็กที่พูดถึงนั้นมันคืออะไร  แต่ก่อนที่ความคิดจะอึดอัดมากไปกว่านั้น  เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ
วันนั้นผมต้องวนเวียนขึ้นลงรถไฟเพื่อขายลูกชิ้นปิ้งอีกนับสิบรอบ

@@@@@

                “ไอ้บอย  อย่าเพิ่งหลับ”
                เสียงกระซิบของพี่เปี๊ยกดังขึ้นที่ข้างหูผมขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ
                “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราต้องวางแผนหนีกัน !
                ในที่สุดคำพูดนี้ก็หลุดออกมาจากปากพี่เปี๊ยก
                “แต่ข้าสังหรณ์ใจ”
                คำพูดเพียงสองสามคำแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นกังวลของพี่เปี๊ยก
                “พี่สังหรณ์ใจอะไร ?”  ผมกระซิบถาม
                “ข้าสังหรณ์ใจว่าการหนีของเรามันจะยากกว่าที่พี่นุชหนี”
                พี่เปี๊ยกเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ
                “ไอ้บอย  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอ็งต้องดูแลตัวเองให้ได้รู้มั๊ย”
                ผมพยักหน้าอยู่ในความมืด
                “ไฟฉายอยู่ไหน” พี่เปี๊ยกถาม
                “อยู่นี่จ๊ะ” 
ผมล้วงไฟฉายในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้พี่เปี๊ยก  พี่เปี๊ยกรับมันไว้แล้วดึงผมห่มมาคลุมตัวเราสองคนก่อนที่จะเปิดไฟฉายขึ้นแล้วล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“เอ็งดูนี่”  
พี่เปี๊ยกกระซิบแล้วส่องไปฉายไปที่นาฬิกาข้อมือที่น้าเมฆให้มา
“เราจะรอดไปได้เพราะนาฬิกาเรือนนี้” 
พี่เปี๊ยกพูดแต่ผมกลับไม่เข้าใจความหมาย
“เอ็งกับข้าต้องอดทนอีกสักสองอาทิตย์  ข้าต้องการให้แน่ใจว่าทุกอย่างมันจะตรงเวลาหรือเปล่า”
คำพูดของพี่เปี๊ยกทำให้ผมสับสนมากขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจ” 
ผมบอกพี่เปี๊ยกไปตามตรง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้  ข้าจะใช้นาฬิกานี้จับเวลาทุกอย่างเอาไว้โดยเฉพาะขบวนรถไฟที่ล่องลงใต้”
พี่เปี๊ยกค่อยๆ เฉลยแผนการ  แต่ผมก็ยังคงไม่เข้าใจนัก
“เอ็งเห็นมั๊ยว่ารถไฟที่ล่องลงใต้ทุกขบวน จะมีท้ายขบวนอยู่ใกล้กับหน้าบ้านที่สุด  ถ้าเรารู้ได้ว่าขบวนรถไฟขาล่องจะเข้าจอดที่สถานีเวลาไหนและออกเวลาไหน  โอกาสที่เราจะหนีไปกับรถไฟขบวนนั้นก็เป็นไปได้  แต่ทุกอย่างต้องแน่ใจเสียก่อน”
ผมเริ่มเห็นภาพ  จริงอย่างที่เปี๊ยกบอก  รถไฟขาล่องทุกขบวนจะทิ้งท้ายขบวนไว้ห่างจากบ้านหลังนี้ไม่มากนัก  ทุกขบวนจะจอดส่งผู้โดยสารนานพอสมควร  นานพอที่จะทำให้ผมขายลูกชิ้นได้หลายไม้
“พรุ่งนี้เราจะถ่วงเวลาออกจากบ้านให้พอดีกับขบวนรถไฟที่เข้ามาจอด  จะได้รู้ว่าโบกี้สุดท้ายมันอยู่ห่างจากหน้าบ้านกี่เสาไฟฟ้า” 
                แผนการของพี่เปี๊ยกแทบทำให้ผมนอนไม่หลับ  
                ภาพของรถไฟที่กำลังเคลื่อนขบวนออกจากสถานีไปพร้อมกับอิสรภาพ  วนเวียนอยู่ในความคิดผมแทบตลอดคืน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น