ผมเคยได้รับอีเมล์จากเพื่อนซึ่งใช้หัวข้อว่า
“เบื้องหลัง Foie Gras ตับห่านจานละ 1500 บาท”
ถ้าคิดเพียงผิวเผินอาจเข้าใจว่าเป็นเบื้องหลังการปรุงตับห่าน อาหารราคาแพงจากพ่อครัวฝีมือดีสักคน
แต่ในความจริงและไฟล์ภาพที่แนบมานั้น กลับเป็นเรื่องราวที่ไม่อยากเชื่อว่าเกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ !!
ถ้าคิดเพียงผิวเผินอาจเข้าใจว่าเป็นเบื้องหลังการปรุงตับห่าน อาหารราคาแพงจากพ่อครัวฝีมือดีสักคน
แต่ในความจริงและไฟล์ภาพที่แนบมานั้น กลับเป็นเรื่องราวที่ไม่อยากเชื่อว่าเกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ !!
ภาพที่ปรากฏคือขั้นตอนการเลี้ยงห่าน
(น่าจะเป็นเป็ดเทศมากกว่า) ที่เน้นให้เห็นถึงการให้อาหารที่สุดแสนจะทรมาน เพราะการให้อาหารจะไม่เหมือนกับที่เคยเห็นตามฟาร์มในบ้านเรา แม้ว่ามันจะถูกขังอยู่ในกรงแคบๆ เหมือนกัน แต่ที่เราเคยเห็นมันก็ได้กินในสิ่งที่ควรจะกิน ในเวลาที่เหมาะสมและไม่ฝืนธรรมชาติจนเกินไป
อย่างน้อยมันก็ได้มีเวลาพักผ่อนและทำใจกับชะตาชีวิตของตัวเองบ้างตามสมควร
อย่างน้อยมันก็ได้มีเวลาพักผ่อนและทำใจกับชะตาชีวิตของตัวเองบ้างตามสมควร
แต่การให้อาหารห่านที่เห็นในภาพจะเป็นการให้ที่ต้องเรียกไปอย่างอื่นไปไม่ได้
นอกจากจะเรียกว่าระบบยัดด้วยท่อ
ความหมายของคำว่าให้ก็คือการยัดเข้าไปในปากของมันโดยผู้เลี้ยงจะจับห่านมากรอกอาหารทีละตัว มือข้างหนึ่งของเขาบีบคอห่านไว้และอีกมือหนึ่งก็ยัดท่ออาหารลงไปจนสุดคอหอยเพื่อไม่ให้มันคายออกมา
แต่ละวันพวกมันจะถูกยัดเยียดอาหารเข้าปากแบบนี้นับสิบครั้ง เพื่อให้ตับทำงานผิดปกติและมีขนาดใหญ่สีขาวนวล
นอกจากจะเรียกว่าระบบยัดด้วยท่อ
ความหมายของคำว่าให้ก็คือการยัดเข้าไปในปากของมันโดยผู้เลี้ยงจะจับห่านมากรอกอาหารทีละตัว มือข้างหนึ่งของเขาบีบคอห่านไว้และอีกมือหนึ่งก็ยัดท่ออาหารลงไปจนสุดคอหอยเพื่อไม่ให้มันคายออกมา
แต่ละวันพวกมันจะถูกยัดเยียดอาหารเข้าปากแบบนี้นับสิบครั้ง เพื่อให้ตับทำงานผิดปกติและมีขนาดใหญ่สีขาวนวล
ผลจากการทรมาน ห่านทุกตัวจะเต็มไปด้วยความเจ็บป่วย โคนขาจะบวมเพราะผลจากการถูกบังคับให้ยืนทุกวัน ทุกเวลา ไม่ได้หลับนอนเพราะจะต้องรอการยัดเยียดอาหารที่ไม่รู้จักจบสิ้น รูทวารของพวกมันเป็นแผลช้ำเพราะการถ่ายที่มากกว่าปกติ
ห่านตัวไหนที่ทนกับสภาพอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้ก็จะตายไปทั้งที่อาหารยังจุกอยู่ที่คอหอย
ห่านตัวไหนที่ทนกับสภาพอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้ก็จะตายไปทั้งที่อาหารยังจุกอยู่ที่คอหอย
เวลาพักของพวกมันคือการอยู่ในห้องขังแคบๆ
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยืนไปตั้งแต่เกิดจนตาย !!
อีเมล์ฉบับนี้ยังแสดงภาพเปรียบเทียบให้เห็นถึงตับห่านที่เป็นผลผลิตจากการทารุณกรรมนี้
กับตับห่านโดยปกติทั่วไปซึ่งแตกต่างกันเหมือนเป็นสัตว์คนละสายพันธุ์
เพราะตับห่านที่ได้จาการขุนแล้วฆ่าจะมีมีขาวนวลและใหญ่กว่าปกติถึงห้าเท่า
ภาพสุดท้ายคือตับห่านชั้นดีที่ถูกตกแต่งและปรุงรสจากพ่อครัวชั้นเลิศจัดวางไว้อย่างมีรสนิยม
มันช่างเป็นอาหารที่งดงามเหลือเกิน
!!
@@@@@@
กระบวนการเลี้ยงเพื่อขายหรือ
“ขุนเพื่อฆ่า” บรรดาห่านอาภัพทั้งหลายถูกเปิดโปงออกมาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เพียงเพื่อจะเอาตับ (Foie Gras) ของมันไปเป็นอาหารชั้นเลิศในภัตตาคารหรู
แม้ว่าคนไทยจะไม่นิยมรับประทานตับห่านเหมือนชาวยุโรป และห่านหรือเป็ดเทศก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ใกล้ชิดกับคนไทย เด็กบ้านนอกทุกคนล้วนเติบโตมากับพวกมัน ถ้าไม่กินเนื้อก็ต้องเคยกินไข่ของมันมาบ้าง
ถึงมันจะเป็นอาหารของมนุษย์ แต่ก็ไม่ควรตายแบบทุเรศอย่างนี้ !!
ความแตกต่างของวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยกับสังคมอื่นๆ
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว
ทำให้เราเห็นถึงวิธีคิดหรือสำนึก (Mentality) ในการดำรงชีวิตอันเกิดจากการบริโภคได้อย่างชัดเจน ไม่ได้หมายความว่าใครจะเป็นคนดีกว่ากัน แต่หมายความถึงวิถีทางที่แตกต่างกันในการให้ค่าของตัวเองกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
หลังจากสืบเสาะข้อมูลจากอีเมล์ฉบับนี้ ผมเข้าใจว่าต้นตอของการเผยแพร่น่าจะมาจาก
http://www.stopforcefeeding.com ซึ่งเป็นเว็ปไซต์เพื่อต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ด้วยการเลี้ยงที่ทรมาน จัดทำโดยหน่วยงานที่ชื่อว่า Animal Protection & Rescue League และ In Defense of Animals
ในเว็ปไซต์มีข้อมูลทางวิชาการและการติดตามพฤติกรรมการทารุณกรรมสัตว์ในลักษณะนี้มากมาย พร้อมทั้งคลิปวิดีโอการให้อาหารห่านผู้น่าสงสารโดยละเอียดทุกขั้นตอน โดยคลิปวิดีโอนี้ได้รับเกียรติ์ให้เสียงในการบรรยายโดยโรเจอร์ มัวร์ อดีตพระเอกเจมส์บอนด์คนดัง
ในเว็ปไซต์มีข้อมูลทางวิชาการและการติดตามพฤติกรรมการทารุณกรรมสัตว์ในลักษณะนี้มากมาย พร้อมทั้งคลิปวิดีโอการให้อาหารห่านผู้น่าสงสารโดยละเอียดทุกขั้นตอน โดยคลิปวิดีโอนี้ได้รับเกียรติ์ให้เสียงในการบรรยายโดยโรเจอร์ มัวร์ อดีตพระเอกเจมส์บอนด์คนดัง
@@@@@@
วัฒนธรรมการกินเป็นส่วนหนึ่งของอารยะธรรมหรือไม่
?
ผมตั้งคำถามเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง แม้จะรู้ว่าทุกคนต้องตอบว่าใช่
นี่แหละคือประเด็น !!
นี่แหละคือประเด็น !!
เมื่อวัฒนธรรมการกินเป็นส่วนหนึ่งของอารยะธรรม
ก็ต้องถามต่อไปอีกว่า แล้วอารยะธรรมมันคืออะไร ?
ไม่ว่าใครจะให้ความหมายว่าอะไรก็ตาม คงไม่มีนัยที่ผิดเพี้ยนกันไปมากนัก แต่นี่คืออารยะธรรมในความหมายของผม
“อารยะธรรมคือรูปปั้นอันวิจิตรที่ไม่สามารถตั้งอยู่ได้
ด้วยตัวมันเอง
หากแต่ต้องอาศัยการค้ำยันจากแรงงาน หยาด
เหงื่อและความเจ็บปวดของมนุษย์ !!
เมื่อครั้งที่เราเรียนประวัติศาสตร์ไม่ว่าในระดับมัธยมหรือในมหาวิทยาลัย อาจารย์ทุกคนและตำราทุกเล่มล้วนให้ความหมายของอารยะธรรมไปในทางบวก
อารยะธรรมคือความเลิศเลอ ?
ทุกสำนักอธิบายให้เราเข้าใจว่ามันเป็นพัฒนาการของมวลมนุษยชาติที่มีความแตกต่างกันไปแล้วแต่สังคมแล้วแต่เผ่าพันธุ์ อารยะธรรมมีความหมายในเชิงคุณค่าเสมอ
อารยะธรรมคือความเลิศเลอ ?
ทุกสำนักอธิบายให้เราเข้าใจว่ามันเป็นพัฒนาการของมวลมนุษยชาติที่มีความแตกต่างกันไปแล้วแต่สังคมแล้วแต่เผ่าพันธุ์ อารยะธรรมมีความหมายในเชิงคุณค่าเสมอ
คนเหล่านี้ทำราวกับว่าอารยะธรรมเป็นรูปปั้นอันวิจิตรบรรจงที่ไม่มีวันจะล้มครืน
!!
ทั้งที่ความจริงในประวัติศาสตร์มันก็ฟ้องให้เห็นว่าอารยะธรรมที่สูญหายไปในอดีตนั้น ก็เป็นเพราะผู้คนผละมือออกจากการค้ำยันมันออกมามิใช่หรือ
?
การเรียนประวัติศาสตร์เปรียบเทียบก็สนองวิธีคิดในลักษณะนี้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน ผลผลิตของอารยะธรรมของบางสังคมจึงดูงดงามจนอาจทำให้เราลืมไปว่า กระบวนการทำให้เป็นอารยะนั้นมีความเจ็บปวดอะไรซ่อนอยู่บ้าง ?
มันก็เหมือนกับตับห่านที่ถูกปรุงไว้บนจานนั่นแหละ
!!
ขอบคุณที่อีเมล์ชิ้นนี้ทำให้ผมมองความเป็นอารยะที่เรามักกล่าวถึงผู้อื่นในมิติที่เป็นจริงมากขึ้น และไม่หลงไปในกับดักของอารยะธรรมของตัวเอง
ที่สำคัญมันทำให้เราสามารถกลับมาเคารพและให้เกียรติตัวเองมากขึ้น มองอารยะธรรมของเขาและของเราอย่างเข้าใจเงื่อนไขที่แวดล้อม แม้มันจะหันด้านที่สูงส่งมาให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
มันยิ่งทำให้เราตระหนักและเตือนใจอยู่ตลอดเวลาว่า อารยะธรรมทุกแห่งในโลกนี้ล้วนสร้างขึ้นมาจากแรงงานและหงาดเหงื่อของมนุษย์และความทนทุกข์ของสรรพสิ่ง
ที่สำคัญมันทำให้เราสามารถกลับมาเคารพและให้เกียรติตัวเองมากขึ้น มองอารยะธรรมของเขาและของเราอย่างเข้าใจเงื่อนไขที่แวดล้อม แม้มันจะหันด้านที่สูงส่งมาให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
มันยิ่งทำให้เราตระหนักและเตือนใจอยู่ตลอดเวลาว่า อารยะธรรมทุกแห่งในโลกนี้ล้วนสร้างขึ้นมาจากแรงงานและหงาดเหงื่อของมนุษย์และความทนทุกข์ของสรรพสิ่ง
ต้องบอกตามตรงว่า
ตับห่านในจานนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากอารยะธรรมตะวันตกที่ได้พูดถึง เพราะ Foie Gras
ก็มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าขุนจนอ้วน
ซึ่งฝรั่งเศสถือว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่เลิศหรูเช่นเดียวกับการเป็นศูนย์กลางของอารยะธรรมยุโรป อาหารฝรั่งเศสจึงถูกให้ค่ามาตั้งแต่อดีตว่าเป็นอาหารชั้นสูงที่มีราคาแพง
ทุกวันนี้มันจะปรากฏตัวอยู่ในภัตตาคารที่หรูหราเท่านั้น
ทุกวันนี้มันจะปรากฏตัวอยู่ในภัตตาคารที่หรูหราเท่านั้น
เรื่องนี้สุภาพิมพ์ เขียนถึงตับห่านที่มีความเกี่ยวพันกับเทศกาลคริสต์มาสของฝรั่งเศสไว้ในนิตยสารสกุลไทยอย่างน่าสนใจว่า
“.......foie gras มี 2
ชนิดคือ ตับเป็ด foie gras de
canard ซึ่งเนื้อจะแน่นกว่าและมีรสชาติกว่าตับห่าน
foie gras
doie เป็นอาหารราคาแพงที่ไม่ได้ขึ้นโต๊ะบ่อยๆ ชาวฝรั่งเศสเก็บ
เป็นอาหารเฉพาะกิจ
สำหรับเทศกาลคริสต์มาสหรือในโอกาส
พิเศษเท่านั้น..
...foie gras เป็นอาหารที่ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มใน
ยุคนโปเลอง (Napoleon) ด้วยการ ขุนเป็ดด้วยข้าวโพด จะได้
ตับเป็ดขนาดใหญ่ เนื้อเนียนมัน
แหล่งผลิตเจ้าเก่าดั้งเดิมอยู่ใน
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสหรืออีกนัยหนึ่ง
sud-ouest
เท่านั้น ชาวฝรั่งเศสมักรับประทาน foie gras กับขนมปังเข้า
เครื่องเทศที่เรียกว่า pain d epice และ confit d oignon เสิร์ฟ
foie gras เป็นอาหารจานแรกที่เรียกว่า entree
การผลิต foie gras มีกฎเกณฑ์แน่นอน
กล่าวคือต้อง
เลี้ยงเป็ดเป็นเวลา 14 สัปดาห์ และการขุนด้วยข้าวโพด ด้วย
การนำข้าวโพดกรอกปาก ต้องขุนเป็นเวลา 15 วัน จึงจะได้ตับ
เป็ดตามมาตรฐาน
สมัยโบราณกาล อาหารค่ำวันที่ 24 ธันวาคม ของชาว
ฝรั่งเศสพื้นบ้านจะมีออร์เดิร์ฟ (hors d oeuvre) 4 อย่างด้วยกัน
saucisses brelantes, boudins blancs, boudins noirs และ
andouilles ล้วน แต่เป็นอาหารที่ประกอบจากหมู
ส่วนหอยนาง
รม foie gras และอาหารทะเลเก็บไว้เป็นอาหารของวันแซงต์
-
ซิลแวสทร์ (Saint-Sylvestre)
นั่นคือวันที่ 31 ธันวาคมนั่นเอง”
แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจที่สุดเห็นจะได้แก่คำอธิบายที่ว่า
“หลังปีใหม่
มีขนมที่เรียกว่า Galette
des Rois (Marge)
(Rois Marge คือ
เจ้าครองนครจากตะวันออก 3 คน ที่มาร่วม
แสดงความยินดีกับการประสูติของพระเยซู)”
ผมอ่านทวนข้อความข้างต้นนั้นอยู่หลายครั้งโดยเฉพาะประโยคที่ว่า
“เพื่อแสดงความยินดีกับการประสูติของประเยซู”
นั่นหมายความว่า ....กว่าที่จะผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ กว่าจะได้กินตับห่านหรือ foie Gras และกว่าจะได้กินขนม Galette des Rois
ต้องมีห่านล้มตายไปเพราะความทรมานจากการขุนเพื่อฆ่านี้นับไม่ถ้วน !!
ต้องมีห่านล้มตายไปเพราะความทรมานจากการขุนเพื่อฆ่านี้นับไม่ถ้วน !!
หรือใครปฏิเสธว่า มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอารยะธรรมที่ได้รับการยอมรับว่า รุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเพื่อสนองศรัทธาและความเชื่อทางศาสนา
@@@@@@
ผมสาบานได้ว่าไม่เคยได้มีโอกาสกินตับห่านเลยสักครั้ง ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับคนมีฐานะยากจนปกติอย่างเราที่ไม่สามารถสั่งตับห่านราคาจานละ
1,500 บาทหรือมากกว่านั้นมารับประทานเหมือนสั่งข้าวหมูแดงได้
และยังมีอีกนับร้อยนับพันเมนูที่เป็นเช่นนั้น
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความชอบธรรมที่จะวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมการกินอาหารเมนูบาปนี้ลดน้อยลงได้เลยแม้แต่น้อย แถมยังมีเมนูบาปอีกจำนวนมากที่รอการประณามและฉีกหน้ากากของวัฒนธรรมการกินอันแสนโหดร้ายนี้ออกมาให้เห็น
ผมไม่รู้ว่ากรณีของตับห่านกับเทศกาลปีใหม่ของฝรั่งเศส จะช่วยให้เรามองเห็นขอบเขตของวัฒนธรรมการกินในมโนสำนึกเราหรือไม่ หรือวัฒนธรรมการกินที่เหมาะสมเมื่อตัดเหตุผลทางการแพทย์ออกไปนั้น
ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศาสนาเลยแม้แต่น้อย แม้ในทุกศาสนาจะมีคำสอนเกี่ยวกับการไม่เบียดเบียนหรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้ก็ตาม
มันไม่แปลกอะไรที่ห่านในประเทศฝรั่งเศสจะตายลงเมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส
ไม่แปลกอีกเช่นกันที่เราจะตักแกงส้มปลาช่อนไปทำบุญที่วัดในวันพระ
และเราก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อหัวของปลาช่อนขาดออกจากตัวเพื่อสังเวยความใจบุญของมนุษย์
แน่นอนว่าเรื่องกินเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของคนเรา
เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่แม้แต่คนที่กระเพาะเล็กที่สุดในโลกก็ขาดไม่ได้
แต่เรื่องกินกลับเป็นความสำคัญที่มีความแตกต่างกันมากที่สุดของมนุษย์เช่นกัน
เพราะการกินเป็นผลผลิตของอารยะธรรม มันถูกสร้างขึ้นมารับใช้สองเป้าหมายในเวลาเดียวกัน
คือเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่และเป้าหมายในการใช้ชีวิต
แต่เรื่องกินกลับเป็นความสำคัญที่มีความแตกต่างกันมากที่สุดของมนุษย์เช่นกัน
เพราะการกินเป็นผลผลิตของอารยะธรรม มันถูกสร้างขึ้นมารับใช้สองเป้าหมายในเวลาเดียวกัน
คือเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่และเป้าหมายในการใช้ชีวิต
สำหรับผมการนั่งรับประทานตับห่านราคาจานละ
1,500 บาท อาจต้องมีเหตุผลพิเศษมารองรับ เช่นบังเอิญว่ามีเศรษฐีสักคนมาเป็นเจ้ามือ เพื่อขอบคุณที่ได้กระโดดลงไปช่วยชีวิตเขาหลังจากที่พลัดตกลงไปในบ่อจระเข้
หรือไม่ก็อาจจะอาจยอมควักกระเป๋าตัวเอง เป็นการลงทุนเพื่อที่จะสามารถอธิบายให้ได้ถึงรสชาติอันสุดวิเศษของมันในงานเขียนชิ้นนี้
เนื่องจากเป็นคำแนะนำจากสำนักพิมพ์และได้รับการยืนยันกับว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องมีจำนวนผู้อ่านสูงที่สุดในประเทศ
ซึ่งทั้งหมดแม้จะกลายเป็นจริงได้เหมือนฝัน แต่ก็คงต้องเกิดขึ้นในภาวะที่ไม่ปกติอยู่ดี
ซึ่งทั้งหมดแม้จะกลายเป็นจริงได้เหมือนฝัน แต่ก็คงต้องเกิดขึ้นในภาวะที่ไม่ปกติอยู่ดี
ถึงตอนนี้ผมจึงยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า ตับห่านมีรสชาติเป็นอย่างไร !
แต่สำหรับชาวฝรั่งเศสการบริโภคตับห่านมันหมายถึงเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกับคนอีกหลายล้านคนในโลก
ที่สำคัญคือมันเกิดขึ้นในภาวะที่เป็นปกติ !!
ที่สำคัญคือมันเกิดขึ้นในภาวะที่เป็นปกติ !!
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชนชั้นสูงของฝรั่งเศสจะรับประทานตับห่านราคาจานละหลายหมื่นบาท ในขณะที่มีสุดยอดไวน์ของโลกอย่าง Romanee-Conti ขวดละหลายแสนบาทวางอยู่ใกล้ๆ ทุกอย่างดูเป็นปกติ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการรับประทานที่ได้รับการชื่นชมและถูกให้ค่าว่ามีรสนิยม
สิ่งที่ต้องแยกแยะให้ได้ในขณะที่เรากำลังกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก็คือ
เรากล่าวถึงด้วยชุดของเหตุผลซึ่งเป็นคำอธิบายที่พิสูจน์ได้
หรือเรากล่าวถึงเพราะว่าเราไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสและอยากสัมผัสมันสักครั้งในชีวิต
มิเช่นนั้นเราอาจจะถูกชนชั้นสูงค่อนขอดเอาได้ว่าเป็นไอ้พวกหมาเห็นปลากระป๋อง
!!
สำหรับผมการพูดถึงสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อจะบอกใครก็ตามที่กำลังจะรับประทานตับห่านหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ถูกขุนมาเพื่อฆ่าด้วยวิธีการที่ทรมานว่า
คุณเลือกได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกหรือไม่ !!
…………………….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น