จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง
CSR
หรือ Corporate Social Responsibilities กำลังเป็นกลยุทธ์สำคัญขององค์กรธุรกิจหลายแห่ง
ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่หรือเป็นสินค้ามวลชน เพราะการทำ CSR จะมีผลต่อภาพพจน์ที่ดี นำไปสู่ความนิยมชมชอบในตัวองค์กร และมีผลต่อสินค้าในที่สุด
หลายครั้งที่ผู้เขียนได้เห็นกิจกรรม
CSR แล้วอยากจะคลื่นไส้อาเจียน พวกเขาทำราวกับว่าลูกค้าอย่างพวกเรากินหญ้าแทนข้าว โดยเฉพาะกิจกรรมว่าด้วยการแจกและบริจาคทั้งหลาย เพราะบริจาคให้ตายมันก็ไม่มีทางเกินกว่าตัวเลขที่ถูกคำนวณผลกำไรขาดทุนมาแล้ว
แต่ตอนที่บริษัทเหล่านี้ทึกทักเอาผลงาน
หรือป่าวประกาศให้ผู้คนพูดถึงความดีของตัวเองนั้น เขาทำยิ่งกว่าหน่วยงานระดับกระทรวงของรัฐบาลที่รับผิดชอบเรื่องนั้นโดยตรงเสียอีก
ผู้เขียนไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดหรือธุรกิจนัก แต่ถ้ามองจากมุมของผู้บริโภคที่กินข้าวเป็นอาหารไม่ใช่หญ้าอย่างที่บริษัทโง่ๆ
หลายแห่งคิด CSR ที่ดีในความเข้าใจของผู้เขียนจะต้องมีความสง่างามทางความคิดเป็นองค์ประกอบสำคัญ
บทความนี้ขอยกตัวอย่างที่ดีมากของการใช้
CSR
อย่างสร้างสรรค์และโดดเด่น
จะเรียกว่าเป็น Smart CSR
ก็น่าจะได้
ประเด็นสำคัญคือคุณต้องไม่สร้างภาพว่าคุณเป็นผู้บริจาคที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีใครไม่เข้าใจหรอกว่าธรรมชาติของธุรกิจนั้นคือความต้องการทำกำไรสูงสุด งานหลักของธุรกิจไม่ใช่การทำ CSR ไม่จำเป็นต้องแสดงบทพ่อพระกับสังคมจนเกินงาม เพราะอย่างไรเสียคุณก็ทำมันได้อย่างจำกัด
วิธีทำ CSR ที่ง่ายและพบเห็นกันบ่อยที่สุด คือการโยนเงินสักก้อนเข้าไปในปากนกปากกา หรือพื้นที่ใดสักแห่งที่คิดว่าจะเอาป้ายโครงการที่ปักไว้มาตีปี๊ปทางโทรทัศน์ได้
โครงการเพื่อสังคมเหล่านี้หาความยั่งยืนได้น้อยเต็มทน เมื่อหมดเงินก็หมดกัน!!
แต่กิจกรรม “ห้องน้ำเพื่อการกุศล”
หรือ “RESTROOM
FOR DONATION”
ของปั๊ม ปตท.อำเภอแก่งคอย
จังหวัดสระบุรีที่ถูกส่งมาในอีเมล์ฉบับนี้
กลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันสง่างามและยั่งยืน
สะท้อนให้เห็นว่ามันถูกเริ่มต้นที่สมองก่อนจะกลายเป็นรูปธรรม
แต่ขอพูดเฉพาะเรื่องห้องน้ำเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาพลังงานหรือราคาน้ำมันซึ่งมันสลับซับซ้อนกว่านี้และอาจจะกลายเป็นหนังคนละม้วน
@@@@@@
ในเบื้องต้นผมรับรู้โครงการนี้จากอีเมล์ เมื่อมีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในเขตอำเภอวังน้ำเขียวเมื่อสองปีที่ผ่านมา จึงแวะพิสูจน์ข้อเท็จจริงและเยี่ยมชมห้องน้ำเพื่อการกุศลแห่งนี้
ซึ่งข้อพิสูจน์ที่ได้ยิ่งทำให้ประทับใจและคารวะในความคิดของผู้ริเริ่มโครงการนี้มากขึ้น
ในอาณาบริเวณปั๊มน้ำมันที่ดูทันสมัยและกว้างขวาง เราจะพบว่ามีห้องน้ำที่ให้บริการแก่ลูกค้าของ
ปตท.อยู่แล้ว
ที่สำคัญคือเป็นห้องน้ำที่กว้างขวางและสะอาดกว่าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันแห่งอื่นๆ
ด้วยซ้ำไป แต่พื้นที่ส่วนหนึ่งของปั๊มก็ถูกจัดแบ่งสำหรับก่อสร้างห้องน้ำเพื่อการกุศลแห่งนี้ขึ้นมา
เหมือนเป็นการตั้งใจและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
มันเป็นโครงการพิเศษสำหรับคนที่มีความคิดพิเศษ
ด้านหน้าของห้องน้ำโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์รูปชายหญิงสีฟ้าพร้อมข้อความ
RESTROOM
20 สูงเท่าตัวคนมองดูเด่นสะดุดตา
หลายคนแม้จะเพิ่งเข้าห้องน้ำมาแล้วยังต้องหยุดแวะดูพร้อมกับสีหน้าแปลกใจระคนคำถามที่ว่า
“นี่มันห้องน้ำอะไร
?”
แต่เมื่อมองเลยไปถึงป้ายบนตัวอาคารก็จะร้องอ๋อ เพราะข้อความที่เขียนว่า “ห้องน้ำเพื่อการกุศล”
หรือ “RESTROOM
FOR DONATION” ตรงประตูมีคำขยายความว่า 20 BAHT
MAKES A BETTER LIFE
ทันทีที่เปิดประตูก้าวผ่านไอร้อนอันแสนอบอ้าวเข้าไปข้างใน คุณจะรู้สึกได้ถึงความฉ่ำเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
ใช่แล้ว.....นี่คือห้องน้ำติดแอร์ !!
ไม่เพียงเท่านั้น
สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือห้องน้ำชั้นดีระดับโรงแรมห้าดาวที่รอให้คุณปลดทุกข์ด้วยกุศลจิต
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันชัดๆ
ก็ลองคิดเสียว่าคุณกำลังใช้เส้นทางถนนมิตรภาพอันเป็นที่ตั้งของปั๊มแห่งนี้เพื่อเดินทางไปพักผ่อนที่รีสอร์ทที่คุณคิดว่าดีที่สุดสักแห่งบนเขาใหญ่ แต่คุณภาพของห้องน้ำในปั๊มแห่งนี้ไม่ด้อยหรืออาจจะดีกว่าที่ๆ
คุณกำลังจะไปด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายในที่ทันสมัยและกว้างขวาง สุขภัณฑ์ที่ใช้มีคุณภาพสูงกว่าห้องน้ำตามปั๊มน้ำมันทั่วไป แถมด้านหน้ายังมีโซฟาเก๋ๆ ให้คุณได้นั่งอ่านหนังสือหรือเอนหลังพักขาก่อนออกเดินทางไกลอีกด้วย ด้านในประกอบด้วยมีห้องน้ำหญิง 6 ห้อง
ห้องน้ำชาย 3 ห้อง ที่พิเศษคือมีห้องน้ำสำหรับผู้พิการอีก
1 ห้อง ทุกห้องได้รับการดูแลเรื่องความสะอาดอย่างพิเศษสุด
ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดมาเพื่อทำให้เรารู้สึกหรือลืมไปว่า
ที่นี่คือปั๊มน้ำมันจนทำให้คุณอาจเผลอไผลนั่งเล่นอยู่ในห้องน้ำนี้นานนับชั่วโมง
แต่ก่อนที่จะใช้บริการ คุณจะเห็นกล่องบริจาคตั้งอยู่พร้อมพนักงานที่จะคอยตอบคำถามของคุณ ภายหลังจากที่บริจาคเงิน 20
บาทแล้วคุณจะได้รับคูปองจากทาง ปตท.เหมือนใบอนุโมทนาบัตรยืนยันว่าคุณได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการนี้
คำถามที่คุณต้องถามแน่ๆ
คือทางปั๊มเอาเงินที่บริจาคไปทำอะไร ?
ผู้เขียนไปค้นหาคำตอบมาได้จากรายงานข่าวเมื่อครั้งที่มีพิธีเปิดห้องน้ำแห่งนี้เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2552 โดยรายได้ทั้งหมดของห้องน้ำแห่งนี้มอบให้แก่
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน
และโรงเรียนวัดหนองบัว สำนักงานพื้นที่การศึกษาสระบุรี เขต 1 ถือว่าเป็นห้องน้ำติดแอร์เพื่อการกุศลแห่งแรกของประเทศ
ผู้เขียนเห็นว่าโครงการนี้เป็น Smart CSR
ก็เพราะผลสรุปที่ได้ของโครงการนี้ทำให้เห็นถึงความยั่งยืนของเป้าหมายที่ต้องการได้ทันทีที่เราจ่ายเงิน
20 ไป
ทุกคนได้ประโยชน์และมีความรู้สึกร่วมโดยไม่จำเป็นต้องฝืนหรือเข็นโครงการเหมือนกับกิจกรรมอื่นๆ
ที่ต้องเกณฑ์หน้าม้ากันไปร่วมงาน
ปตท.บรรลุเป้าหมายของการทำ
CSR โครงการนี้
ลูกค้าได้ใช้บริการห้องน้ำสะอาดและได้ร่วมทำกุศล
เด็กๆ ได้มีอาหารกลางวันและกิจกรรมอื่นๆเพราะเงินบริจาค
โครงการมีความยั่งยืนไปจนกว่าปั๊มแห่งนี้จะเลิกกิจการ
ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าคนชั้นกลางจะชอบโครงการนี้ เพราะพวกเขามีกำลังเงินที่จะจ่าย กลิ่นไอของรสนิยมจะเรียกร้องให้พวกเขาพึงพอใจในรูปลักษณ์และความสะอาด จนกลายเป็นห้องน้ำประจำสำหรับการเดินทางบนเส้นทางสายนี้ได้ไม่ยาก
สำหรับผู้เขียนบริจาค
20 บาทในวันนั้นโดยไม่ได้ใช้บริการ
แต่พอใจและชื่นชมกับความคิดที่น่ารักนี้อย่างยิ่ง
@@@@@@
เมื่อก่อนนี้ผู้เขียนตราหน้าปั๊มน้ำมันทุกแห่งว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของพฤติกรรมด้านลบของสังคมไทย นั่นคือ
”สร้างเก่งแต่ดูแลไม่เป็น”
ปั๊มน้ำมันหลายแห่งใหญ่โตแลดูทันสมัย บางแห่งเพิ่งสร้างและเปิดให้บริการได้ไม่นาน แต่ห้องน้ำกลับกลายเป็นจุดที่สกปรกที่สุด
ไม่ต้องพูดถึงห้องน้ำในปั๊มน้ำมันเก่าๆ
บนทางเปลี่ยว
ที่นั่นมันนรกชัดๆ
!!
ถ้าเอาแนวคิดของปั๊มน้ำมัน
ปตท.ที่แก่งคอยมาประยุกต์ใช้
เราอาจชุบชีวิตห้องน้ำในปั๊มน้ำมันหลายแห่งที่กลายเป็นนรกไปแล้วให้กลับกลายมาเป็นสวรรค์ได้ไม่ยาก โดยการให้องค์การบริหารส่วนตำบลหรืออบต.ร่วมมือกับปั๊มน้ำมัน
เพราะปัญหาของปั๊มน้ำมันคือต้นทุนด้านบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ที่จะมาดูแลความสะอาดห้องน้ำ แต่อบต.นั้นมีบุคลากรด้านนี้อยู่แล้ว
ทางปั๊มน้ำมันอาจจะลงทุนในการปรับปรุงห้องน้ำให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีอีกเล็กน้อย
ประเด็นเรื่องการบริจาค เราไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้ตายตัวก็ได้ เพียงแต่ทำกล่องรับบริจาคไว้ หรือหากจะต้องกำหนดก็กำหนดไว้ให้น้อยที่สุดเช่น
3-5 บาท ประเด็นสำคัญอยู่ที่การทำให้ผู้ใช้บริการสัมผัสได้ถึงความสะอาดจริงๆ สะอาดจนแมลงวันลื่นหัวแตก ให้ทุกคนรู้สึกยินดีที่ได้ทำกุศลและเป็นสุขที่ได้รับการดูแลด้านสุขอนามัย
ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้ามีผู้บริจาคคนละ
3 บาท หนึ่งร้อยคนต่อวันเป็นเงิน 300 บาท
ในหนึ่งปีจะได้เงินถึง 109,500 บาท
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษาให้เด็กๆ ในโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
อบต.แห่งนั้นได้ไม่น้อย สามารถตั้งเป็นกองทุนเพื่อการศึกษาของนักเรียนที่มีฐานะยากจนได้สบายๆ ในขณะที่ภาพลักษ์ของปั๊มน้ำมันก็ดีขึ้น
มีผู้นิยมที่จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเพราะห้องน้ำสะอาด
เจ้าของปั๊มก็มีกำไรเพิ่มขึ้นแถมอิ่มบุญกันถ้วนหน้า
แต่ปัญหาของสังคมไทยก็คือ เราไม่ชอบที่จะทำโครงการในลักษณะนี้
คนไทยไม่ต้องการอะไรที่ผูกพันหรือวุ่นวายในเรื่องการจัดการ คนไทยชอบให้แจกการ์ดเชิญ เพื่อจะได้แต่งตัวสวยๆ
ไปเฉิดฉายในงานที่มีคนใหญ่คนโตไปตัดริบบิ้นเปิดงาน มีสื่อมวลชนล้อมหน้าล้อมหลังขอสัมภาษณ์ ส่วนคนที่มาร่วมงานมากกว่าครึ่งก็ถูกเกณฑ์มานั่งปรบมือ พอถามถึงรายละเอียดของโครงการก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะแทบจะไม่รู้อะไรเลย
สังคมที่ลูบหน้าปะจมูกมันช่างเหมาะกับโครงการเพื่อการกุศลที่น่าสมเพชจริงๆ
!!
พูดมาถึงตรงนี้ก็อดที่จะพาดพิงถึง
อบต.ที่อยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไม่ได้
ทุกวันนี้เรามี อบต.หรือองค์การบริหารส่วนตำบล 6,157 แห่ง ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างเพราะมีการยกฐานะเป็นเทศบาลอยู่ทุกปี นอกจากนี้เรายังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นเทศบาลตำบล
เทศบาลเมือง เทศบาลนคร
และองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย
ซึ่งรวมกันแล้วก็ไม่น้อยกว่า 7,853 แห่ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่านี้ถูกคาดหวังจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
2540 และ 2550
ว่าจะเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาและดูแลทุกข์สุขของราษฎรในแต่ละพื้นที่ มีงบประมาณที่รัฐบาลต้องอุดหนุนให้ในแต่ละปีรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนกว่าล้านบาท แต่งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับสิ่งก่อสร้าง เงินภาษีของประชาชนก้อนใหญ่ไปจมอยู่กับแท่งคอนกรีต
ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกคนต้องผ่านการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยทางตรง (Direct
Democracy) ที่ชัดเจนที่สุด แต่เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้าไปบริหารท้องถิ่น
คนเหล่านี้กลับมองว่าทุกข์ของประชาชนต้องแก้ไขด้วยการทำให้ผู้รับเหมารวยขึ้น หรือหากประชาชนมีปัญหาทางสังคมก็แก้ไขด้วยการเจียดเศษเงินงบประมาณไปให้
ไม่สนใจว่าชาวบ้านจะติดนิสัยแบมือขอเงินกันงอมแงม
ผมคิดว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นและทุนในท้องถิ่นสามารถร่วมมือสร้างสรรค์โครงการดีๆ
ให้เกิดขึ้นได้ เพียงแต่ว่ามันจะต้องเริ่มต้นจากใจไปที่สมอง ไม่ใช่เริ่มจากความโลภแล้วเอาปากกาขีดเส้นใต้ไปที่ตัวเลขงบประมาณ
อบต.บางแห่งมีประชากรไม่ถึงสองพันคน แต่ทุกวันนี้เรายังได้เห็นสกู๊ปชีวิตหลังข่าวของสถานีโทรทัศน์แต่ละช่องรายงานเรื่องราวชีวิตที่รันทดของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าและหลานๆ
ที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้
หรือไม่ก็เสียชีวิตไปแล้วต้องทนทุกข์อยู่ในกระท่อมที่มีสภาพเหมือนเล้าไก่ อดมื้อกินมื้อแถมยังมีโรคร้ายรุมเร้า
ไม่กี่วันต่อมารายการเดียวกันก็จะรายงานความคืบหน้าว่า
มีผู้เมตตายื่นมือไปช่วยเหลือครอบครัวนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงอบต.เจ้าของพื้นที่แห่งนี้ด้วย ไม่รู้ว่านายกอบต.
ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเป็นปีถึงไม่เคยได้รับรู้เลยว่า ลูกบ้านที่ตัวเองเคยขอคะแนนเสียงเขานั้นอยู่กันอย่างไร
พื้นที่ของอบต.บางแห่งถีบจักรยานให้รอบก็ไม่เกินสองชั่วโมงด้วยซ้ำไป
!!
โครงการดีๆ
อย่างที่ปั๊ม ปตท.แก่งคอยทำนี้
ความจริงแล้วสามารถเริ่มต้นได้จาก อบต.ทุกแห่งทั่วประเทศ ขอเพียงนายกอบต.ใช้ฐานะของความเป็นผู้นำ คิด...
ริเริ่มและก้าวเข้าไปจับมือกับธุรกิจในท้องถิ่น
โครงการดีๆ ก็จะเกิดขึ้นได้
เลิกตัดริบบิ้นให้โครงการโง่ๆ
กันสักทีเถอะครับ !!
.......................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น