ใครอยากรู้ว่าอีแร้งซ่อนความลับอะไรไว้บ้าง
ลองอ่านดูครับ
ลองอ่านดูครับ
จีรวัฒน์ ครองแก้ว
คุณเคยได้รับรูปหรือข้อความที่ส่งมาแล้วมันรบกวนความคิดของคุณอยู่ตลอดเวลามั๊ย
?
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่ง
เป็นอีเมล์ที่ได้ดูแล้วทำให้เกิดเรื่องราวบางอย่างวนเวียนอยู่ในความคิดนานหลายวัน
ทั้งๆ ที่อีเมล์นั้นมีชื่อไฟล์ว่า “พิธีศพของคนรวย” ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับผมเลยสักนิด
เพราะอย่างไรเสียงานศพของตัวเองก็คงเป็นแค่งานศพของคนจนๆ
คนหนึ่งเท่านั้น
แต่ภาพนิ่งจากไฟล์ที่แนบมาพร้อมกับอีเมล์ฉบับนี้เป็นอนุุสสติที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ภาพนิ่งทั้งยี่สิบกว่าภาพของอีเมล์นี้ เป็นเรื่องราวของการทำพิธีศพคนมีฐานะในประเทศทิเบต ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งนำเรื่องราวพิธีการฝังศพของชาวทิเบตมานำเสนอไปแล้ว ครั้งนั้นผมดูแล้วก็ผ่านเลยไป อาจจะเป็นเพราะรูปแบบวิธีการและข้อจำกัดในการนำเสนอของรายการยังไม่กระแทกเข้าไปในความรู้สึกเราก็เป็นได้
แต่ภาพนิ่งจากอีเมล์ที่เห็นขั้นตอนทุกอย่างของพิธีศพอย่างชัดเจนและใกล้ชิด ทำให้ต้องกลับมาคิดถึงความตายของตัวเราเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งและทำให้พบว่า มันมีเรื่องราวซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตของเราก่อนตายอีกหลายเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ
ไม่เช่นนั้นความตายของเราคงทุกข์กว่าการได้ตายหลายเท่า !!
ก่อนจะไปถึงเรื่องอนุสติที่ผู้เขียนได้จากอีเมล์ฉบับนี้ ลองไปดูกันก่อนว่าพิธีศพคนรวยของชาวทิเบตนั้นเป็นอย่างไร
ภาพแรกเป็นพญานกที่กำลังสยายปีกอยู่บนท้องฟ้า นกชนิดนี้เป็นนกขนาดใหญ่ที่คนไทยเรารู้จักกันดี แม้บางคนในรุ่นนี้แทบจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตามันมาก่อนก็ตาม
มันคือ “อีแร้ง” หรือจะเรียกแบบให้เกียรติ์เขาหน่อยก็ควรเรียกว่า
“พญาแร้ง”
นกที่ผูกขาดบทบาทมรณะในตำนานแห่งความตายของผู้คนหลายเผ่าพันธุ์รวมทั้งคนไทย
หลังจากที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมก็พบว่า นกแร้งเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นนกที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยสัปเหร่อของวัดในทิเบต
คำว่าเลี้ยงดูนั้นไม่ได้หมายถึงการเลี้ยงนกโดยปกติอย่างที่เราเข้าใจกัน
แต่มันเป็นการเลี้ยงนกแร้งเหล่านี้เพื่อรักษาไว้เป็นองค์ประกอบสำคัญของพิธีกรรมอันศักสิทธิ์ทางศาสนา
.. นั่นคือพิธีศพของผู้มีฐานะร่ำรวยในทิเบต
ศพของชาวทิเบตผู้ร่ำรวยคืออาหารอันโอชะของฝูงอีแร้งเหล่านี้
!!
ที่ระบุว่าเป็นศพของผู้ร่ำรวยนั้นก็เนื่องจากการทำพิธีศพของชาวทิเบตนั้นมีลักษณะของพิธีกรรมที่แตกต่างกันไปตามฐานะทางสังคม
อายุของผู้ตายและความเชื่อของชุมชน คือมีทั้งพิธีศพทางฟ้าคือให้แร้งกิน
พิธีศพโดยการเผา และพิธีศพทางน้ำคือโยนศพลงแม่น้ำ
ที่เข้าใจว่าพิธีศพทางฟ้าหรือการทำลายศพโดยให้อีแร้งจิกกินนี้เป็นพิธีศพของคนรวยนั้นก็เนื่องจาก มันเป็นพิธีการที่ยุ่งยากที่สุดและใช้เงินมากที่สุด พิธีสวดศพที่ใช้เวลาสองวันสองคืน ต้องทำการเคลื่อนย้ายศพขึ้นไปบนภูเขาสูง ขั้นตอนทุกอย่างต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย
ในขณะที่พิธีศพโดยการเผานั้นเป็นพิธีศพสำหรับบุคคลสำคัญแต่ในทิเบตนั้นการหาฟืนมาประกอบพิธีศพจัดว่าเป็นเรื่องยาก เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า ผาหินและหิมะ
ในขณะที่พิธีศพโดยการเผานั้นเป็นพิธีศพสำหรับบุคคลสำคัญแต่ในทิเบตนั้นการหาฟืนมาประกอบพิธีศพจัดว่าเป็นเรื่องยาก เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า ผาหินและหิมะ
พิธีศพโดยการเผาจึงเหมาะกับบุคคลสำคัญหรือชนชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยของทุกสังคมเสมอ ไม่ว่าในทิเบตหรือที่ไหนในโลกนี้ !!
ศพเหล่านี้จึงได้รับการเผาอย่างอลังการเพียงเพื่อจะให้ได้ฝอยฝุ่นของเถ้ากระดูก
!!
ส่วนที่พิธีศพทางน้ำที่เอาศพโยนลงไปในแม่น้ำนั้นจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและมักเป็นที่นิยมของประชาชนผู้มีฐานะยากจน
คนจนในธิเบตก็เหมือนคนจนทุกคนในโลกนี้ พวกเขาไม่มีสิทธิ็โหยหาความยิ่งใหญ่ใดๆ แม้ในยามที่มีชีวิตและเมื่อสิ้นลมหายใจ
ส่วนที่พิธีศพทางน้ำที่เอาศพโยนลงไปในแม่น้ำนั้นจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและมักเป็นที่นิยมของประชาชนผู้มีฐานะยากจน
คนจนในธิเบตก็เหมือนคนจนทุกคนในโลกนี้ พวกเขาไม่มีสิทธิ็โหยหาความยิ่งใหญ่ใดๆ แม้ในยามที่มีชีวิตและเมื่อสิ้นลมหายใจ
แต่ไม่มีพิธีศพแบบไหนที่ทำให้เห็นสัจธรรมแห่งชีวิตและคุณค่าของการมีอยู่ได้ดีเท่ากับพิธีศพทางฟ้าอีกแล้ว
ภาพต่อมาเป็นภาพของสัปเหร่อซึ่งในภาษาทิเบตเรียกว่า
“ดอมเด” กำลังทำการเคลื่อนย้ายศพออกมาจากวัดสู่ลานพิธี
ศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาวแต่เมื่อมาถึงลานพิธีแล้วจะคลายผ้าของเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้
จากนั้นมาถึงภาพสำคัญและเป็นขั้นตอนที่ทำให้ความรู้สึกของเราเริ่มหวั่นไหวในทันทีที่ได้เห็น เมื่อดอมเดใช้มีดอาคมของบรรพบุรุษกรีดลงไปบนร่างของผู้ตายโดยเริ่มจากหน้าผาก ไล่ลงไปตลอดทั้งตัว ในที่สุดร่างที่ไร้วิญญาณก็ถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ
นับร้อยชิ้น
ก่อนหน้านี้สัปเหร่อหรือดอมเดจะจุดไฟรอไว้เพื่อให้สัญญาณควันเรียกฝูงแร้ง ประหนึ่งเป็นการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมพิธีศพในฐานะแขกผู้มีภารกิจพิเศษ
ไม่นานท้องฟ้าเบื้องบนก็เต็มไปด้วยฝูงแร้งนับร้อยที่บินวนไปมารอเวลาสำคัญ
ไม่นานท้องฟ้าเบื้องบนก็เต็มไปด้วยฝูงแร้งนับร้อยที่บินวนไปมารอเวลาสำคัญ
แน่นอนว่าภาพถัดมาจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากฝูงแร้งนับร้อยตัวที่บินลงมารุมกินศพเหมือนกับอาหารอันโอชะ
!!
ในหนังสือธรรมลีลาจากศรีลังกาไปทิเบต
ซึ่งเขียนโดย ภิกษุณีธัมมนันทา
ได้อธิบายฉากสุดท้ายของพิธีศพนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ฝูงนกแร้งเมื่อได้กินอาหารจนอิ่มหนำแล้วก็จะพากันเดินเป็นแถวกันขึ้นไปบนเขาโดยมีจ่าฝูงเป็นผู้นำ
การเดินนี้ว่ากันว่าต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
พวกมันบินมาแต่พากันเดินกลับทำไม ?
ชาวทิเบตเชื่อว่าอีแร้งเป็นเทพเจ้า และการทำพิธีศพโดยให้อีแร้งกินนี้ก็ถือว่าเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่สุคติหรือที่เรียกว่า
“โพวา”
@@@@@@
อีเมล์ชิ้นนี้กระตุ้นให้ผมคิดถึงความตายอย่างใคร่ครวญมากขึ้น และพบว่าทัศนะว่าด้วยเรื่องความตายของเรามีพัฒนาการไปตามวุฒิภาวะและประสบการณ์ชีวิต
ในฐานะของคนธรรมดาซึ่งไม่ได้อยู่ในเพศสมณะ การเรียนรู้เรื่องความตายนี้จึงไม่มีการเรียนลัด แต่แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันดำเนินไปภายใต้กรอบวิธีคิดที่มีอิทธิพลของศาสนาพุทธเป็นแกน ซึ่งผู้นับถือศาสนาอื่นๆ
ก็มีทัศนะและความเชื่อในเรื่องความตายแตกต่างกันไป
ความเชื่อว่าด้วยเรื่องความตายในโลกนี้ล้วนถูกชี้นำโดยคำสอนของศาสนาทั้งสิ้น
!!
แต่ที่ความตายในทิเบตซึ่งอยู่ในบริบทของศาสนาพุทธนิกายมหายาน เป็นความตายที่กระแทกกระทั้นต่อความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมาก็เนื่องจากรูปแบบของพิธีกรรมที่เปล่าเปลือยนั่นเอง
สำหรับเมืองไทยยุคนี้เราคงแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นพิธีศพที่อนาถาแบบนี้กันสักเท่าไหร่แล้ว
หลายคนจึงโลดแล่นและหลงระเริงกันได้จนเกือบจะถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต
ผมเคยเห็นพิธีศพในลักษณะนี้เมื่อเมื่อหลายปีมาแล้วในชนบทแห่งหนึ่งที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนั้นยังเป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ ถูกส่งให้ขึ้นไปทำข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
และมีโอกาสขับรถผ่านไปยังวัดแห่งหนึ่งที่กำลังทำพิธีศพโดยการเผากลางลาน จึงจอดรถลงไปดู
สิ่งที่น่าสนใจของพิธีศพในลักษณะนี้ก็คือ
ไม่ว่าญาติหรือแขกทุกคนที่มาร่วมงานศพต่างมีโอกาสได้เห็นกระบวนการจัดการศพเหมือนกันโดยตลอดทุกขั้นตอน ไม่เว้นแม้กระทั่งการเผา
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังร่างอันไร้วิญญาณของผู้ตายเหมือนโดนมนต์สะกด
ร่างกายที่ถูกเปลวเพลิงโหมใส่จนหงิกงอและเกรียมไหม้ยังทำหน้าที่สุดท้ายในฐานะบทเรียนชีวิตให้เพื่อนมนุษย์
แม้ว่าความรู้สึกโศกเศร้าของผู้ที่อยู่ร่วมในพิธีนี้จะมีไม่เท่ากัน แต่เชื่อว่าการรับรู้ต่อความเป็นไปของชีวิตที่ได้เดินทางมาถึงจุดจบคงไม่แตกต่างกันมากนัก
สำหรับผมซึ่งเป็นบุคคลแปลกหน้าของพิธีศพในวันนั้น มีบางคำถามที่เพียรหาคำตอบมาจนถึงวันนี้
พิธีศพที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินของผู้ยากดีมีจนและต่างฐานันดรของหลายคนในโลกใบนี้ แบบไหนที่ทำให้เราคิดคำนึงถึงความตายในทางที่ถูกต้องมากกว่ากัน
!!
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมต้องใคร่ครวญถึงความตายอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งก็เพราะว่า ยิ่งเรามีอายุมากขึ้นความคิดคำนึงเกี่ยวกับความตายยิ่งวนเวียนเข้ามาในมโนสำนึกเป็นวงรอบ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เราได้มีโอกาสไปร่วมงานศพบ่อยครั้งขึ้น เราเริ่มเห็นญาติและคนที่เรารู้จักล้มหายตายจากกันไปทีละคน
ที่น่าแปลกก็คือ มันเหมือนกับว่าความตายกำลังเดินทางเข้าใกล้เรามากขึ้นทุกที
!!
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ญาติๆของผมตายจากไปหลายคน จากญาติที่ห่างกันก็เริ่มเป็นญาติที่สนิทและใกล้ชิดมากขึ้น
การรับรู้ถึงความโศกเศร้าที่เคยดูเลือนรางชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ไปร่วมงานศพของพวกเขาเหล่านั้น
การรับรู้ถึงความโศกเศร้าที่เคยดูเลือนรางชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ไปร่วมงานศพของพวกเขาเหล่านั้น
ทุกครั้งที่วางดอกไม้จัน ความคิดคำนึงถึงความตายก็ผุดพรายขึ้นมา เหมือนเป็นคำเตือนว่าสักวันหนึ่งเราจะไม่ได้ไปงานศพในฐานะของแขกอีกต่อไป แต่จะไปงานศพในฐานะของเจ้าของร่างที่นอนให้เขารดน้ำและทดผ้าบังสกุล
ถ้าความตายถามหาเราอยู่เสมออย่างที่ใครๆ
เขาบอก แสดงว่าเสียงของมันดังขึ้นทุกที !!
@@@@@@@@
ในวัยเด็กทัศนะว่าด้วยความตายของเราสับสนปนเปกันอยู่ระหว่างความกล้าหาญกับความโง่เขลาแม้ว่าการรักตัวกลัวตายจะเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ก็ตาม แต่เราก็ได้เห็นหลายคนต้องตายแบบโง่ๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน
เช่นขับรถซิ่งชนกันตาย ยกพวกตีกันตาย
หรือแม้กระทั่งการยอมตายเพราะความรัก
เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทัศนะว่าด้วยเรื่องความตายของเราถูกนำไปผูกไว้กับสิ่งที่เรียกว่า
“เหตุและผล” และ "ความเชื่อ"
มีระบบของเหตุผลและความเชื่อหลายชุดที่ถูกนำมาอธิบายเรื่องนี้ทั้งในทางวิทยาศาสตร์และศาสนา
ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกหลายคนมองว่าความตายและการมีอยู่เป็นคนละส่วนกัน
การกระทำของมนุษย์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นไปโดยไม่เคยคิดว่าสักวันนั้นหนึ่งเราจะต้องตาย
การกระทำของมนุษย์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นไปโดยไม่เคยคิดว่าสักวันนั้นหนึ่งเราจะต้องตาย
ด้วยเหตุนี้ผู้ใหญ่หลายคนในบ้านเมืองจึงไม่รู้จักคำว่า
“รัก” และ “ให้อภัย”
ความวุ่นวายในบ้านเมืองจึงเกิดขึ้นจากการที่ผู้ใหญ่ทะเลาะและขัดแย้งกันทั้งสิ้น พวกเขาทำราวกับว่าสามารถเอาชัยชนะหรือความที่อยากจะเอาชนะพกติดตัวไปไปนอนชื่นชมอยู่เพียงคนเดียวในหลุมฝังศพได้
นั่นเพราะเชื่อว่าความตายและการมีอยู่เป็นคนละเรื่องกัน
ในความเห็นของผม ทัศนะว่าด้วยเรื่องความตายเป็นสมบัติทางความคิดของปัจเจก เป็นพัฒนาการทางความคิดเฉพาะของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถอธิบายสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับมันในวาระสุดท้ายของชีวิตได้มากน้อยแค่ไหนและอย่างไร
ในความเห็นของผม “ความตาย” ไม่ใช่ความรู้เพียงประการเดียว แต่เป็นสำนึกรู้ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้การแสวงหาความจริงจากความตายจึงแตกต่างจากการแสวงหาความจริงในเรื่องอื่นๆ เพราะสุดท้ายมันจะนำกลับมาสู่คำถามที่ว่า สำนึกรู้ต่อความตายของคุณเป็นอย่างไร
ครั้งหนึ่งผมพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมการแสวงหาความจริงจากความตายจึงแตกต่างกับการแสวงหาความจริงอื่นๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้ก็คือ
มนุษย์นั้นต่ำต้อยเหลือเกินที่จะค้นหาความจริงจากเรื่องนี้
แม้ว่าเราจะก้าวหน้าและสามารถเดินทางไปดาวดวงอื่นได้แล้วก็ตาม
สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็เพียงการสร้างสำนึกรู้ต่อความตายและการคาดหวังต่อความตายในเงื่อนไขที่เป็นไปได้จริงๆ
เท่านั้น
การคาดหวังต่อความตายของผมเปลี่ยนแปลงไปตามวุฒิภาวะและสภาพแวดล้อมของชีวิต แต่สุดท้ายมันก็จบลงตรงที่การไม่สามารถคาดหวังอะไรได้เลย !!
การคาดหวังต่อความตายที่ผมคิดว่าเป็นรูปธรรมที่สุดในฐานะของความเป็นมนุษย์
(Humanities)
และพลเมือง (Citizenship) ก็คือทัศนะที่ปรากฏอยู่ในข้อเขียนเรื่อง “คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ว่า
“..เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายแบบโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามการเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำ หรืออากาศเป็นพิษ หรือตาย เพราะการเมืองเป็นพิษ เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เก็บไว้ให้เมียผมพอใช้ในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้เลี้ยงให้โตแต่ลูกที่โตแล้;ไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมดจะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่นๆ บ้าง ตายแล้วเผาผมเถิด อย่าฝังคนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกินและอย่าทำพิธีรีตรองในงานศพให้วุ่นวายไป”
“..เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายแบบโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามการเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำ หรืออากาศเป็นพิษ หรือตาย เพราะการเมืองเป็นพิษ เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เก็บไว้ให้เมียผมพอใช้ในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้เลี้ยงให้โตแต่ลูกที่โตแล้;ไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมดจะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่นๆ บ้าง ตายแล้วเผาผมเถิด อย่าฝังคนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกินและอย่าทำพิธีรีตรองในงานศพให้วุ่นวายไป”
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของทัศนะว่าด้วยความตายที่ไม่จำเป็นต้องผูกขาดด้วยคำอธิบายทางศาสนาเพียงฝ่ายเดียว ความคาดหวังต่อความตายในทัศนะนี้จึงสิ้นสุดลงเพียงแค่ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ในขณะที่ความคาดหวังต่อความตายของใครอีกหลายๆ
คน ข้ามพ้นไปถึงชาติภพอื่น
เหมือนอนุสติที่ได้จากพิธีศพของคนรวยแห่งธิเบต เมื่อเนื้อหนังของตัวเองถูกกลืนกินเข้าไปอยู่ในท้องของอีแร้ง รอเวลาที่จะถ่ายออกมาเป็นอาจม
!!
………………….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น