วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 9)

ชีวิตที่ปากเหว



ภาพจาก http://www.unicef.org/thailand/reallives_18666.html                              จีรวัฒน์ ครองแก้


                มันเป็นรุ่งเช้าของวันใหม่ที่ผมมีความรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตและคิดว่าพี่สาวทั้งสามคนคงเป็นเหมือนกันหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
                ห้วงเวลาสำคัญที่ต้องใช้อนาคตที่เหลืออยู่ในชีวิตเป็นเดิมพันกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า!!
                แม้จะพยายามเก็บอาการแต่วันนี้พี่นุชก็ดูเครียดจนเห็นได้ชัด  บางครั้งเธอเหม่อลอยจนแม่ต้องร้องทัก
                “เอ็งเป็นอะไรวะนุช  ไม่สบายหรือเปล่า” 
ความจริงแล้วแม่ไม่ได้ตะคอกพี่สาวทั้งสามคนมาหลายวันแล้วแต่พี่นุชก็ยังสะดุ้ง
                “ปะ..เปล่า จ๊ะไม่มีอะไร” 
พี่นุชพยายามข่มอารมณ์และบังคับน้ำเสียงให้ฟังดูราบเรียบที่สุด
                “แน่ใจนะ  หมู่นี้ข้าว่าเอ็งดูซึมๆ ไป” 
แม่พูดพลางชะโงกหน้าเข้าไปใกล้   ผมเห็นพี่ส้มกับพี่สร้อยหันไปมองตาพร้อมกันด้วยอาการหวาดๆ
                “ไม่มีอะไรจริงๆ จ๊ะ ฉันปะ..ปวดท้อง” 
ตอนนั้นผมยังไม่รู้ความหมายของคำว่าปวดท้องที่พี่นุชพูดถึง  ได้แต่คิดว่าคงจะไปกินอะไรมามากกว่า
                “อ๋อ.. เออข้าลืมไปว่าเอ็งเป็นสาวแล้วนี่หว่า”
                “แล้วนี่เอ็งปวดมากี่วันแล้ว ?” 
แม่ถามย้อนกลับไป
                “สองสามวันแล้วจ๊ะ”  พี่นุชตอบ
ดูเหมือนแม่จะคลายความพะวงลงไปเมื่อพี่นุชตอบเช่นนั้น  แต่กลับกลายเป็นผมที่เริ่มสงสัยว่าการเป็นสาวมันไปเกี่ยวกับอาการปวดท้องตรงไหน
                “อ๋อ.. แล้วไป ถ้ายังงั้นก็คงทันอยู่” 
แม่พูดเหมือนกับเปรยให้ตัวเอง
                “ทันอะไรจ๊ะ ?”  พี่นุชถาม
                “ปะ..เปล่า  ไม่มีอะไร” 
คราวนี้กลายเป็นแม่ที่ออกอาการแปลกๆ   แต่แกก็ตัดบทได้ทันควัน
                “ไปๆ ไปเตรียมของให้เสร็จเร็วๆ  เดี๋ยวพ่อเขารอนานจะพาลด่าเอา” 
แม่พูดเสร็จแล้วเดินหายไปหลังบ้าน
                เมื่อทุกอย่างกลับสู่ปกติ  การเดินทางอันน่าเบื่อหน่ายก็เริ่มต้นอีกครั้ง !!

@@@@@

               ตลอดทางที่นั่งรถไปหาดใหญ่  แววตาพี่นุชดูเหมือนเป็นกังวล 
ผมรู้ว่าเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้
วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นหน้าและร่วมใช้ชีวิตกับพวกเธอ
แม้ผมกับพี่เปี๊ยกยังจะต้องอดทนกับชะตากรรมอันซ้ำซากนี้ต่อไป  แต่ก็ดีใจที่กลิ่นอายของอิสรภาพกำลังลอยเข้ามาใกล้พี่สาวทั้งสามคน
ถึงแม้ว่าข้อมูลและความเป็นจริงในชีวิตของพวกเราทั้งห้าคนจะเปลี่ยนไปแล้ว  เราไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันมาเหมือนที่เคยถูกทำให้เชื่ออีกต่อไป    
แต่การรู้ความจริงกลับไม่ได้ทำให้ความจริงเปลี่ยนไป !!
ผมไม่ได้รู้สึกว่าความผูกพันของพวกเราทั้งห้าคนจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว  ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึกที่มารบกวนหรือทำให้เราคิดเป็นอย่างอื่น 
มันเป็นเพียงแค่ข้อมูลที่มาตอกย้ำให้พวกเราตัดสินใจไปจากชีวิตของสองคนนั้นง่ายขึ้นและไม่รู้สึกผิดที่จะทำ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม......
พวกเธอจะเป็นพี่สาวของผมตลอดไป 
“ส้มกะสร้อยเอ็งจำซอยนี้ไว้นะ” 
เสียงพี่นุชพูดขึ้นทำให้ผมตื่นจากความคิดแล้วมองไปตามมือที่พี่นุชชี้  มันคือซอยที่มีศาลเจ้าที่เคยมาเมื่อวันก่อนนั่นเอง
ซอยที่มีบ้านหลังใหญ่และลุงใจดี 
พ่อขับรถเลยซอยนั้นไปแต่พี่นุชก็ยังมองอย่างไม่ละสายตา 
                “เอ็งต้องช่วยจำเพราะต้องบอกทางน้าเมฆ”  พี่นุชสำทับ
                “จ๊ะ” พี่ส้มกับพี่สร้อยขานรับพร้อมกัน  แต่ดูเหมือนพี่นุชจะรู้ว่ามันอาจไม่ช่วยอะไรนัก
                อีกไม่ถึงสิบนาทีพ่อขับรถมาหยุดอยู่ตรงปากซอยที่ซุ้มประตูขนาดใหญ่   แม้จะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ผมก็พอจะรู้ว่ามันเป็นทางเข้าวัด   นอกจากด้านบนซุ้มประตูที่เต็มไปด้วยลายไทยแล้วเมื่อมองตรงเข้าไปจะเห็นหลังคาโบสถ์เด่นตระหง่านอยู่ด้านใน
                “ไอ้บอยเอ็งไปกับไอ้เปี๊ยกกับนางส้ม  นุชเอ็งไปกับนางสร้อย” 
แม่จัดแจงเหมือนเช่นทุกวัน  แต่สำหรับผมกลับไม่เหมือนทุกวัน  เพราะจู่ๆ ความกล้าหาญที่มีถูกรวบรวมมาในเสี้ยววินาที
                “แม่ฉันขอไปกับพี่นุช” 
เป็นครั้งแรกที่ผมเอ่ยปากขออะไรจากผู้หญิงคนนี้
                “ทำไมว่ะ  ไปกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละอย่าเรื่องมากนะไอ้บอย” 
แม่ตวาดกลับ
                “ให้มันไปกับฉันเถอะ  มันคงอยากฟังขำขันที่ฉันยังเล่าไม่จบนะ” 
พี่นุชออกรับแทนผม  ดูเหมือนคำขอของพี่นุชในช่วงนี้มีความสำคัญสำหรับเธอมากกว่าเมื่อก่อน
                “เออก็ได้  น่ารำคาญจริงเชียว  ถ้างั้นนางสร้อยนางส้มไปกับไอ้เปี๊ยกก็แล้วกัน” 
แม่ตัดบทด้วยความรำคาญแล้วเดินขึ้นรถไปแต่ผมกลับมีความสุขที่สุด
                “หาทางไปตรงหลังโบสถ์นะพี่นุช” 
พี่เปี๊ยกกระซิบบอก  พี่นุชพยักหน้ารับก่อนที่เราจะแยกออกเดินไปคนละซอย
                ผมชอบทุกครั้งที่ได้มาชุมชนใกล้วัด  ไม่ใช่เพราะผู้คนที่หนาแน่นและมีโอกาสที่จะได้เงินมากกว่าที่อื่น  แต่มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกและตอบไม่ได้ว่าทำไม !!
                ทุกครั้งที่เดินเข้าไปในวัด  ความสงบทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลุดออกไปจากโลกของความเป็นจริง
                แม้เพียงแค่เศษเสี้ยวของมันก็ตาม
แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง  ผมได้เรียนรู้กับคำว่าอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งแรกของชีวิต                                        เดินตามหลังพี่นุชไปก็คิดไป 
                “พี่นุช...  แล้วฉันจะได้เจอพี่นุชอีกเมื่อไหร่ ?” 
ผมเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมาระหว่างทาง  คำพูดของผมทำให้พี่นุชหยุดเดินแล้วหันมามองด้วยสายตาที่เศร้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น 
นัยน์ตามีน้ำตาคลอหน่วย  เธอย่อตัวลงมาหาผมแล้วพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ต้องได้เจอซิพี่สัญญา พี่คงคิดถึงเอ็งมาก” 
                สองแขนพี่นุชโอบกอดผมอย่างทะนุถนอม  มันเป็นภาษาที่ให้ความรู้สึกได้แทนคำพูดทั้งหมด  ภาษาที่บอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผมกับเธอเคยอยู่ร่วมกัน 
                น้ำตาของผมไหลผ่านแก้มลงไปบนไหล่ของเธอแทนคำตอบ !!

@@@@@

                ด้านหลังของโบสถ์มีมุมลับตาคนอยู่ตรงใต้ต้นยางใหญ่  ผมเห็นพี่เปี๊ยกกับพี่ส้มและพี่สร้อยไปรอเราอยู่ก่อนแล้ว 
                “ได้เยอะมั๊ยวะบอย” 
พี่เปี๊ยกถามผมคำแรก  ผมจึงล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดู
                “โอ้โห  ได้หลายร้อยนี่หว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องโดนยักษ์จับกิน” 
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพี่เปี๊ยกพูดถึงสองคนนั่นด้วยคำเรียกอื่น 
                มันเป็นคำเรียกที่เข้าท่าทีเดียวว่ามั๊ย !!
                “เอาหละช่างมันเถอะมาคุยเรื่องคืนนี้ดีกว่า” 
พี่นุชเปิดประเด็นสำคัญ
                “อย่างนี้นะ” 
พี่เปี๊ยกแค่เริ่มต้นทุกคนก็เคลื่อนหัวเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกัน
                “กลับไปคืนนี้ไม่ต้องปิดประตูหลังบ้านกับหน้าบ้านให้มันงับไว้เฉยๆ” 
                “ทำไมล่ะ ?”
พี่สร้อยขี้สงสัยตามเคย
                “ฉันกับไอ้บอยต้องออกไปดูดน้ำมันออกจากรถกระบะใส่ถัง  แล้วก็ปล่อยลมยาง  พอเรียบร้อยไอ้บอยเอ็งต้องให้สัญญาณจากไฟฉายให้น้าเมฆ  แล้วฉันกับไอ้บอยก็จะกลับเข้ามาทางหลังบ้าน  พอพวกฉันเข้ามาพวกพี่ก็ออกไปได้เลย  น่าจะพอดีเวลากันกับที่น้าเมฆขับรถมาหน้าบ้าน” 
พี่เปี๊ยกเล่าแผนการเป็นฉากๆ ซึ่งฟังดูเหมือนง่าย  แต่ความจริงที่จะเกิดขึ้นมันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น
โชคดีที่ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ง่ายที่สุด                                                                                                          ...แค่เปิดปิดไฟฉาย
                “ถ้าเราโดนจับได้ก่อนละ” 
พี่สร้อยให้ความเห็นแบบเครียดๆ ตามเคย
                “ปัทโธ่...  เอ็งอย่าพูดเป็นลางสิวะ” 
พี่ส้มพูดพลางหยิกที่สร้อยเข้าที่ต้นแขน
                “เอาหละอย่าเถียงกัน  ความจริงสร้อยมันก็พูดถูกเหมือนกัน  เราจะทำยังไงเปี๊ยกถ้ามันไม่เป็นอย่างที่วางแผนเอาไว้” 
พี่นุชปรามทั้งคู่
                “น้าเปี๊ยกบอกว่าถ้าติดขัดอะไรทำตามแผนไม่ได้  ให้ส่องไฟฉายไปที่ยอดไม้  แล้วค่อยมาว่ากันอีกทีแต่ที่สำคัญที่สุด....” 
พี่เปี๊ยกหยุดพูดแล้วมองไปที่พี่สาวทั้งสามคนของผม
                “อะไรพี่เปี๊ยก  เงินหรือเปล่าเราไม่มีเงินเลยนะ”  พี่ส้มถาม
                “ไม่ใช่น้าเมฆบอกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” 
พี่เปี๊ยกพูดให้ทั้งสามคนสบายใจ
                “ที่สำคัญคือ  เราต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด” 
พี่เปี๊ยกพูดทิ้งท้ายแต่ดูเหมือนจะหันไปทางพี่สร้อยเหมือนต้องการจะเน้นเรื่องนี้มากกว่าใคร

@@@@@

                ยังเหลือสิ่งที่ต้องภาวนาให้สถานการณ์มันเป็นใจกับแผนการครั้งนี้อีกหนึ่งเรื่อง
                ปกติแล้วถ้าวันไหนที่พ่อไม่กินเหล้า  พวกเขาสองคนก็จะเข้านอนพร้อมๆ กับพวกเราคือประมาณสามทุ่มครึ่งหรือสี่ทุ่ม  แต่ถ้าวันไหนที่พ่อกินเหล้าพวกเขาจะเข้านอนกันไม่ต่ำกว่าห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน  ซึ่งตอนนั้นพวกเราก็หลับกันไปแล้ว
                ถ้าพวกเขานอนดึกเราก็ยิ่งเสี่ยง !!
                เย็นนี้สายตาของพวกเราทุกคนจึงจับจ้องไปที่พ่อเป็นพิเศษ  !!
ระหว่างที่เราล้อมวงกินข้าวในตอนเย็น  แต่ละคนต่างสลับกันหันไปมองพวกเขาที่ตั้งวงกินข้าวกันอีกสำรับหนึ่งหลังบ้าน 
               มีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้บอก  พวกผมกับพวกเขา  เราไม่เคยนั่งกินข้าวร่วมสำรับเดียวกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว  มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่จำความได้
ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไม !!                                                                                                                                        แต่ก็นั่นแหละผมเองก็ไม่อยากรู้นักหรอก
แล้วโชคก็เข้าข้างเรา....                                                                                                                                                          วันนี้ไม่มีขวดเหล้าวางอยู่ตรงนั้น                                                                                                   
เป็นไปอย่างที่คาด  ประมาณสี่ทุ่มแม่ก็ไล่พวกเราเข้านอน  ทุกคนทำตามเหมือนเช่นทุกคืน  
พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าเสียงหัวใจของพวกเราเต้นดังกว่าทุกคืน                                                                   พี่เปี๊ยกรีบเดินไปปิดไฟกลางบ้านอย่างรวดเร็วเหมือนจะเร่งเวลาและเชื้อเชิญความมืดให้เคลื่อนตัวเข้ามากลืนกินทุกอย่างเสียโดยเร็ว
                ผมซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเก่านั้นด้วยใจระทึก  ในมือกำไฟฉายแน่นเหมือนกลัวว่ามันจะวิ่งหนีไปไหน  เช่นเดียวกับพี่เปี๊ยกที่พลิกดูนาฬิกาข้อมือของน้าเมฆอยู่เป็นระยะเหมือนจะช่วยให้มันเดินเร็วขึ้นได้บ้าง
                เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด  ผมชะโงกหน้าออกจากผ้าห่ม  เพ่งมองฝ่าความมืดไปยังพี่สาวทั้งสามคน  ทุกคนนอนนิ่งเพื่อรอเวลาสำคัญ 
                ความเงียบคือตัวช่วยที่ดีที่สุด !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น