เดินทางไกล
ภาพจาก http://girlservesworld.wordpress.com/category/human-trafficking/ จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ค่ำคืนอันทรมานถูกแทนที่ด้วยเสียงทุบประตูอย่างเร่งร้อนและเสียงที่ตะโกนเรียกดังอยู่ด้านนอก
“ไอ้ชด เฮ้ยเปิดประตูเร็ว”
ผมกับพี่เปี๊ยกลุกขึ้นมองหน้ากันเพราะเราจำเสียงนั้นได้ดี ทุกอย่างไม่ผิดไปจากที่คิด ชายหน้าบากผผลุนผลันเข้ามาทันทีที่แม่เปิดประตูให้
“ไอ้ชดเอ็งทำยังไงให้อีเด็กสามคนนั่นมันหนีไปได้ว่ะ
?”
คำแรกที่หลุดจากปากทำเอาพ่อกับแม่ต้องหันมามองหน้ากัน
“เอ็งรู้ได้ยังไงวะ”
พ่อถามทันควัน
“สายของเจ๊บอก ข้าถึงต้องรีบมาที่นี่ไง”
เสียงของชายหน้าบากแฝงความร้อนใจเอาไว้
“แต่เจ๊คงไม่ได้คิดจะมากดดันอะไรพวกเรานะ”
แม่พูดเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง
“ถ้าเรื่องอีเด็กสามคนนะลืมไปได้เลย มันมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอีก” ชายหน้าบากพูด
“เรื่องอะไร !!”
พ่อกับแม่อุทานออกมาแทบจะพร้อมกัน ในขณะที่ผมกับพี่เปี๊ยกนิ่งฟังด้วยใจระทึก
“ประตูคุกมันจะเปิดรอรับพวกเอ็งกับข้าและก็เจ๊นะสิวะ”
ชายหน้าบากเน้นเสียง
“แสดงว่ามันหนีไปหาตำรวจ” แม่เดา
“ถ้าไปหาตำรวจจริงก็ไม่เท่าไหร่ข้าว่าเจ๊คงเอาอยู่
แต่เพราะว่ามันไม่ได้ไปหาตำรวจนะสิเจ๊ถึงร้อนใจและสั่งให้ข้ารีบมาจัดการปัญหา”
ชายหน้าบากเพิ่มความสงสัยให้พ่อกับแม่
รวมถึงผมกับพี่เปี๊ยกมากขึ้นไปอีก
“พูดอย่างนี้เอ็งหมายความว่ายังไงวะ” พ่อส่ายหน้าไม่เข้าใจ
ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ผมขออย่างเดียว ขอให้พี่สาวทั้งสามคนของผมปลอดภัย
ตอนนี้ทุกอย่างถูกเปลือยออกมาจนแทบไม่เหลืออะไร นอกจากความดิบ เถื่อนและโสมม
คำตอบของชายหน้าบากก็คลายความกังวลของผมกับพี่เปี๊ยกไปได้
“ไม่ใช่อย่างที่เอ็งคิดไอ้ชด” ชายหน้าบากตอบ
“พวกมันหนีไปหานายหัวอรุณ เรื่องมันเลยไปกันใหญ่”
คำตอบของเขาทำให้ผมและพี่เปี๊ยกได้รู้ชื่อลุงใจดีคนนั้น
“ใครว่ะนายหัวอรุณ” พ่อถาม
ตอนนี้พี่เปี๊ยกกำมือและเม้มปากแน่นเหมือนพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“นายหัวอรุณคือคหบดีใหญ่ ไม่มีใครในหาดใหญ่ไม่รู้จัก บารมีของเขากับเตี่ยเขานี่อย่าว่าแต่ผู้ว่าหรือผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดเลย แม้แต่ส่วนกลางก็ยังต้องเกรงใจ งานนี้เจ๊ข้าเอาไม่อยู่แน่”
ชายหน้าบากส่ายหน้าช้าๆ
แววตาดูเป็นกังวลมากขึ้น
“แล้วจะทำยังไงกันดี”
แม่แทรกขึ้นมา
“พวกเอ็งต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้และไปให้ไกลที่สุด”
คำตอบของชายหน้าบากเหมือนแส้ที่ฟาดลงไปบนหลังนักโทษ
“อะไรนะ”
พ่อกับแม่อุทานพร้อมกัน
“เอ็งไม่ต้องห่วง
ข้าจัดการที่ทางไว้แล้วตอนนี้ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เราไม่มีเวลาแล้วพวกเอ็งรีบเก็บข้าวของจำเป็นแล้วเราต้องเดินทางไกลกัน”
ชายหน้าบากตัดบทแล้วหันหลังเดินไปยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน
ผมกับพี่เปี๊ยกมองหน้ากันเหมือนเข้าใจในชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น
มันคงไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายลงไปกว่านี้อีกแล้ว
สิ่งเดียวที่คิดได้และผมก็คิดว่าพี่เปี๊ยกก็คิดไม่ต่างกัน
ความสุขกับชีวิตใหม่ของพี่สาวทั้งสามคนอัดแน่นอยู่ในความรู้สึก !!
ความสุขกับชีวิตใหม่ของพี่สาวทั้งสามคนอัดแน่นอยู่ในความรู้สึก !!
@@@@@
รถกระบะที่โดนผมกับพี่เปี๊ยกถ่ายน้ำมันและปล่อยลมยางได้รับการแก้ไขอย่างเร่งรีบโดยพ่อกับชายหน้าบากเพื่อจะพาพวกเราทุกคนออกไปจากที่นั่นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
พ่อสตาร์ทรถ เสียงคำรามของมันยังคงดังสะท้านเหมือนเดิม
ผิดกันแต่ว่าวันนี้มันคงพาผมกับพี่เปี๊ยกไปไกลกว่าตลาดหาดใหญ่มากนัก
ผมนั่งมองบ้านหลังนั้นค่อยๆ
เล็กลง
เหมือนเรื่องราวและความเป็นจริงที่กำลังถูกย่อยให้เหลือเพียงความทรงจำ
ไม่ว่ามันจะเคยเป็นบ้านอย่างที่ควรจะเป็นสำหรับผมกับพวกพี่ๆ
หรือไม่ก็ตาม แต่มันก็คือที่ๆ
รวมความทรงจำทุกอย่างเอาไว้ที่นั่น
ตอนนี้ชะตากรรมของผมกับพี่เปี๊ยกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของชายหน้าบาก เขาขับรถนำหน้าฝ่าความมืดของรุ่งสางไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับทางไปตลาดหาดใหญ่ ผมจำได้ขึ้นใจว่าทุกวันที่ออกมาจากซอยแล้วรถจะต้องเลี้ยวซ้ายลงใต้
แต่วันนี้รถกลับเลี้ยวขวามุ่งขึ้นเหนือ
!!
“เราจะถูกพาไปไหนพี่เปี๊ยก ?” ผมถาม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันไอ้บอย แต่....”
พี่เปี๊ยกหยุดพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“แต่อะไรพี่เปี๊ยก ?” ผมถามซ้ำ
“แต่มันอาจจะดีกับเราก็ได้”
พี่เปี๊ยกเปรย แต่ผมกลับแปลความหมายนั้นไม่ออก ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้จึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบผมที่ข้างหู
“เราอาจได้จังหวะหนีกันคราวนี้แหละ”
คำตอบของพี่เปี๊ยกให้ทั้งความหวังและหวาดหวั่นไปพร้อมกัน ผมได้แต่เบือนหน้าไปที่แผ่นฟ้า
ตอนนี้แสงของพระอาทิตย์เริ่มแทงเสียดเมฆออกมาเป็นลำ มันเหมือนคำที่ใครๆ
ก็เอาเปรียบเปรยเป็นความหวัง
รถกระบะสองคันยังคงห้อตะบึงไปข้างหน้า ถ้าเป็นวันก่อนๆ
ช่วงเวลาประมาณนี้เราคงเดินทางถึงตัวตลาดหาดใหญ่ไปแล้ว แต่ตอนนี้รถกลับแล่นอยู่บนถนนสะพานที่สองข้างทางเวิ้งว้างไปด้วยแผ่นน้ำ
มันเป็นครั้งแรกที่ผมกับพี่เปี๊ยกได้เห็นภูมิประเทศที่แปลกตาไปจากชีวิตประจำวัน
ผมสังเกตได้ว่าแม่จะหันหน้ากลับมามองผมกับพี่เปี๊ยกจากหน้ารถเป็นระยะ แววตาของเธอดูเคร่งเครียดเหมือนเดิมก่อนหน้านี้ มันเหมือนสัญญาให้ผมกับพี่เปี๊ยกรู้ว่า เราสองคนไม่มีค่าอะไรสำหรับเขานอกจากเศษชีวิตสองชิ้นที่เอามาแขวนไว้ล่อเหยื่อ
แต่ยังไงก็ตาม ผมยังคงเรียกชายหญิงสองคนนี้ว่าพ่อกับแม่ต่อไปและคงจะเรียกต่อไปจนกว่าที่จะถึงวันนั้น
วันที่ผมปลดปล่อยชีวิตตัวเองได้
“เฮ้ยบอย..
คิดถึงพวกนั้นเหรอ”
พี่เปี๊ยกเอามือตบไหล่ผมเบาๆ
จนสะดุ้ง
ผมพยักหน้ารับแต่สายตายังมองที่ไปขอบฟ้าที่เริ่มเจือแสงของพระอาทิตย์มากขึ้นทุกที
“เอ็งเชื่อข้าสิ อีกไม่นานหรอกเราจะได้เจอกันอีก”
พี่เปี๊ยกพูดทวนเสียงลมที่พัดอู้มาจากหน้ารถ
ถ้าจะว่ากันตามความรู้สึกจริงๆที่ผมมีในตอนนั้น
การจะมีโอกาสได้เจอพี่สาวทั้งสามคนอีกหรือไม่ช่างดูเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน
ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่ตรงหน้าแล้วว่าชีวิตเหมือนการเดินทางไกลไม่ต่างจากสิ่งที่ผมกับพี่เปี๊ยกกำลังเผชิญอยู่
ไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้ปลายทาง
ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไร !!
@@@@@
นานหลายชั่วโมงกว่ารถกระบะทั้งสองคันจะจอดแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มเล็กๆ
แห่งหนึ่ง
“เอ้าไอ้สองตัวเอ็งลงไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย”
แม่พูดเมื่อลงมาจากรถ พี่เปี๊ยกเดินจูงมือผมเดินตรงไปที่ห้องน้ำ แต่สังเกตว่าพี่เปี๊ยกกวาดสายตาไปรอบๆ
ปั๊มอยู่ตลอดเวลา
“ไอ้บอยเอ็งอยู่ใกล้ๆ
ข้าไว้นะอย่าไปไหน” พี่เปี๊ยกกำชับ
“ทำไมล่ะพี่เปี๊ยก” ผมสงสัย
“เผื่อข้าคิดอะไรออกและมีจังหวะเราจะได้หนี”
การพูดเรื่องหนีเป็นครั้งที่สองแสดงว่าพี่เปี๊ยกคงคิดอย่างนั้นจริงๆ
แต่สำหรับผมมันช่างเป็นอะไรที่ยากเย็นสิ้นดี
!!
เมื่อทำธุระส่วนตัวกันเสร็จผมกับพี่เปี๊ยกเดินจูงมือกันออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องผงะ
ชายหน้าบากยืนรออยู่ด้านหน้า
นัยน์ตาของเขาเหมือนมีความต้องการอะไรบางอย่าง
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเอ็งสองคนหน่อย”
คำพูดของเขาทำให้ผมขนลุกซู่ เขากวักมือให้เราสองคนเดินตามไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้ที่มุมปั๊ม
ผมมองไปทางพ่อกับแม่ซึ่งตอนนี้กำลังจอดรถรอเติมน้ำมันอยู่ ทันทีที่นั่งลง ชายหน้าบากก็ยื่นอะไรบางอย่างให้
“กินมั๊ย”
มือที่กร้านดำของเขายื่นมะม่วงมาตรงหน้า ผมกับพี่เปี๊ยกมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนที่พี่เปี๊ยกจะหันไปบอกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
ว่า “ไม่”
“ไม่กินก็ตามใจ”
ชายหน้าบากเอื้อมมือไปที่เอวแล้วดึงมีดปลายแหลมคมกริบออกมาเฉือนมะม่วงออกเป็นชิ้นเข้าปากแต่สายตาจ้องเขม็งมาที่ผมกับพี่เปี๊ยก
“เอ็งรู้เรื่องที่พี่สาวเอ็งติดต่อกับนายหัวอรุณใช่มั๊ย
?”
ชายหน้าบากพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
พี่เปี๊ยกตอบเบาๆ ชายหน้าบากหลิ่วตามองลึกเข้าไปในตาของพี่เปี๊ยก โหนกแก้มที่เต้นระริกยิ่งทำให้แผลเป็นที่ลากยาวจากคิ้วถึงริมฝีปากของเขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
“มึงอย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงรู้เรื่องนี้ด้วย”
ชายหน้าบากเน้นเสียงเข้มแล้วยื่นปลายมีดชี้มาที่หน้าพี่เปี๊ยก
ปลายมีดอันแหลมคมจ่ออยู่ห่างจมูกพี่เปี๊ยกแค่คืบ
คมมีดที่วาววับสะท้อนแดดส่องตาผมเหมือนสัญญาณของมัจจุราช
“น้าเชื่อฉันเถอะฉันกับไอ้บอยไม่รู้เรื่องจริงๆ”
พี่เปี๊ยกลดน้ำเสียงเป็นเชิงอ้อนวอน
“น้าจะพาพวกฉันไปไหน
?”
ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีถูกแล้วกลั้นใจถามออกไป
“กูไม่พาพวกมึงไปขึ้นสวรรค์แน่”
ชายหน้าบากหันมาทางผมแล้วแสยะยิ้ม
“คราวนี้แหละไอ้ชดมันจะสอนพวกมึงให้รู้ว่าการอยู่อย่างเสือนะมันเป็นยังไง ฮะๆๆฮ่า”
ชายหน้าบากตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเย็นยะเยือก
พี่เปี๊ยกจูงมือผมกลับไปที่รถโดยไม่พูดอะไรเลยได้แต่ขบกรามแน่นเหมือนกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง
!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น