วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 11)

เดินทางไกล


ภาพจาก http://girlservesworld.wordpress.com/category/human-trafficking/           จีรวัฒน์ ครองแก้ว

               ค่ำคืนอันทรมานถูกแทนที่ด้วยเสียงทุบประตูอย่างเร่งร้อนและเสียงที่ตะโกนเรียกดังอยู่ด้านนอก
                “ไอ้ชด  เฮ้ยเปิดประตูเร็ว” 
ผมกับพี่เปี๊ยกลุกขึ้นมองหน้ากันเพราะเราจำเสียงนั้นได้ดี  ทุกอย่างไม่ผิดไปจากที่คิด  ชายหน้าบากผผลุนผลันเข้ามาทันทีที่แม่เปิดประตูให้ 
                “ไอ้ชดเอ็งทำยังไงให้อีเด็กสามคนนั่นมันหนีไปได้ว่ะ ?” 
คำแรกที่หลุดจากปากทำเอาพ่อกับแม่ต้องหันมามองหน้ากัน
                “เอ็งรู้ได้ยังไงวะ” 
พ่อถามทันควัน
                “สายของเจ๊บอก   ข้าถึงต้องรีบมาที่นี่ไง” 
เสียงของชายหน้าบากแฝงความร้อนใจเอาไว้
                “แต่เจ๊คงไม่ได้คิดจะมากดดันอะไรพวกเรานะ” 
แม่พูดเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง
                “ถ้าเรื่องอีเด็กสามคนนะลืมไปได้เลย  มันมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอีก”  ชายหน้าบากพูด
                “เรื่องอะไร !!
พ่อกับแม่อุทานออกมาแทบจะพร้อมกัน  ในขณะที่ผมกับพี่เปี๊ยกนิ่งฟังด้วยใจระทึก
                “ประตูคุกมันจะเปิดรอรับพวกเอ็งกับข้าและก็เจ๊นะสิวะ” 
ชายหน้าบากเน้นเสียง
                “แสดงว่ามันหนีไปหาตำรวจ”  แม่เดา
                “ถ้าไปหาตำรวจจริงก็ไม่เท่าไหร่ข้าว่าเจ๊คงเอาอยู่  แต่เพราะว่ามันไม่ได้ไปหาตำรวจนะสิเจ๊ถึงร้อนใจและสั่งให้ข้ารีบมาจัดการปัญหา” 
ชายหน้าบากเพิ่มความสงสัยให้พ่อกับแม่  รวมถึงผมกับพี่เปี๊ยกมากขึ้นไปอีก
                “พูดอย่างนี้เอ็งหมายความว่ายังไงวะ”  พ่อส่ายหน้าไม่เข้าใจ
                ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ผมขออย่างเดียว  ขอให้พี่สาวทั้งสามคนของผมปลอดภัย  ตอนนี้ทุกอย่างถูกเปลือยออกมาจนแทบไม่เหลืออะไร  นอกจากความดิบ เถื่อนและโสมม
คำตอบของชายหน้าบากก็คลายความกังวลของผมกับพี่เปี๊ยกไปได้
                “ไม่ใช่อย่างที่เอ็งคิดไอ้ชด”  ชายหน้าบากตอบ
                “พวกมันหนีไปหานายหัวอรุณ  เรื่องมันเลยไปกันใหญ่”  
คำตอบของเขาทำให้ผมและพี่เปี๊ยกได้รู้ชื่อลุงใจดีคนนั้น
                “ใครว่ะนายหัวอรุณ”  พ่อถาม 
ตอนนี้พี่เปี๊ยกกำมือและเม้มปากแน่นเหมือนพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน
                “นายหัวอรุณคือคหบดีใหญ่  ไม่มีใครในหาดใหญ่ไม่รู้จัก  บารมีของเขากับเตี่ยเขานี่อย่าว่าแต่ผู้ว่าหรือผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดเลย  แม้แต่ส่วนกลางก็ยังต้องเกรงใจ  งานนี้เจ๊ข้าเอาไม่อยู่แน่” 
ชายหน้าบากส่ายหน้าช้าๆ แววตาดูเป็นกังวลมากขึ้น
                “แล้วจะทำยังไงกันดี” 
แม่แทรกขึ้นมา
                “พวกเอ็งต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้และไปให้ไกลที่สุด” 
คำตอบของชายหน้าบากเหมือนแส้ที่ฟาดลงไปบนหลังนักโทษ
                “อะไรนะ” 
พ่อกับแม่อุทานพร้อมกัน
                “เอ็งไม่ต้องห่วง  ข้าจัดการที่ทางไว้แล้วตอนนี้ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น  เราไม่มีเวลาแล้วพวกเอ็งรีบเก็บข้าวของจำเป็นแล้วเราต้องเดินทางไกลกัน” 
ชายหน้าบากตัดบทแล้วหันหลังเดินไปยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน
                ผมกับพี่เปี๊ยกมองหน้ากันเหมือนเข้าใจในชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น  มันคงไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายลงไปกว่านี้อีกแล้ว 
              สิ่งเดียวที่คิดได้และผมก็คิดว่าพี่เปี๊ยกก็คิดไม่ต่างกัน                                                                                                                                                                
              ความสุขกับชีวิตใหม่ของพี่สาวทั้งสามคนอัดแน่นอยู่ในความรู้สึก !!
@@@@@
                รถกระบะที่โดนผมกับพี่เปี๊ยกถ่ายน้ำมันและปล่อยลมยางได้รับการแก้ไขอย่างเร่งรีบโดยพ่อกับชายหน้าบากเพื่อจะพาพวกเราทุกคนออกไปจากที่นั่นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
                พ่อสตาร์ทรถ  เสียงคำรามของมันยังคงดังสะท้านเหมือนเดิม  ผิดกันแต่ว่าวันนี้มันคงพาผมกับพี่เปี๊ยกไปไกลกว่าตลาดหาดใหญ่มากนัก
                ผมนั่งมองบ้านหลังนั้นค่อยๆ เล็กลง  เหมือนเรื่องราวและความเป็นจริงที่กำลังถูกย่อยให้เหลือเพียงความทรงจำ  ไม่ว่ามันจะเคยเป็นบ้านอย่างที่ควรจะเป็นสำหรับผมกับพวกพี่ๆ หรือไม่ก็ตาม  แต่มันก็คือที่ๆ รวมความทรงจำทุกอย่างเอาไว้ที่นั่น
                ตอนนี้ชะตากรรมของผมกับพี่เปี๊ยกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของชายหน้าบาก  เขาขับรถนำหน้าฝ่าความมืดของรุ่งสางไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับทางไปตลาดหาดใหญ่   ผมจำได้ขึ้นใจว่าทุกวันที่ออกมาจากซอยแล้วรถจะต้องเลี้ยวซ้ายลงใต้  
แต่วันนี้รถกลับเลี้ยวขวามุ่งขึ้นเหนือ !!
                “เราจะถูกพาไปไหนพี่เปี๊ยก ?”  ผมถาม
                “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันไอ้บอย  แต่....” 
พี่เปี๊ยกหยุดพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
                “แต่อะไรพี่เปี๊ยก ?” ผมถามซ้ำ
                “แต่มันอาจจะดีกับเราก็ได้” 
พี่เปี๊ยกเปรย  แต่ผมกลับแปลความหมายนั้นไม่ออก  ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้จึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบผมที่ข้างหู
                “เราอาจได้จังหวะหนีกันคราวนี้แหละ” 
คำตอบของพี่เปี๊ยกให้ทั้งความหวังและหวาดหวั่นไปพร้อมกัน  ผมได้แต่เบือนหน้าไปที่แผ่นฟ้า  ตอนนี้แสงของพระอาทิตย์เริ่มแทงเสียดเมฆออกมาเป็นลำ  มันเหมือนคำที่ใครๆ ก็เอาเปรียบเปรยเป็นความหวัง
                รถกระบะสองคันยังคงห้อตะบึงไปข้างหน้า  ถ้าเป็นวันก่อนๆ ช่วงเวลาประมาณนี้เราคงเดินทางถึงตัวตลาดหาดใหญ่ไปแล้ว  แต่ตอนนี้รถกลับแล่นอยู่บนถนนสะพานที่สองข้างทางเวิ้งว้างไปด้วยแผ่นน้ำ  มันเป็นครั้งแรกที่ผมกับพี่เปี๊ยกได้เห็นภูมิประเทศที่แปลกตาไปจากชีวิตประจำวัน
                ผมสังเกตได้ว่าแม่จะหันหน้ากลับมามองผมกับพี่เปี๊ยกจากหน้ารถเป็นระยะ  แววตาของเธอดูเคร่งเครียดเหมือนเดิมก่อนหน้านี้  มันเหมือนสัญญาให้ผมกับพี่เปี๊ยกรู้ว่า  เราสองคนไม่มีค่าอะไรสำหรับเขานอกจากเศษชีวิตสองชิ้นที่เอามาแขวนไว้ล่อเหยื่อ
                แต่ยังไงก็ตาม  ผมยังคงเรียกชายหญิงสองคนนี้ว่าพ่อกับแม่ต่อไปและคงจะเรียกต่อไปจนกว่าที่จะถึงวันนั้น   วันที่ผมปลดปล่อยชีวิตตัวเองได้
                “เฮ้ยบอย.. คิดถึงพวกนั้นเหรอ” 
พี่เปี๊ยกเอามือตบไหล่ผมเบาๆ จนสะดุ้ง
                ผมพยักหน้ารับแต่สายตายังมองที่ไปขอบฟ้าที่เริ่มเจือแสงของพระอาทิตย์มากขึ้นทุกที
                “เอ็งเชื่อข้าสิ  อีกไม่นานหรอกเราจะได้เจอกันอีก”
พี่เปี๊ยกพูดทวนเสียงลมที่พัดอู้มาจากหน้ารถ
                ถ้าจะว่ากันตามความรู้สึกจริงๆที่ผมมีในตอนนั้น  การจะมีโอกาสได้เจอพี่สาวทั้งสามคนอีกหรือไม่ช่างดูเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน  ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่ตรงหน้าแล้วว่าชีวิตเหมือนการเดินทางไกลไม่ต่างจากสิ่งที่ผมกับพี่เปี๊ยกกำลังเผชิญอยู่ 
                ไม่รู้จุดหมาย  ไม่รู้ปลายทาง  ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไร !!
@@@@@
                นานหลายชั่วโมงกว่ารถกระบะทั้งสองคันจะจอดแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มเล็กๆ แห่งหนึ่ง
                “เอ้าไอ้สองตัวเอ็งลงไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย” 
แม่พูดเมื่อลงมาจากรถ  พี่เปี๊ยกเดินจูงมือผมเดินตรงไปที่ห้องน้ำ  แต่สังเกตว่าพี่เปี๊ยกกวาดสายตาไปรอบๆ ปั๊มอยู่ตลอดเวลา 
                “ไอ้บอยเอ็งอยู่ใกล้ๆ ข้าไว้นะอย่าไปไหน”  พี่เปี๊ยกกำชับ
                “ทำไมล่ะพี่เปี๊ยก”  ผมสงสัย
                “เผื่อข้าคิดอะไรออกและมีจังหวะเราจะได้หนี” 
การพูดเรื่องหนีเป็นครั้งที่สองแสดงว่าพี่เปี๊ยกคงคิดอย่างนั้นจริงๆ 
แต่สำหรับผมมันช่างเป็นอะไรที่ยากเย็นสิ้นดี !!
เมื่อทำธุระส่วนตัวกันเสร็จผมกับพี่เปี๊ยกเดินจูงมือกันออกมาจากห้องน้ำ  แต่ก็ต้องผงะ  ชายหน้าบากยืนรออยู่ด้านหน้า  นัยน์ตาของเขาเหมือนมีความต้องการอะไรบางอย่าง
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเอ็งสองคนหน่อย” 
คำพูดของเขาทำให้ผมขนลุกซู่  เขากวักมือให้เราสองคนเดินตามไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้ที่มุมปั๊ม  ผมมองไปทางพ่อกับแม่ซึ่งตอนนี้กำลังจอดรถรอเติมน้ำมันอยู่  ทันทีที่นั่งลง  ชายหน้าบากก็ยื่นอะไรบางอย่างให้
“กินมั๊ย” 
มือที่กร้านดำของเขายื่นมะม่วงมาตรงหน้า  ผมกับพี่เปี๊ยกมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนที่พี่เปี๊ยกจะหันไปบอกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ว่า  “ไม่” 
“ไม่กินก็ตามใจ” 
ชายหน้าบากเอื้อมมือไปที่เอวแล้วดึงมีดปลายแหลมคมกริบออกมาเฉือนมะม่วงออกเป็นชิ้นเข้าปากแต่สายตาจ้องเขม็งมาที่ผมกับพี่เปี๊ยก
“เอ็งรู้เรื่องที่พี่สาวเอ็งติดต่อกับนายหัวอรุณใช่มั๊ย ?” 
ชายหน้าบากพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย” 
พี่เปี๊ยกตอบเบาๆ  ชายหน้าบากหลิ่วตามองลึกเข้าไปในตาของพี่เปี๊ยก  โหนกแก้มที่เต้นระริกยิ่งทำให้แผลเป็นที่ลากยาวจากคิ้วถึงริมฝีปากของเขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
“มึงอย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงรู้เรื่องนี้ด้วย” 
ชายหน้าบากเน้นเสียงเข้มแล้วยื่นปลายมีดชี้มาที่หน้าพี่เปี๊ยก  ปลายมีดอันแหลมคมจ่ออยู่ห่างจมูกพี่เปี๊ยกแค่คืบ  คมมีดที่วาววับสะท้อนแดดส่องตาผมเหมือนสัญญาณของมัจจุราช
“น้าเชื่อฉันเถอะฉันกับไอ้บอยไม่รู้เรื่องจริงๆ” 
พี่เปี๊ยกลดน้ำเสียงเป็นเชิงอ้อนวอน
“น้าจะพาพวกฉันไปไหน ?” 
ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีถูกแล้วกลั้นใจถามออกไป 
“กูไม่พาพวกมึงไปขึ้นสวรรค์แน่” 
ชายหน้าบากหันมาทางผมแล้วแสยะยิ้ม
“คราวนี้แหละไอ้ชดมันจะสอนพวกมึงให้รู้ว่าการอยู่อย่างเสือนะมันเป็นยังไง  ฮะๆๆฮ่า” 
ชายหน้าบากตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเย็นยะเยือก
พี่เปี๊ยกจูงมือผมกลับไปที่รถโดยไม่พูดอะไรเลยได้แต่ขบกรามแน่นเหมือนกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง !!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น