วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตกินชีวิต



ภาพจาก http://www.rougie.com/recipes-cooking                                       


                                                                                                                จีรวัฒน์ ครองแก้ว

ผมเคยได้รับอีเมล์จากเพื่อนซึ่งใช้หัวข้อว่า “เบื้องหลัง Foie Gras ตับห่านจานละ 1500 บาท” 
       ถ้าคิดเพียงผิวเผินอาจเข้าใจว่าเป็นเบื้องหลังการปรุงตับห่าน  อาหารราคาแพงจากพ่อครัวฝีมือดีสักค
     แต่ในความจริงและไฟล์ภาพที่แนบมานั้น  กลับเป็นเรื่องราวที่ไม่อยากเชื่อว่าเกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ !!
ภาพที่ปรากฏคือขั้นตอนการเลี้ยงห่าน (น่าจะเป็นเป็ดเทศมากกว่า) ที่เน้นให้เห็นถึงการให้อาหารที่สุดแสนจะทรมาน  เพราะการให้อาหารจะไม่เหมือนกับที่เคยเห็นตามฟาร์มในบ้านเรา  แม้ว่ามันจะถูกขังอยู่ในกรงแคบๆ เหมือนกัน  แต่ที่เราเคยเห็นมันก็ได้กินในสิ่งที่ควรจะกิน  ในเวลาที่เหมาะสมและไม่ฝืนธรรมชาติจนเกินไป  
         อย่างน้อยมันก็ได้มีเวลาพักผ่อนและทำใจกับชะตาชีวิตของตัวเองบ้างตามสมควร 
            แต่การให้อาหารห่านที่เห็นในภาพจะเป็นการให้ที่ต้องเรียกไปอย่างอื่นไปไม่ได้  
            นอกจากจะเรียกว่าระบบยัดด้วยท่อ  
            ความหมายของคำว่าให้ก็คือการยัดเข้าไปในปากของมันโดยผู้เลี้ยงจะจับห่านมากรอกอาหารทีละตัว  มือข้างหนึ่งของเขาบีบคอห่านไว้และอีกมือหนึ่งก็ยัดท่ออาหารลงไปจนสุดคอหอยเพื่อไม่ให้มันคายออกมา  
            แต่ละวันพวกมันจะถูกยัดเยียดอาหารเข้าปากแบบนี้นับสิบครั้ง  เพื่อให้ตับทำงานผิดปกติและมีขนาดใหญ่สีขาวนวล 
            ผลจากการทรมาน  ห่านทุกตัวจะเต็มไปด้วยความเจ็บป่วย  โคนขาจะบวมเพราะผลจากการถูกบังคับให้ยืนทุกวัน  ทุกเวลา ไม่ได้หลับนอนเพราะจะต้องรอการยัดเยียดอาหารที่ไม่รู้จักจบสิ้น  รูทวารของพวกมันเป็นแผลช้ำเพราะการถ่ายที่มากกว่าปกติ  
             ห่านตัวไหนที่ทนกับสภาพอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้ก็จะตายไปทั้งที่อาหารยังจุกอยู่ที่คอหอย
เวลาพักของพวกมันคือการอยู่ในห้องขังแคบๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้                                                      นอกจากยืนไปตั้งแต่เกิดจนตาย !!
             อีเมล์ฉบับนี้ยังแสดงภาพเปรียบเทียบให้เห็นถึงตับห่านที่เป็นผลผลิตจากการทารุณกรรมนี้  กับตับห่านโดยปกติทั่วไปซึ่งแตกต่างกันเหมือนเป็นสัตว์คนละสายพันธุ์  เพราะตับห่านที่ได้จาการขุนแล้วฆ่าจะมีมีขาวนวลและใหญ่กว่าปกติถึงห้าเท่า
            ภาพสุดท้ายคือตับห่านชั้นดีที่ถูกตกแต่งและปรุงรสจากพ่อครัวชั้นเลิศจัดวางไว้อย่างมีรสนิยม
            มันช่างเป็นอาหารที่งดงามเหลือเกิน !!

@@@@@@

กระบวนการเลี้ยงเพื่อขายหรือ “ขุนเพื่อฆ่า” บรรดาห่านอาภัพทั้งหลายถูกเปิดโปงออกมาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน  เพียงเพื่อจะเอาตับ (Foie Gras) ของมันไปเป็นอาหารชั้นเลิศในภัตตาคารหรู  แม้ว่าคนไทยจะไม่นิยมรับประทานตับห่านเหมือนชาวยุโรป  และห่านหรือเป็ดเทศก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ใกล้ชิดกับคนไทย  เด็กบ้านนอกทุกคนล้วนเติบโตมากับพวกมัน  ถ้าไม่กินเนื้อก็ต้องเคยกินไข่ของมันมาบ้าง
            ถึงมันจะเป็นอาหารของมนุษย์  แต่ก็ไม่ควรตายแบบทุเรศอย่างนี้ !!
           ความแตกต่างของวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยกับสังคมอื่นๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว  ทำให้เราเห็นถึงวิธีคิดหรือสำนึก (Mentality) ในการดำรงชีวิตอันเกิดจากการบริโภคได้อย่างชัดเจน  ไม่ได้หมายความว่าใครจะเป็นคนดีกว่ากัน  แต่หมายความถึงวิถีทางที่แตกต่างกันในการให้ค่าของตัวเองกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
            หลังจากสืบเสาะข้อมูลจากอีเมล์ฉบับนี้   ผมเข้าใจว่าต้นตอของการเผยแพร่น่าจะมาจาก http://www.stopforcefeeding.com  ซึ่งเป็นเว็ปไซต์เพื่อต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ด้วยการเลี้ยงที่ทรมาน  จัดทำโดยหน่วยงานที่ชื่อว่า  Animal Protection & Rescue League  และ  In Defense of Animals 
            ในเว็ปไซต์มีข้อมูลทางวิชาการและการติดตามพฤติกรรมการทารุณกรรมสัตว์ในลักษณะนี้มากมาย  พร้อมทั้งคลิปวิดีโอการให้อาหารห่านผู้น่าสงสารโดยละเอียดทุกขั้นตอน  โดยคลิปวิดีโอนี้ได้รับเกียรติ์ให้เสียงในการบรรยายโดยโรเจอร์ มัวร์ อดีตพระเอกเจมส์บอนด์คนดัง 

@@@@@@

            วัฒนธรรมการกินเป็นส่วนหนึ่งของอารยะธรรมหรือไม่ ?
            ผมตั้งคำถามเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง  แม้จะรู้ว่าทุกคนต้องตอบว่าใช่ 
            นี่แหละคือประเด็น !!
            เมื่อวัฒนธรรมการกินเป็นส่วนหนึ่งของอารยะธรรม ก็ต้องถามต่อไปอีกว่า แล้วอารยะธรรมมันคืออะไร ?
            ไม่ว่าใครจะให้ความหมายว่าอะไรก็ตาม  คงไม่มีนัยที่ผิดเพี้ยนกันไปมากนัก  แต่นี่คืออารยะธรรมในความหมายของผม

                                    “อารยะธรรมคือรูปปั้นอันวิจิตรที่ไม่สามารถตั้งอยู่ได้
ด้วยตัวมันเอง หากแต่ต้องอาศัยการค้ำยันจากแรงงาน หยาด
เหงื่อและความเจ็บปวดของมนุษย์ !!

            เมื่อครั้งที่เราเรียนประวัติศาสตร์ไม่ว่าในระดับมัธยมหรือในมหาวิทยาลัย  อาจารย์ทุกคนและตำราทุกเล่มล้วนให้ความหมายของอารยะธรรมไปในทางบวก  
            อารยะธรรมคือความเลิศเลอ ?
             ทุกสำนักอธิบายให้เราเข้าใจว่ามันเป็นพัฒนาการของมวลมนุษยชาติที่มีความแตกต่างกันไปแล้วแต่สังคมแล้วแต่เผ่าพันธุ์  อารยะธรรมมีความหมายในเชิงคุณค่าเสมอ    
คนเหล่านี้ทำราวกับว่าอารยะธรรมเป็นรูปปั้นอันวิจิตรบรรจงที่ไม่มีวันจะล้มครืน !! 
ทั้งที่ความจริงในประวัติศาสตร์มันก็ฟ้องให้เห็นว่าอารยะธรรมที่สูญหายไปในอดีตนั้น  ก็เป็นเพราะผู้คนผละมือออกจากการค้ำยันมันออกมามิใช่หรือ ?
การเรียนประวัติศาสตร์เปรียบเทียบก็สนองวิธีคิดในลักษณะนี้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน  ผลผลิตของอารยะธรรมของบางสังคมจึงดูงดงามจนอาจทำให้เราลืมไปว่า  กระบวนการทำให้เป็นอารยะนั้นมีความเจ็บปวดอะไรซ่อนอยู่บ้าง ?
            มันก็เหมือนกับตับห่านที่ถูกปรุงไว้บนจานนั่นแหละ !!
          ขอบคุณที่อีเมล์ชิ้นนี้ทำให้ผมมองความเป็นอารยะที่เรามักกล่าวถึงผู้อื่นในมิติที่เป็นจริงมากขึ้น  และไม่หลงไปในกับดักของอารยะธรรมของตัวเอง  
             ที่สำคัญมันทำให้เราสามารถกลับมาเคารพและให้เกียรติตัวเองมากขึ้น  มองอารยะธรรมของเขาและของเราอย่างเข้าใจเงื่อนไขที่แวดล้อม  แม้มันจะหันด้านที่สูงส่งมาให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม  
             มันยิ่งทำให้เราตระหนักและเตือนใจอยู่ตลอดเวลาว่า  อารยะธรรมทุกแห่งในโลกนี้ล้วนสร้างขึ้นมาจากแรงงานและหงาดเหงื่อของมนุษย์และความทนทุกข์ของสรรพสิ่ง
            ต้องบอกตามตรงว่า ตับห่านในจานนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากอารยะธรรมตะวันตกที่ได้พูดถึง เพราะ Foie Gras ก็มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าขุนจนอ้วน  ซึ่งฝรั่งเศสถือว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่เลิศหรูเช่นเดียวกับการเป็นศูนย์กลางของอารยะธรรมยุโรป  อาหารฝรั่งเศสจึงถูกให้ค่ามาตั้งแต่อดีตว่าเป็นอาหารชั้นสูงที่มีราคาแพง  
              ทุกวันนี้มันจะปรากฏตัวอยู่ในภัตตาคารที่หรูหราเท่านั้น 
เรื่องนี้สุภาพิมพ์  เขียนถึงตับห่านที่มีความเกี่ยวพันกับเทศกาลคริสต์มาสของฝรั่งเศสไว้ในนิตยสารสกุลไทยอย่างน่าสนใจว่า
“.......foie gras มี 2 ชนิดคือ ตับเป็ด foie gras de
canard ซึ่งเนื้อจะแน่นกว่าและมีรสชาติกว่าตับห่าน foie gras
doie  เป็นอาหารราคาแพงที่ไม่ได้ขึ้นโต๊ะบ่อยๆ ชาวฝรั่งเศสเก็บ
เป็นอาหารเฉพาะกิจ สำหรับเทศกาลคริสต์มาสหรือในโอกาส
พิเศษเท่านั้น..
                                                ...foie gras เป็นอาหารที่ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มใน
ยุคนโปเลอง (Napoleon) ด้วยการ ขุนเป็ดด้วยข้าวโพด  จะได้
ตับเป็ดขนาดใหญ่ เนื้อเนียนมัน แหล่งผลิตเจ้าเก่าดั้งเดิมอยู่ใน
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสหรืออีกนัยหนึ่ง  sud-ouest
เท่านั้น   ชาวฝรั่งเศสมักรับประทาน foie gras กับขนมปังเข้า
เครื่องเทศที่เรียกว่า pain d epice และ confit d oignon เสิร์ฟ   
foie  gras  เป็นอาหารจานแรกที่เรียกว่า entree
การผลิต foie gras มีกฎเกณฑ์แน่นอน  กล่าวคือต้อง
เลี้ยงเป็ดเป็นเวลา 14 สัปดาห์  และการขุนด้วยข้าวโพด  ด้วย
การนำข้าวโพดกรอกปาก  ต้องขุนเป็นเวลา 15 วัน จึงจะได้ตับ
เป็ดตามมาตรฐาน
สมัยโบราณกาล  อาหารค่ำวันที่ 24 ธันวาคม ของชาว
ฝรั่งเศสพื้นบ้านจะมีออร์เดิร์ฟ (hors d oeuvre) 4 อย่างด้วยกัน
saucisses brelantes, boudins blancs, boudins noirs และ  
andouilles ล้วน แต่เป็นอาหารที่ประกอบจากหมู ส่วนหอยนาง
รม foie gras และอาหารทะเลเก็บไว้เป็นอาหารของวันแซงต์ -
ซิลแวสทร์ (Saint-Sylvestre) นั่นคือวันที่ 31 ธันวาคมนั่นเอง”
           
                            แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจที่สุดเห็นจะได้แก่คำอธิบายที่ว่า 

“หลังปีใหม่ มีขนมที่เรียกว่า Galette des Rois (Marge)
(Rois Marge คือ เจ้าครองนครจากตะวันออก 3 คน ที่มาร่วม
แสดงความยินดีกับการประสูติของพระเยซู)” 

ผมอ่านทวนข้อความข้างต้นนั้นอยู่หลายครั้งโดยเฉพาะประโยคที่ว่า 
“เพื่อแสดงความยินดีกับการประสูติของประเยซู”   
นั่นหมายความว่า  ....กว่าที่จะผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่  กว่าจะได้กินตับห่านหรือ foie  Gras  และกว่าจะได้กินขนม Galette des Rois 
ต้องมีห่านล้มตายไปเพราะความทรมานจากการขุนเพื่อฆ่านี้นับไม่ถ้วน !! 
หรือใครปฏิเสธว่า  มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอารยะธรรมที่ได้รับการยอมรับว่า  รุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเพื่อสนองศรัทธาและความเชื่อทางศาสนา  

@@@@@@
           
            ผมสาบานได้ว่าไม่เคยได้มีโอกาสกินตับห่านเลยสักครั้ง  ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับคนมีฐานะยากจนปกติอย่างเราที่ไม่สามารถสั่งตับห่านราคาจานละ 1,500 บาทหรือมากกว่านั้นมารับประทานเหมือนสั่งข้าวหมูแดงได้  และยังมีอีกนับร้อยนับพันเมนูที่เป็นเช่นนั้น 
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความชอบธรรมที่จะวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมการกินอาหารเมนูบาปนี้ลดน้อยลงได้เลยแม้แต่น้อย  แถมยังมีเมนูบาปอีกจำนวนมากที่รอการประณามและฉีกหน้ากากของวัฒนธรรมการกินอันแสนโหดร้ายนี้ออกมาให้เห็น
             ผมไม่รู้ว่ากรณีของตับห่านกับเทศกาลปีใหม่ของฝรั่งเศส  จะช่วยให้เรามองเห็นขอบเขตของวัฒนธรรมการกินในมโนสำนึกเราหรือไม่  หรือวัฒนธรรมการกินที่เหมาะสมเมื่อตัดเหตุผลทางการแพทย์ออกไปนั้น  ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศาสนาเลยแม้แต่น้อย  แม้ในทุกศาสนาจะมีคำสอนเกี่ยวกับการไม่เบียดเบียนหรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้ก็ตาม
            มันไม่แปลกอะไรที่ห่านในประเทศฝรั่งเศสจะตายลงเมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส 
         ไม่แปลกอีกเช่นกันที่เราจะตักแกงส้มปลาช่อนไปทำบุญที่วัดในวันพระ
         และเราก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อหัวของปลาช่อนขาดออกจากตัวเพื่อสังเวยความใจบุญของมนุษย์
            แน่นอนว่าเรื่องกินเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของคนเรา  เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่แม้แต่คนที่กระเพาะเล็กที่สุดในโลกก็ขาดไม่ได้  
            แต่เรื่องกินกลับเป็นความสำคัญที่มีความแตกต่างกันมากที่สุดของมนุษย์เช่นกัน  
            เพราะการกินเป็นผลผลิตของอารยะธรรม  มันถูกสร้างขึ้นมารับใช้สองเป้าหมายในเวลาเดียวกัน                                        
         คือเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่และเป้าหมายในการใช้ชีวิต
            สำหรับผมการนั่งรับประทานตับห่านราคาจานละ 1,500 บาท  อาจต้องมีเหตุผลพิเศษมารองรับ  เช่นบังเอิญว่ามีเศรษฐีสักคนมาเป็นเจ้ามือ  เพื่อขอบคุณที่ได้กระโดดลงไปช่วยชีวิตเขาหลังจากที่พลัดตกลงไปในบ่อจระเข้ 
หรือไม่ก็อาจจะอาจยอมควักกระเป๋าตัวเอง   เป็นการลงทุนเพื่อที่จะสามารถอธิบายให้ได้ถึงรสชาติอันสุดวิเศษของมันในงานเขียนชิ้นนี้   เนื่องจากเป็นคำแนะนำจากสำนักพิมพ์และได้รับการยืนยันกับว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องมีจำนวนผู้อ่านสูงที่สุดในประเทศ  
ซึ่งทั้งหมดแม้จะกลายเป็นจริงได้เหมือนฝัน  แต่ก็คงต้องเกิดขึ้นในภาวะที่ไม่ปกติอยู่ดี
            ถึงตอนนี้ผมจึงยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า  ตับห่านมีรสชาติเป็นอย่างไร !
            แต่สำหรับชาวฝรั่งเศสการบริโภคตับห่านมันหมายถึงเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกับคนอีกหลายล้านคนในโลก  
            ที่สำคัญคือมันเกิดขึ้นในภาวะที่เป็นปกติ !!
            ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชนชั้นสูงของฝรั่งเศสจะรับประทานตับห่านราคาจานละหลายหมื่นบาท  ในขณะที่มีสุดยอดไวน์ของโลกอย่าง Romanee-Conti  ขวดละหลายแสนบาทวางอยู่ใกล้ๆ  ทุกอย่างดูเป็นปกติ  เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการรับประทานที่ได้รับการชื่นชมและถูกให้ค่าว่ามีรสนิยม
            สิ่งที่ต้องแยกแยะให้ได้ในขณะที่เรากำลังกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก็คือ  เรากล่าวถึงด้วยชุดของเหตุผลซึ่งเป็นคำอธิบายที่พิสูจน์ได้  หรือเรากล่าวถึงเพราะว่าเราไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสและอยากสัมผัสมันสักครั้งในชีวิต 
            มิเช่นนั้นเราอาจจะถูกชนชั้นสูงค่อนขอดเอาได้ว่าเป็นไอ้พวกหมาเห็นปลากระป๋อง !!
            สำหรับผมการพูดถึงสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อจะบอกใครก็ตามที่กำลังจะรับประทานตับห่านหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ถูกขุนมาเพื่อฆ่าด้วยวิธีการที่ทรมานว่า
            คุณเลือกได้  ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกหรือไม่ !!
        

…………………….




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น