วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 10)

ชี้ชะตา


ภาพจาก http://www.nzfvc.org.nz/?q=node/497                                                  จีรวัฒน์ ครองแก้ว

                ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาในความคิดอย่างรวดเร็วทันทีที่พี่เปี๊ยกเขย่าตัวผมจนตื่น
                “ลุกได้แล้วไอ้บอยได้เวลาแล้ว”
 เสียงพี่เปี๊ยกกระซิบที่ข้างหู 
ผมรีบถลันตัวลุกขึ้นทันทีพร้อมกับควานหาไฟฉายที่หล่นอยู่ใกล้ๆ  เมื่อหันไปทางพี่สาวทั้งสามคน  พวกเธอนั่งพร้อมหน้ากันอยู่ในความมืดสลัว  เหมือนรอผมอยู่เพียงคนเดียว 
                นึกเจ็บใจตัวเองว่าเผลอหลับไปได้อย่างไร เกือบกลายเป็นคนทำเสียแผนเพราะความขี้เซาแท้ๆ !!
                พี่เปี๊ยกหันไปส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมตัวแล้วเอื้อมไปหยิบกองหนังสือที่เตรียมไว้เอามาวางทับบนหมอนแล้วเอาผ้าห่มคลุมทำให้ดูเหมือนว่าเรากำลังนอนคลุมโปง
                เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าหนังสือเก่ากองโตที่ต้องคอยอุ้มมันอยู่ทุกวันสามารถทำประโยชน์ให้เราได้จริงๆ
                “ไปได้แล้ว” 
พี่เปี๊ยกเรียกผมเบาแล้วลุกขึ้นเดินนำหน้าไปที่ประตูหลังอย่างเงียบกริบ
                “เปิดไฟฉายซิ”  พี่เปี๊ยกบอกผมทันทีที่ก้าวพ้นประตูออกมา  เราพากันเดินตรงไปที่ถังขยะเพื่อเอาอุปกรณ์สำคัญ
                ผมเคยออกมายืนทำธุระส่วนตัวนอกบ้านตอนกลางดึกบ่อยๆ  แต่ไม่มีคืนไหนที่ต้องรู้สึกหวาดหวั่นเหมือนคืนนี้เลย
                ความเย็นที่เคลื่อนตัวแทรกความมืดเหมือนพลังงานบางอย่างที่ทำให้เสียงหัวใจเต้นดังกว่าปกติ
                แสงนวลของพระจันทร์เกือบเต็มดวงที่สาดลงมาบนพื้นช่วยให้ไฟฉายกระบอกจิ๋วของผมสว่างพอที่เราสองคนจะลงมือทำภารกิจสำคัญในอีกไม่กี่อึดใจได้
                พี่เปี๊ยกหิ้วแกลลอนน้ำมันและสายยางค่อยๆ เดินนำหน้าผมตรงไปที่รถกระบะทันที
                “บอยเอ็งหาเศษไม้เล็กๆ สักอัน  หมุนจุ๊บยางรถออกแล้วเอาไม้กดลงไปปล่อยลมสองล้อหน้าออกที”  พี่เปี๊ยกหันมาบอกผม
เราสองคนแบ่งหน้าที่กันด้วยใจระทึก  ระหว่างที่ปล่อยลมยาง  เสียงน้ำมันก็ไหลลงแกลลอนในมือพี่เปี๊ยกเป็นระยะ
ผมปล่อยลมยางรถล้อหน้าจนแบนเกือบติดพื้น  เมื่อเดินกลับมาที่พี่เปี๊ยกน้ำมันที่ถ่ายออกจากรถก็ค่อยๆ หยดลงแกลลอนจนเงียบเสียงลง
“หมดแล้ว”  พี่เปี๊ยกบอก
“บอยเอ็งไปส่องไฟฉายให้สัญญาณน้าเมฆเร็ว  ข้าจะเอาแกลลอนไปซ่อน” 
พี่เปี๊ยกสั่งและตบไหล่ผมเบาๆ
ผมเดินตรงไปที่ถนนหน้าบ้าน  ยกไฟฉายส่องตรงไปที่รถสิบล้อของน้ำเมฆโดยเปิดปิดมันสลับกันนับสิบครั้งด้วยอุ้งมือที่สั่นเทา
“พอแล้วรีบกลับเข้าบ้านกัน” 
พี่เปี๊ยกเดินมาสะกิดที่ไหล่ผม
ทุกอย่างยังอยู่ในความเงียบสงบเมื่อพี่เปี๊ยกกับผมกลับเข้ามาในบ้านแล้ว  พี่เปี๊ยกให้สัญญาณมือกับพี่นุชพร้อมกับล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุม 
ผมทำตามในขณะที่เหมือนมีอะไรกำลังบีบอยู่ที่ขั้วหัวใจ !!
พี่นุชเดินมาที่พี่เปี๊ยกกับผมพร้อมกระซิบเบาๆ ฝ่าความมืดสลัว
“พี่ไปนะเปี๊ยก  ฝากดูแลบอยด้วยนะ” 
พี่นุชพูดกับพี่เปี๊ยกอย่างแผ่วเบา   เธอขยับเข้ามาหาผมแล้วเอื้อมมืออันอ่อนโยนมาลูบที่แก้มแล้วก้มลงมากระซิบที่ข้างหู
“พี่ไปก่อนนะบอย  เราจะต้องได้เจอกันอีกเชื่อพี่สิ” 
แม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันสั่นเครืออยู่ในความมืด
เสียงรถสิบล้อของน้าเมฆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้  พี่นุชค่อยๆ เปิดประตูนำหน้าพี่ส้มและพี่สร้อยออกไป  แสงจากพระจันทร์ทำให้พอเห็นว่าพี่สร้อยกำลังจะเดินออกจากบ้านไปเป็นคนสุดท้าย
ผมภาวนาให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้โดยไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรค
แต่คำภาวนาของผมไม่เป็นผล !!
หัวเข่าของพี่สร้อยกระแทกประตูดังโครม  ตามมาด้วยเสียงของพี่นุชที่พูดสวนมาในทันทีอย่างเร่งเร้า 
“วิ่ง.. เร็ววิ่ง” 
ตอนนี้ใจของผมเหมือนหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้าและคิดว่าพี่เปี๊ยกก็คงเป็นเหมือนกัน  แต่ยังรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เสียงคำรามลั่นของรถสิบล้อกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
เสียงฝีเท้าของทั้งสามคนที่วิ่งเหมือนคนไม่คิดชีวิตดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงประตูห้องที่เปิดออกอย่างแรง
“อะไรกันวะ  พวกมึงทำอะไรกัน”
 ผมหันไปตามเสียงที่แสนจะดุดันนั้น  ตอนนี้พ่อยืนจังก้าอยู่หน้าประตูห้องแล้ว  ในขณะที่แม่รีบวิ่งออกมาเปิดไฟในบ้าน
เมื่อทุกอย่างสว่างขึ้น  ความเดือดดาลของเขาก็ดูเหมือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ 
พ่อรีบวิ่งไปที่หน้าบ้านทั้งๆ ที่นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโดยมีแม่วิ่งตามไปติดๆ  ผมหันไปมองหน้าพี่เปี๊ยกซึ่งตอนนี้ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมนิ่งและเงียบไว้
เสียงพี่ส้มและพี่สร้อยดังแว่วมากระทบหูยิ่งทำให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ !!
“พวกมึงคิดจะหนีเหรอ  มึงเจอดีกับกูแน่” 
เสียงพ่อตะโกนก้อง  ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่ารถสิบล้อของน้าเมฆจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว
ไม่กี่อึดใจผมเห็นพ่อวิ่งกลับเข้ามาในบ้านพร้อมแม่  เขาผลุนผลันเข้าไปในห้องและออกมาพร้อมกับบางอย่างที่ดำมะเมื่อมอยู่ในมือ  ตอนนี้ผมกับพี่เปี๊ยกต่างลุกขึ้นมานั่งอย่างร้อนรนแล้ว
“เอากุญแจรถมา” 
พ่อสั่งแม่แล้วทั้งสองคนก็กลับออกไปอีกครั้ง 
เหมือนนัดกันไว้ผมกับพี่เปี๊ยกรีบวิ่งตามออกไป
ภาพที่เห็น  พี่นุชกำลังโหนตัวขึ้นไปบนรถโดยมีมือพี่ส้มและพี่สร้อยช่วยกันฉุดขึ้นไปในขณะที่พ่อวิ่งถือปืนเข้าไปไกล
ประตูรถถูกปิดลงพร้อมๆ กับเสียงรถสิบล้อที่คำรามลั่นและเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“ปัง  ปัง  ปัง” 
เสียงปืนในมือพ่อคำรามลั่นเหมือนมัจจุราช  ผมสังเกตได้ว่ามันโดนเข้าที่ฝากระบะท้ายรถอย่างจังจนได้ยินเสียงตกกระทบของลูกปืนพร้อมประกายไฟแปลบปลาบ  แต่ก็หยุดน้าเมฆไม่ได้
พ่อวิ่งตรงไปที่รถกระบะแล้วรีบสตาร์ทรถ ผมภาวนาให้สิ่งที่ทำไว้เป็นไปอย่างที่คาด 
แต่มันก็ผิดคาด !!
รถกระบะที่ถูกถ่ายน้ำมันออกจนเกลี้ยงสตาร์ทติดอย่างง่ายดาย  ผมกับพี่เปี๊ยกหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ !!
พ่อออกรถอย่างรวดเร็วเหมือนคนบ้าคลั่ง  แต่มันเคลื่อนตัวออกไปได้เพียงถนนหน้าบ้านก็มีอาการสะดุดสองสามครั้งแล้วดับลง
ผลงานของผมกับพี่เปี๊ยกปรากฏให้เห็นแล้ว  ผมดีใจจนคว้าข้อมือพี่เปี๊ยกมาบีบไว้จนแน่น
พ่อพยายามสตาร์ทมันอีกหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล  เขาตัดสินใจรีบเปิดประตูรถออกมาแล้วยกปืนขึ้นเล็งไปที่รถน้าเมฆอีกครั้ง                                                                                                                             
“ปัง ปัง ปัง” 
เสียงปืนแหวกความมืดก้องสะท้อนไปทั่ว
“โธ่โว๊ย” 
พ่อคำรามอย่างอารมณ์เสียแล้วเตะเข้าไปที่ประตูรถอย่างแรง  ตอนนี้สายตาของเขาเหลือบไปเห็นล้อรถที่แบนติดถนนแล้ว
พ่อหันกลับมามองที่เราสองคนด้วยแววตาน่ากลัวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
“เอ็งสองคนเข้าบ้านไป  อยากถูกยิงตายห่าหรือไง ?” 
เสียงแม่ตวาดเราสองคนจนต้องรีบหันกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับเข้ามาในบ้านผมนั่งลงเกาะแขนพี่เปี๊ยกด้วยตัวที่สั่นเหมือนลูกนก
มันเป็นช่วงเวลาไม่กี่อึดใจที่น่าหวาดกลัวที่สุดในชีวิต  เพราะยมทูตกำลังจะพิพากษาชะตากรรมของเรา !!
“พวกมึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนวางแผน” 
เสียงเข้มของพ่อดังขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน  ตอนนี้ผมกับพี่เปี๊ยกก้มหน้ามองพื้นด้วยอาการที่หวาดกลัว
“ว่าไงไอ้เปี๊ยก”
พ่อตะคอกอีกครั้ง  ดวงตาของของเขาถมึงถึงจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
“ฉันไม่รู้” 
พี่เปี๊ยกเงยหน้าขึ้นตอบเสียงสั่น
“มึงไม่รู้แน่นะ” 
พ่อกระชากเสื้อลากพี่เปี๊ยกให้ลุกขึ้น
“ฉันไม่รู้จริงๆ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมพ่อกับแม่นี่แหละ” 
ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะใจดีสู้เสือ  แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“มึงอยากตายใช่มั๊ย” 
พ่อยกปืนกระบอกนั้นขึ้นจ่อตรงหน้าผากพี่เปี๊ยก  นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ 
ปืนคือสิ่งเดียวที่เราไม่เคยล่วงรู้ระแคะระคายมาก่อนว่าเขามี  ไม่อย่างนั้นเราคงไม่เพียงแค่ถ่ายน้ำมันออกจากรถและปล่อยลมยางอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว  !!
มัจจุราชดำมะเมื่อมจ่ออยู่ตรงหน้าพี่เปี๊ยกและพร้อมที่จะหยิบยื่นความตายให้ทุกเสี้ยววินาที
“พี่อย่านะเดี๋ยวเรื่องไปกันใหญ่  มาคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงต่อไป” 
เสียงแม่ปราม  แม้ตอนนี้ผมจะรู้เต็มอกแล้วว่าความคิดของแม่ก็โกรธแค้นไม่ต่างกัน  แต่คำพูดของเธอก็มีประโยชน์และช่วยรั้งชีวิตพี่เปี๊ยกไว้ได้
พ่อค่อยๆ ลดปืนลง  แต่พี่เปี๊ยกก็เจ็บตัวจนได้ !!
เปรี๊ย....  ฝ่ามือซ้ายของพ่อฟาดลงไปที่หน้าของพี่เปี๊ยกเต็มแรงจนทรุดลงกับพื้น
“มึงอย่าให้กูรู้นะว่าใครมาถ่ายน้ำมันกับลมยางรถกู” 
“อาจจะจริงของมันก็ได้  ไม่อย่างนั้นมันคงหนีไปด้วยกันแล้ว” 
ประโยคนี้ดูเหมือนจะทำให้พ่อสงบลงได้บ้าง  แต่ก็แค่กองไฟที่ไม่ได้เติมฟืนเท่านั้น
“หรือเป็นมึงไอ้บอย” 
พ่อหันมาตวาดผม  ที่ได้แต่ส่ายหน้าตัวสั่น
“ฉันว่าไอ้คนขับสิบล้อนั่นแหละตัวแสบ” 
แม่ออกความเห็นซึ่งมันเบี่ยงเบนความสนใจของพ่อไปจากผมและพี่เปี๊ยกได้มากทีเดียว
“มันชื่ออะไร ?” 
พ่อหันมาคาดคั้นพี่เปี๊ยก
“มึงบอกมาว่ามันเป็นใคร ?  พ่อย้ำ
“ฉันไม่รู้จักจริงๆ ฉันสาบาน” 
พี่เปี๊ยกยกมือไหว้ท่วมหัว  ผมเห็นเลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากจมูกของเขา
“เป็นไปไม่ได้มึงจะไม่รู้อะไรเลยงั้นเหรอ  เดี๋ยวกูเตะให้ตายคาตีน” 
พ่อง้างเท้าแต่แม่ปราดมาจับแขนไว้ก่อน
“พอเถอะเดี๋ยวมันเป็นอะไรไปเรานั่นแหละจะลำบาก  ถ้ามันรู้เรื่องจริงฉันว่าไอ้สองคนนี่คงไม่อยู่ให้พี่ฆ่ามันหรอ !!” 
ดูเหมือนเทพีแห่งความเมตตาจะเข้าข้างผมกับพี่เปี๊ยกอยู่บ้าง  พ่อนิ่งฟังแม่ด้วยอาการครุ่นคิด  เขาขบกรามแน่จนโหนกแก้มสองข้างปูดเกร็งเป็นเส้น
แม่สงบอารมณ์พ่อลงได้ และสะบัดหน้าเดินไปนั่งหลังบ้านด้วยความหงุดหงิด
“มึงเอาเหล้าให้กูหน่อย”  พ่อร้องสั่งแม่พร้อมกับวางปืนกระบอกนั้นไว้ข้างตัว
@@@@@
                ช่วงเวลาแห่งชะตาชีวิตผ่านพ้นไปแล้ว  ผมกับพี่เปี๊ยกล้มตัวลงนอนด้วยความคิดที่เตลิดไปไกล  ภาพรถสิบล้อของน้าเมฆวิ่งฝ่าความมืดของค่ำคืนที่โหดร้ายผุดขึ้นมาในจินตนาการ  ได้แต่ภาวนาให้การเดินทางของพี่สาวทั้งสามคนลุล่วงไปด้วยดี
                เสียงพ่อกับแม่นั่งคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปอย่างเคร่งเครียด
                ถึงนาทีนี้ดูเหมือนพวกเขาสองคนไม่จำเป็นต้องมีอะไรที่จะปิดบังซ่อนเร้นผมกับพี่เปี๊ยกอีกแล้ว  สิ่งที่เขาพูดกันเกือบทุกถ้อยคำมันไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเราเป็นสายเลือดของเขาแม้แต่นิดเดียว
                พี่เปี๊ยกเอื้อมมือมาบีบแขนผมเบาๆ จากด้านหลังเหมือนต้องการจะปลอบโยน  ผมหันไปมองเห็นเลือดยังซึมออกจากจมูกเขาแม้จะซับมันไปแล้ว
                ผมรับรู้ถึงความที่ส่งผ่านมาจากมือของเขาได้ดี   ตอนนี้เราเหลือกันเพียงสองคนกับชีวิตที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป
                ไม่มีอะไรที่จะช่วยให้เราคาดหวังได้นอกจากความอดทน !!
                “ถ้าเจอตัวละก็กูจะให้มันตายอย่างทรมาณเหมือนอีนางนั่น” 
  คำพูดของเขาทำให้ผมสะดุ้งเฮือกอยู่ในความรู้สึก
                พวกเขาพูดคุยกันอีกหลายเรื่องซึ่งป่วยการที่ผมจะต้องใส่ใจอีกต่อไป   ความเหนื่อยล้าทำให้เสียงที่ผมได้ยินค่อยๆ แผ่วเบาลงในความหลับไหล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น