ชีวิตที่ปากเหว
ภาพจาก http://www.unicef.org/thailand/reallives_18666.html จีรวัฒน์ ครองแก้ว
มันเป็นรุ่งเช้าของวันใหม่ที่ผมมีความรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตและคิดว่าพี่สาวทั้งสามคนคงเป็นเหมือนกันหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
ห้วงเวลาสำคัญที่ต้องใช้อนาคตที่เหลืออยู่ในชีวิตเป็นเดิมพันกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า!!
แม้จะพยายามเก็บอาการแต่วันนี้พี่นุชก็ดูเครียดจนเห็นได้ชัด บางครั้งเธอเหม่อลอยจนแม่ต้องร้องทัก
“เอ็งเป็นอะไรวะนุช ไม่สบายหรือเปล่า”
ความจริงแล้วแม่ไม่ได้ตะคอกพี่สาวทั้งสามคนมาหลายวันแล้วแต่พี่นุชก็ยังสะดุ้ง
“ปะ..เปล่า จ๊ะไม่มีอะไร”
พี่นุชพยายามข่มอารมณ์และบังคับน้ำเสียงให้ฟังดูราบเรียบที่สุด
“แน่ใจนะ หมู่นี้ข้าว่าเอ็งดูซึมๆ ไป”
แม่พูดพลางชะโงกหน้าเข้าไปใกล้
ผมเห็นพี่ส้มกับพี่สร้อยหันไปมองตาพร้อมกันด้วยอาการหวาดๆ
“ไม่มีอะไรจริงๆ จ๊ะ
ฉันปะ..ปวดท้อง”
ตอนนั้นผมยังไม่รู้ความหมายของคำว่าปวดท้องที่พี่นุชพูดถึง ได้แต่คิดว่าคงจะไปกินอะไรมามากกว่า
“อ๋อ..
เออข้าลืมไปว่าเอ็งเป็นสาวแล้วนี่หว่า”
“แล้วนี่เอ็งปวดมากี่วันแล้ว
?”
แม่ถามย้อนกลับไป
“สองสามวันแล้วจ๊ะ” พี่นุชตอบ
ดูเหมือนแม่จะคลายความพะวงลงไปเมื่อพี่นุชตอบเช่นนั้น แต่กลับกลายเป็นผมที่เริ่มสงสัยว่าการเป็นสาวมันไปเกี่ยวกับอาการปวดท้องตรงไหน
“อ๋อ.. แล้วไป
ถ้ายังงั้นก็คงทันอยู่”
แม่พูดเหมือนกับเปรยให้ตัวเอง
“ทันอะไรจ๊ะ ?” พี่นุชถาม
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร”
คราวนี้กลายเป็นแม่ที่ออกอาการแปลกๆ แต่แกก็ตัดบทได้ทันควัน
“ไปๆ ไปเตรียมของให้เสร็จเร็วๆ เดี๋ยวพ่อเขารอนานจะพาลด่าเอา”
แม่พูดเสร็จแล้วเดินหายไปหลังบ้าน
เมื่อทุกอย่างกลับสู่ปกติ
การเดินทางอันน่าเบื่อหน่ายก็เริ่มต้นอีกครั้ง !!
@@@@@
ตลอดทางที่นั่งรถไปหาดใหญ่ แววตาพี่นุชดูเหมือนเป็นกังวล
ผมรู้ว่าเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้
วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นหน้าและร่วมใช้ชีวิตกับพวกเธอ
แม้ผมกับพี่เปี๊ยกยังจะต้องอดทนกับชะตากรรมอันซ้ำซากนี้ต่อไป แต่ก็ดีใจที่กลิ่นอายของอิสรภาพกำลังลอยเข้ามาใกล้พี่สาวทั้งสามคน
ถึงแม้ว่าข้อมูลและความเป็นจริงในชีวิตของพวกเราทั้งห้าคนจะเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันมาเหมือนที่เคยถูกทำให้เชื่ออีกต่อไป
แต่การรู้ความจริงกลับไม่ได้ทำให้ความจริงเปลี่ยนไป
!!
ผมไม่ได้รู้สึกว่าความผูกพันของพวกเราทั้งห้าคนจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึกที่มารบกวนหรือทำให้เราคิดเป็นอย่างอื่น
มันเป็นเพียงแค่ข้อมูลที่มาตอกย้ำให้พวกเราตัดสินใจไปจากชีวิตของสองคนนั้นง่ายขึ้นและไม่รู้สึกผิดที่จะทำ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม......
พวกเธอจะเป็นพี่สาวของผมตลอดไป
“ส้มกะสร้อยเอ็งจำซอยนี้ไว้นะ”
เสียงพี่นุชพูดขึ้นทำให้ผมตื่นจากความคิดแล้วมองไปตามมือที่พี่นุชชี้ มันคือซอยที่มีศาลเจ้าที่เคยมาเมื่อวันก่อนนั่นเอง
ซอยที่มีบ้านหลังใหญ่และลุงใจดี
พ่อขับรถเลยซอยนั้นไปแต่พี่นุชก็ยังมองอย่างไม่ละสายตา
“เอ็งต้องช่วยจำเพราะต้องบอกทางน้าเมฆ” พี่นุชสำทับ
“จ๊ะ” พี่ส้มกับพี่สร้อยขานรับพร้อมกัน แต่ดูเหมือนพี่นุชจะรู้ว่ามันอาจไม่ช่วยอะไรนัก
อีกไม่ถึงสิบนาทีพ่อขับรถมาหยุดอยู่ตรงปากซอยที่ซุ้มประตูขนาดใหญ่ แม้จะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ผมก็พอจะรู้ว่ามันเป็นทางเข้าวัด นอกจากด้านบนซุ้มประตูที่เต็มไปด้วยลายไทยแล้วเมื่อมองตรงเข้าไปจะเห็นหลังคาโบสถ์เด่นตระหง่านอยู่ด้านใน
“ไอ้บอยเอ็งไปกับไอ้เปี๊ยกกับนางส้ม นุชเอ็งไปกับนางสร้อย”
แม่จัดแจงเหมือนเช่นทุกวัน แต่สำหรับผมกลับไม่เหมือนทุกวัน เพราะจู่ๆ ความกล้าหาญที่มีถูกรวบรวมมาในเสี้ยววินาที
“แม่ฉันขอไปกับพี่นุช”
เป็นครั้งแรกที่ผมเอ่ยปากขออะไรจากผู้หญิงคนนี้
“ทำไมว่ะ
ไปกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละอย่าเรื่องมากนะไอ้บอย”
แม่ตวาดกลับ
“ให้มันไปกับฉันเถอะ มันคงอยากฟังขำขันที่ฉันยังเล่าไม่จบนะ”
พี่นุชออกรับแทนผม ดูเหมือนคำขอของพี่นุชในช่วงนี้มีความสำคัญสำหรับเธอมากกว่าเมื่อก่อน
“เออก็ได้ น่ารำคาญจริงเชียว ถ้างั้นนางสร้อยนางส้มไปกับไอ้เปี๊ยกก็แล้วกัน”
แม่ตัดบทด้วยความรำคาญแล้วเดินขึ้นรถไปแต่ผมกลับมีความสุขที่สุด
“หาทางไปตรงหลังโบสถ์นะพี่นุช”
พี่เปี๊ยกกระซิบบอก พี่นุชพยักหน้ารับก่อนที่เราจะแยกออกเดินไปคนละซอย
ผมชอบทุกครั้งที่ได้มาชุมชนใกล้วัด
ไม่ใช่เพราะผู้คนที่หนาแน่นและมีโอกาสที่จะได้เงินมากกว่าที่อื่น
แต่มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกและตอบไม่ได้ว่าทำไม !!
ทุกครั้งที่เดินเข้าไปในวัด
ความสงบทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลุดออกไปจากโลกของความเป็นจริง
แม้เพียงแค่เศษเสี้ยวของมันก็ตาม
แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง
ผมได้เรียนรู้กับคำว่าอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งแรกของชีวิต เดินตามหลังพี่นุชไปก็คิดไป
“พี่นุช... แล้วฉันจะได้เจอพี่นุชอีกเมื่อไหร่ ?”
ผมเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมาระหว่างทาง คำพูดของผมทำให้พี่นุชหยุดเดินแล้วหันมามองด้วยสายตาที่เศร้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
นัยน์ตามีน้ำตาคลอหน่วย เธอย่อตัวลงมาหาผมแล้วพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ต้องได้เจอซิพี่สัญญา
พี่คงคิดถึงเอ็งมาก”
สองแขนพี่นุชโอบกอดผมอย่างทะนุถนอม มันเป็นภาษาที่ให้ความรู้สึกได้แทนคำพูดทั้งหมด ภาษาที่บอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผมกับเธอเคยอยู่ร่วมกัน
น้ำตาของผมไหลผ่านแก้มลงไปบนไหล่ของเธอแทนคำตอบ
!!
@@@@@
ด้านหลังของโบสถ์มีมุมลับตาคนอยู่ตรงใต้ต้นยางใหญ่
ผมเห็นพี่เปี๊ยกกับพี่ส้มและพี่สร้อยไปรอเราอยู่ก่อนแล้ว
“ได้เยอะมั๊ยวะบอย”
พี่เปี๊ยกถามผมคำแรก ผมจึงล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดู
“โอ้โห
ได้หลายร้อยนี่หว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องโดนยักษ์จับกิน”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพี่เปี๊ยกพูดถึงสองคนนั่นด้วยคำเรียกอื่น
มันเป็นคำเรียกที่เข้าท่าทีเดียวว่ามั๊ย
!!
“เอาหละช่างมันเถอะมาคุยเรื่องคืนนี้ดีกว่า”
พี่นุชเปิดประเด็นสำคัญ
“อย่างนี้นะ”
พี่เปี๊ยกแค่เริ่มต้นทุกคนก็เคลื่อนหัวเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกัน
“กลับไปคืนนี้ไม่ต้องปิดประตูหลังบ้านกับหน้าบ้านให้มันงับไว้เฉยๆ”
“ทำไมล่ะ ?”
พี่สร้อยขี้สงสัยตามเคย
“ฉันกับไอ้บอยต้องออกไปดูดน้ำมันออกจากรถกระบะใส่ถัง แล้วก็ปล่อยลมยาง พอเรียบร้อยไอ้บอยเอ็งต้องให้สัญญาณจากไฟฉายให้น้าเมฆ
แล้วฉันกับไอ้บอยก็จะกลับเข้ามาทางหลังบ้าน พอพวกฉันเข้ามาพวกพี่ก็ออกไปได้เลย
น่าจะพอดีเวลากันกับที่น้าเมฆขับรถมาหน้าบ้าน”
พี่เปี๊ยกเล่าแผนการเป็นฉากๆ
ซึ่งฟังดูเหมือนง่าย
แต่ความจริงที่จะเกิดขึ้นมันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น
โชคดีที่ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ง่ายที่สุด ...แค่เปิดปิดไฟฉาย
“ถ้าเราโดนจับได้ก่อนละ”
พี่สร้อยให้ความเห็นแบบเครียดๆ ตามเคย
“ปัทโธ่... เอ็งอย่าพูดเป็นลางสิวะ”
พี่ส้มพูดพลางหยิกที่สร้อยเข้าที่ต้นแขน
“เอาหละอย่าเถียงกัน ความจริงสร้อยมันก็พูดถูกเหมือนกัน เราจะทำยังไงเปี๊ยกถ้ามันไม่เป็นอย่างที่วางแผนเอาไว้”
พี่นุชปรามทั้งคู่
“น้าเปี๊ยกบอกว่าถ้าติดขัดอะไรทำตามแผนไม่ได้ ให้ส่องไฟฉายไปที่ยอดไม้ แล้วค่อยมาว่ากันอีกทีแต่ที่สำคัญที่สุด....”
พี่เปี๊ยกหยุดพูดแล้วมองไปที่พี่สาวทั้งสามคนของผม
“อะไรพี่เปี๊ยก เงินหรือเปล่าเราไม่มีเงินเลยนะ” พี่ส้มถาม
“ไม่ใช่น้าเมฆบอกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
พี่เปี๊ยกพูดให้ทั้งสามคนสบายใจ
“ที่สำคัญคือ เราต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด”
พี่เปี๊ยกพูดทิ้งท้ายแต่ดูเหมือนจะหันไปทางพี่สร้อยเหมือนต้องการจะเน้นเรื่องนี้มากกว่าใคร
@@@@@
ยังเหลือสิ่งที่ต้องภาวนาให้สถานการณ์มันเป็นใจกับแผนการครั้งนี้อีกหนึ่งเรื่อง
ปกติแล้วถ้าวันไหนที่พ่อไม่กินเหล้า พวกเขาสองคนก็จะเข้านอนพร้อมๆ
กับพวกเราคือประมาณสามทุ่มครึ่งหรือสี่ทุ่ม
แต่ถ้าวันไหนที่พ่อกินเหล้าพวกเขาจะเข้านอนกันไม่ต่ำกว่าห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ซึ่งตอนนั้นพวกเราก็หลับกันไปแล้ว
ถ้าพวกเขานอนดึกเราก็ยิ่งเสี่ยง !!
ถ้าพวกเขานอนดึกเราก็ยิ่งเสี่ยง !!
เย็นนี้สายตาของพวกเราทุกคนจึงจับจ้องไปที่พ่อเป็นพิเศษ !!
ระหว่างที่เราล้อมวงกินข้าวในตอนเย็น แต่ละคนต่างสลับกันหันไปมองพวกเขาที่ตั้งวงกินข้าวกันอีกสำรับหนึ่งหลังบ้าน
มีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้บอก พวกผมกับพวกเขา เราไม่เคยนั่งกินข้าวร่วมสำรับเดียวกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่จำความได้
ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไม !! แต่ก็นั่นแหละผมเองก็ไม่อยากรู้นักหรอก
แล้วโชคก็เข้าข้างเรา.... วันนี้ไม่มีขวดเหล้าวางอยู่ตรงนั้น
แล้วโชคก็เข้าข้างเรา.... วันนี้ไม่มีขวดเหล้าวางอยู่ตรงนั้น
เป็นไปอย่างที่คาด
ประมาณสี่ทุ่มแม่ก็ไล่พวกเราเข้านอน ทุกคนทำตามเหมือนเช่นทุกคืน
พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าเสียงหัวใจของพวกเราเต้นดังกว่าทุกคืน พี่เปี๊ยกรีบเดินไปปิดไฟกลางบ้านอย่างรวดเร็วเหมือนจะเร่งเวลาและเชื้อเชิญความมืดให้เคลื่อนตัวเข้ามากลืนกินทุกอย่างเสียโดยเร็ว
พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าเสียงหัวใจของพวกเราเต้นดังกว่าทุกคืน พี่เปี๊ยกรีบเดินไปปิดไฟกลางบ้านอย่างรวดเร็วเหมือนจะเร่งเวลาและเชื้อเชิญความมืดให้เคลื่อนตัวเข้ามากลืนกินทุกอย่างเสียโดยเร็ว
ผมซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเก่านั้นด้วยใจระทึก
ในมือกำไฟฉายแน่นเหมือนกลัวว่ามันจะวิ่งหนีไปไหน
เช่นเดียวกับพี่เปี๊ยกที่พลิกดูนาฬิกาข้อมือของน้าเมฆอยู่เป็นระยะเหมือนจะช่วยให้มันเดินเร็วขึ้นได้บ้าง
เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด ผมชะโงกหน้าออกจากผ้าห่ม เพ่งมองฝ่าความมืดไปยังพี่สาวทั้งสามคน ทุกคนนอนนิ่งเพื่อรอเวลาสำคัญ
ความเงียบคือตัวช่วยที่ดีที่สุด
!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น