วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปลดทุกข์ด้วยกุศลจิต



จีรวัฒน์ ครองแก้ว

ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง CSR หรือ Corporate Social Responsibilities กำลังเป็นกลยุทธ์สำคัญขององค์กรธุรกิจหลายแห่ง  ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่หรือเป็นสินค้ามวลชน  เพราะการทำ CSR จะมีผลต่อภาพพจน์ที่ดี  นำไปสู่ความนิยมชมชอบในตัวองค์กร  และมีผลต่อสินค้าในที่สุด
หลายครั้งที่ผู้เขียนได้เห็นกิจกรรม CSR แล้วอยากจะคลื่นไส้อาเจียน  พวกเขาทำราวกับว่าลูกค้าอย่างพวกเรากินหญ้าแทนข้าว  โดยเฉพาะกิจกรรมว่าด้วยการแจกและบริจาคทั้งหลาย  เพราะบริจาคให้ตายมันก็ไม่มีทางเกินกว่าตัวเลขที่ถูกคำนวณผลกำไรขาดทุนมาแล้ว
แต่ตอนที่บริษัทเหล่านี้ทึกทักเอาผลงาน  หรือป่าวประกาศให้ผู้คนพูดถึงความดีของตัวเองนั้น  เขาทำยิ่งกว่าหน่วยงานระดับกระทรวงของรัฐบาลที่รับผิดชอบเรื่องนั้นโดยตรงเสียอีก  
ผู้เขียนไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดหรือธุรกิจนัก  แต่ถ้ามองจากมุมของผู้บริโภคที่กินข้าวเป็นอาหารไม่ใช่หญ้าอย่างที่บริษัทโง่ๆ หลายแห่งคิด  CSR  ที่ดีในความเข้าใจของผู้เขียนจะต้องมีความสง่างามทางความคิดเป็นองค์ประกอบสำคัญ 
บทความนี้ขอยกตัวอย่างที่ดีมากของการใช้ CSR อย่างสร้างสรรค์และโดดเด่น
จะเรียกว่าเป็น Smart CSR ก็น่าจะได้
ประเด็นสำคัญคือคุณต้องไม่สร้างภาพว่าคุณเป็นผู้บริจาคที่ยิ่งใหญ่  เพราะไม่มีใครไม่เข้าใจหรอกว่าธรรมชาติของธุรกิจนั้นคือความต้องการทำกำไรสูงสุด  งานหลักของธุรกิจไม่ใช่การทำ CSR  ไม่จำเป็นต้องแสดงบทพ่อพระกับสังคมจนเกินงาม  เพราะอย่างไรเสียคุณก็ทำมันได้อย่างจำกัด
วิธีทำ CSR ที่ง่ายและพบเห็นกันบ่อยที่สุด  คือการโยนเงินสักก้อนเข้าไปในปากนกปากกา  หรือพื้นที่ใดสักแห่งที่คิดว่าจะเอาป้ายโครงการที่ปักไว้มาตีปี๊ปทางโทรทัศน์ได้
โครงการเพื่อสังคมเหล่านี้หาความยั่งยืนได้น้อยเต็มทน  เมื่อหมดเงินก็หมดกัน!!
แต่กิจกรรม “ห้องน้ำเพื่อการกุศล” หรือ “RESTROOM FOR DONATION” ของปั๊ม ปตท.อำเภอแก่งคอย  จังหวัดสระบุรีที่ถูกส่งมาในอีเมล์ฉบับนี้  กลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันสง่างามและยั่งยืน 
สะท้อนให้เห็นว่ามันถูกเริ่มต้นที่สมองก่อนจะกลายเป็นรูปธรรม
แต่ขอพูดเฉพาะเรื่องห้องน้ำเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาพลังงานหรือราคาน้ำมันซึ่งมันสลับซับซ้อนกว่านี้และอาจจะกลายเป็นหนังคนละม้วน 

@@@@@@

ในเบื้องต้นผมรับรู้โครงการนี้จากอีเมล์   เมื่อมีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในเขตอำเภอวังน้ำเขียวเมื่อสองปีที่ผ่านมา  จึงแวะพิสูจน์ข้อเท็จจริงและเยี่ยมชมห้องน้ำเพื่อการกุศลแห่งนี้  ซึ่งข้อพิสูจน์ที่ได้ยิ่งทำให้ประทับใจและคารวะในความคิดของผู้ริเริ่มโครงการนี้มากขึ้น
ในอาณาบริเวณปั๊มน้ำมันที่ดูทันสมัยและกว้างขวาง  เราจะพบว่ามีห้องน้ำที่ให้บริการแก่ลูกค้าของ ปตท.อยู่แล้ว  ที่สำคัญคือเป็นห้องน้ำที่กว้างขวางและสะอาดกว่าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันแห่งอื่นๆ ด้วยซ้ำไป  แต่พื้นที่ส่วนหนึ่งของปั๊มก็ถูกจัดแบ่งสำหรับก่อสร้างห้องน้ำเพื่อการกุศลแห่งนี้ขึ้นมา  เหมือนเป็นการตั้งใจและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า  มันเป็นโครงการพิเศษสำหรับคนที่มีความคิดพิเศษ 
ด้านหน้าของห้องน้ำโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์รูปชายหญิงสีฟ้าพร้อมข้อความ RESTROOM 20 สูงเท่าตัวคนมองดูเด่นสะดุดตา  หลายคนแม้จะเพิ่งเข้าห้องน้ำมาแล้วยังต้องหยุดแวะดูพร้อมกับสีหน้าแปลกใจระคนคำถามที่ว่า 
“นี่มันห้องน้ำอะไร ?” 
แต่เมื่อมองเลยไปถึงป้ายบนตัวอาคารก็จะร้องอ๋อ  เพราะข้อความที่เขียนว่า “ห้องน้ำเพื่อการกุศล” หรือ “RESTROOM FOR DONATION”  ตรงประตูมีคำขยายความว่า 20 BAHT MAKES  A BETTER  LIFE
ทันทีที่เปิดประตูก้าวผ่านไอร้อนอันแสนอบอ้าวเข้าไปข้างใน   คุณจะรู้สึกได้ถึงความฉ่ำเย็นจากเครื่องปรับอากาศ 
ใช่แล้ว.....นี่คือห้องน้ำติดแอร์ !! 
ไม่เพียงเท่านั้น  สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือห้องน้ำชั้นดีระดับโรงแรมห้าดาวที่รอให้คุณปลดทุกข์ด้วยกุศลจิต  ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันชัดๆ ก็ลองคิดเสียว่าคุณกำลังใช้เส้นทางถนนมิตรภาพอันเป็นที่ตั้งของปั๊มแห่งนี้เพื่อเดินทางไปพักผ่อนที่รีสอร์ทที่คุณคิดว่าดีที่สุดสักแห่งบนเขาใหญ่   แต่คุณภาพของห้องน้ำในปั๊มแห่งนี้ไม่ด้อยหรืออาจจะดีกว่าที่ๆ คุณกำลังจะไปด้วยซ้ำ  ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายในที่ทันสมัยและกว้างขวาง   สุขภัณฑ์ที่ใช้มีคุณภาพสูงกว่าห้องน้ำตามปั๊มน้ำมันทั่วไป  แถมด้านหน้ายังมีโซฟาเก๋ๆ ให้คุณได้นั่งอ่านหนังสือหรือเอนหลังพักขาก่อนออกเดินทางไกลอีกด้วย  ด้านในประกอบด้วยมีห้องน้ำหญิง 6 ห้อง ห้องน้ำชาย 3 ห้อง  ที่พิเศษคือมีห้องน้ำสำหรับผู้พิการอีก 1 ห้อง ทุกห้องได้รับการดูแลเรื่องความสะอาดอย่างพิเศษสุด
ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดมาเพื่อทำให้เรารู้สึกหรือลืมไปว่า  ที่นี่คือปั๊มน้ำมันจนทำให้คุณอาจเผลอไผลนั่งเล่นอยู่ในห้องน้ำนี้นานนับชั่วโมง
 แต่ก่อนที่จะใช้บริการ  คุณจะเห็นกล่องบริจาคตั้งอยู่พร้อมพนักงานที่จะคอยตอบคำถามของคุณ  ภายหลังจากที่บริจาคเงิน 20 บาทแล้วคุณจะได้รับคูปองจากทาง ปตท.เหมือนใบอนุโมทนาบัตรยืนยันว่าคุณได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการนี้  
คำถามที่คุณต้องถามแน่ๆ คือทางปั๊มเอาเงินที่บริจาคไปทำอะไร ?
ผู้เขียนไปค้นหาคำตอบมาได้จากรายงานข่าวเมื่อครั้งที่มีพิธีเปิดห้องน้ำแห่งนี้เมื่อวันที่  2 ตุลาคม 2552 โดยรายได้ทั้งหมดของห้องน้ำแห่งนี้มอบให้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน และโรงเรียนวัดหนองบัว สำนักงานพื้นที่การศึกษาสระบุรี เขต 1 ถือว่าเป็นห้องน้ำติดแอร์เพื่อการกุศลแห่งแรกของประเทศ
ผู้เขียนเห็นว่าโครงการนี้เป็น  Smart CSR ก็เพราะผลสรุปที่ได้ของโครงการนี้ทำให้เห็นถึงความยั่งยืนของเป้าหมายที่ต้องการได้ทันทีที่เราจ่ายเงิน 20 ไป  ทุกคนได้ประโยชน์และมีความรู้สึกร่วมโดยไม่จำเป็นต้องฝืนหรือเข็นโครงการเหมือนกับกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเกณฑ์หน้าม้ากันไปร่วมงาน 
ปตท.บรรลุเป้าหมายของการทำ CSR โครงการนี้
ลูกค้าได้ใช้บริการห้องน้ำสะอาดและได้ร่วมทำกุศล
เด็กๆ ได้มีอาหารกลางวันและกิจกรรมอื่นๆเพราะเงินบริจาค
โครงการมีความยั่งยืนไปจนกว่าปั๊มแห่งนี้จะเลิกกิจการ
ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าคนชั้นกลางจะชอบโครงการนี้  เพราะพวกเขามีกำลังเงินที่จะจ่าย  กลิ่นไอของรสนิยมจะเรียกร้องให้พวกเขาพึงพอใจในรูปลักษณ์และความสะอาด  จนกลายเป็นห้องน้ำประจำสำหรับการเดินทางบนเส้นทางสายนี้ได้ไม่ยาก 
สำหรับผู้เขียนบริจาค 20 บาทในวันนั้นโดยไม่ได้ใช้บริการ  แต่พอใจและชื่นชมกับความคิดที่น่ารักนี้อย่างยิ่ง

@@@@@@
           
            เมื่อก่อนนี้ผู้เขียนตราหน้าปั๊มน้ำมันทุกแห่งว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของพฤติกรรมด้านลบของสังคมไทย  นั่นคือ  ”สร้างเก่งแต่ดูแลไม่เป็น” 
ปั๊มน้ำมันหลายแห่งใหญ่โตแลดูทันสมัย  บางแห่งเพิ่งสร้างและเปิดให้บริการได้ไม่นาน  แต่ห้องน้ำกลับกลายเป็นจุดที่สกปรกที่สุด 
ไม่ต้องพูดถึงห้องน้ำในปั๊มน้ำมันเก่าๆ บนทางเปลี่ยว 
ที่นั่นมันนรกชัดๆ !!
            ถ้าเอาแนวคิดของปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่แก่งคอยมาประยุกต์ใช้  เราอาจชุบชีวิตห้องน้ำในปั๊มน้ำมันหลายแห่งที่กลายเป็นนรกไปแล้วให้กลับกลายมาเป็นสวรรค์ได้ไม่ยาก  โดยการให้องค์การบริหารส่วนตำบลหรืออบต.ร่วมมือกับปั๊มน้ำมัน  เพราะปัญหาของปั๊มน้ำมันคือต้นทุนด้านบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ที่จะมาดูแลความสะอาดห้องน้ำ  แต่อบต.นั้นมีบุคลากรด้านนี้อยู่แล้ว  ทางปั๊มน้ำมันอาจจะลงทุนในการปรับปรุงห้องน้ำให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีอีกเล็กน้อย 
            ประเด็นเรื่องการบริจาค  เราไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้ตายตัวก็ได้  เพียงแต่ทำกล่องรับบริจาคไว้  หรือหากจะต้องกำหนดก็กำหนดไว้ให้น้อยที่สุดเช่น 3-5 บาท  ประเด็นสำคัญอยู่ที่การทำให้ผู้ใช้บริการสัมผัสได้ถึงความสะอาดจริงๆ  สะอาดจนแมลงวันลื่นหัวแตก  ให้ทุกคนรู้สึกยินดีที่ได้ทำกุศลและเป็นสุขที่ได้รับการดูแลด้านสุขอนามัย
            ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้ามีผู้บริจาคคนละ 3 บาท หนึ่งร้อยคนต่อวันเป็นเงิน 300 บาท  ในหนึ่งปีจะได้เงินถึง  109,500 บาท สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษาให้เด็กๆ ในโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อบต.แห่งนั้นได้ไม่น้อย  สามารถตั้งเป็นกองทุนเพื่อการศึกษาของนักเรียนที่มีฐานะยากจนได้สบายๆ  ในขณะที่ภาพลักษ์ของปั๊มน้ำมันก็ดีขึ้น  มีผู้นิยมที่จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเพราะห้องน้ำสะอาด  เจ้าของปั๊มก็มีกำไรเพิ่มขึ้นแถมอิ่มบุญกันถ้วนหน้า
            แต่ปัญหาของสังคมไทยก็คือ  เราไม่ชอบที่จะทำโครงการในลักษณะนี้ 
คนไทยไม่ต้องการอะไรที่ผูกพันหรือวุ่นวายในเรื่องการจัดการ  คนไทยชอบให้แจกการ์ดเชิญ  เพื่อจะได้แต่งตัวสวยๆ ไปเฉิดฉายในงานที่มีคนใหญ่คนโตไปตัดริบบิ้นเปิดงาน  มีสื่อมวลชนล้อมหน้าล้อมหลังขอสัมภาษณ์  ส่วนคนที่มาร่วมงานมากกว่าครึ่งก็ถูกเกณฑ์มานั่งปรบมือ  พอถามถึงรายละเอียดของโครงการก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะแทบจะไม่รู้อะไรเลย
สังคมที่ลูบหน้าปะจมูกมันช่างเหมาะกับโครงการเพื่อการกุศลที่น่าสมเพชจริงๆ !!
พูดมาถึงตรงนี้ก็อดที่จะพาดพิงถึง อบต.ที่อยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไม่ได้  ทุกวันนี้เรามี อบต.หรือองค์การบริหารส่วนตำบล 6,157 แห่ง  ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างเพราะมีการยกฐานะเป็นเทศบาลอยู่ทุกปี  นอกจากนี้เรายังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร  และองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย  ซึ่งรวมกันแล้วก็ไม่น้อยกว่า 7,853 แห่ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่านี้ถูกคาดหวังจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2540 และ 2550 ว่าจะเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาและดูแลทุกข์สุขของราษฎรในแต่ละพื้นที่  มีงบประมาณที่รัฐบาลต้องอุดหนุนให้ในแต่ละปีรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนกว่าล้านบาท   แต่งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับสิ่งก่อสร้าง  เงินภาษีของประชาชนก้อนใหญ่ไปจมอยู่กับแท่งคอนกรีต
ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกคนต้องผ่านการเลือกตั้ง  เป็นประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)  ที่ชัดเจนที่สุด  แต่เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้าไปบริหารท้องถิ่น  คนเหล่านี้กลับมองว่าทุกข์ของประชาชนต้องแก้ไขด้วยการทำให้ผู้รับเหมารวยขึ้น  หรือหากประชาชนมีปัญหาทางสังคมก็แก้ไขด้วยการเจียดเศษเงินงบประมาณไปให้  ไม่สนใจว่าชาวบ้านจะติดนิสัยแบมือขอเงินกันงอมแงม
ผมคิดว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นและทุนในท้องถิ่นสามารถร่วมมือสร้างสรรค์โครงการดีๆ ให้เกิดขึ้นได้  เพียงแต่ว่ามันจะต้องเริ่มต้นจากใจไปที่สมอง  ไม่ใช่เริ่มจากความโลภแล้วเอาปากกาขีดเส้นใต้ไปที่ตัวเลขงบประมาณ
อบต.บางแห่งมีประชากรไม่ถึงสองพันคน  แต่ทุกวันนี้เรายังได้เห็นสกู๊ปชีวิตหลังข่าวของสถานีโทรทัศน์แต่ละช่องรายงานเรื่องราวชีวิตที่รันทดของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าและหลานๆ ที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้  หรือไม่ก็เสียชีวิตไปแล้วต้องทนทุกข์อยู่ในกระท่อมที่มีสภาพเหมือนเล้าไก่  อดมื้อกินมื้อแถมยังมีโรคร้ายรุมเร้า 
ไม่กี่วันต่อมารายการเดียวกันก็จะรายงานความคืบหน้าว่า  มีผู้เมตตายื่นมือไปช่วยเหลือครอบครัวนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  รวมถึงอบต.เจ้าของพื้นที่แห่งนี้ด้วย  ไม่รู้ว่านายกอบต. ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเป็นปีถึงไม่เคยได้รับรู้เลยว่า  ลูกบ้านที่ตัวเองเคยขอคะแนนเสียงเขานั้นอยู่กันอย่างไร    
พื้นที่ของอบต.บางแห่งถีบจักรยานให้รอบก็ไม่เกินสองชั่วโมงด้วยซ้ำไป !!
โครงการดีๆ อย่างที่ปั๊ม ปตท.แก่งคอยทำนี้  ความจริงแล้วสามารถเริ่มต้นได้จาก อบต.ทุกแห่งทั่วประเทศ  ขอเพียงนายกอบต.ใช้ฐานะของความเป็นผู้นำ  คิด... ริเริ่มและก้าวเข้าไปจับมือกับธุรกิจในท้องถิ่น  โครงการดีๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ 

          เลิกตัดริบบิ้นให้โครงการโง่ๆ กันสักทีเถอะครับ !!      

.......................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น