วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แด่อาจาย์ใหญ่และความทรงจำของมนุษย์

  

ภาพจาก  http://funny.hunsa.com/        

จีรวัฒน์   ครองแก้ว
“ด้วยภาควิชากายวิภาคศาสตร์จะจัดงานพระราชทานเพลิงศพประจำ
ปีการศึกษา........ในวันที่....... มีนาคม.... นี้ ที่วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร  
แต่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังไม่สามารถติดต่อญาติ
อาจารย์ใหญ่บางส่วนได้ ถ้ามีผู้ใดรู้จักอาจารย์ใหญ่และญาติอาจารย์ใหญ่  ดัง
รายนามต่อไปนี้.......
            เพื่อให้ญาติของอาจารย์ใหญ่ผู้มีอุปการคุณแก่วงการแพทย์ได้ส่งท่าน
อาจารย์ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย

นี่คือข้อความบางส่วนที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จะประชาสัมพันธ์ออกไปเป็นประจำทุกปี  เช่นเดียวกับอีกหลายๆ มหาวิทยาลัย  
ข้อความที่ส่งมานั้นกระตุ้นเตือนความรู้สึกของผมให้จินตนาการไปในอดีตและย้อนกลับไปสู่อนาคตได้ในเวลาเดียวกัน  
จินตนาการกับอดีตเกิดขึ้นเพราะผมคิดถึงงานเขียนยุคเก่าอย่าง “ตึกกร็อส” ของนักเขียนระดับครูอย่าง อ.อุดากร ที่ใช้ฉากชีวิตของนักเรียนแพทย์กับอาจารย์ใหญ่มาผูกเรื่องจนเป็นความสะเทือนใจ  อีกส่วนหนึ่งก็ทำให้คิดไปถึงวันข้างหน้าว่า  ร่างที่ไร้วิญญาณของคนธรรมดาสามัญอย่างเราจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ได้บ้างนอกจากปุ๋ยในป่าช้า    
ในยามปกติเราคงไม่ได้มีโอกาสฉุกคิดถึงเรื่องนี้บ่อยนัก   ในโลกของชีวิตจริงที่สับสนวุ่นวาย  ผู้คนในสังคมก็อาจจะไม่มีเวลาคิดถึงพวกเขาสักเท่าไหร่  แต่เมื่อโอกาสนี้มาถึง  ก็ควรจะเป็นเวลาที่พวกเราจะได้คารวะต่อความกล้าหาญที่พวกเขามีสักครั้งหนึ่ง                        
            เชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่รู้ว่า  “อาจารย์ใหญ่”  คือใคร  แต่จะมีสักกี่คนได้ตัดสินใจว่าจะดำเนินรอยตามภารกิจของอาจารย์ใหญ่เหล่านี้หรือไม่  รวมถึงไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า  เหตุใดผู้คนเหล่านั้นจึงตัดสินใจอุทิศร่างที่ไร้ลมหายใจของตัวเองให้เป็นวิทยาทานแก่วงการแพทย์  
             นั่นก็เพราะวิธีคิดว่าด้วยเรื่องการบริจาคร่างกาย  (Body Donation)  หรือกายวิทยาทานหลังการเสียชีวิตนั้น  เป็นวิธีคิดหนึ่งที่ท้าทายต่อกระบวนคิดและความเชื่อของมนุษย์ที่ผูกอยู่กับอิทธิพลทางศาสนาเป็นอย่างยิ่ง !!
            ภาวการณ์ขาดแคลนร่างเพื่อใช้ในการศึกษาด้านภายวิภาคศาสตร์ของนักศึกษาแพทย์ที่มีข่าวออกมาอยู่เป็นระยะ  เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าวิธีคิดในเรื่องการบริจาคร่างกายภายหลังการเสียชีวิต   ยังเป็นอีกพรมแดนหนึ่งที่น้อยคนนักจะกล้าเดินข้ามไป  แม้จะรับรู้ว่าความเป็นเจ้าของร่างกายของตัวเองได้สิ้นสุดลงไปแล้วหลังหมดลมหายใจ  และการบริจาคร่างกายก็ได้รับการยกย่องหรือถือว่าเป็นระดับของการบริจาคอันทรงคุณค่าสูงสุดอย่างหนึ่งก็ตาม
              ถ้าเราหันไปถามพระว่าการบริจาคร่างกายเมื่อเสียชีวิตแล้วเป็นบุญหรือไม่ ? 
คงไม่มีคำพูดอื่นใดที่ผิดไปจากว่าคำว่า “ใช่”  ทั้งอาจจะได้รับการขยายความอีกว่า  การบริจาคร่างกายนี้ยังหมายถึงบุญอันยิ่งใหญ่หรือเป็นมหากุศลด้วยซ้ำไป 
            แต่จะมีคนที่เคยบวชเรียนซึ่งถือว่ามีความรู้ความเข้าใจในแนวทางอันเป็นกุศลนี้มากกว่าคนอื่นสักกี่คนที่ตัดสินใจบริจาคร่างกาย ?
          ผมไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในลักษณะที่ลบหลู่หรือดูแคลน  แต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าการบริจาคร่างกายนี้เป็นความกล้าหาญทางจริยธรรมที่มีลักษณะพิเศษ  
               เป็นความท้าทายต่อจิตสำนึกของเราที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองอย่างยิ่ง 
มันจะท้าทายอยู่ในตัวตนและความคิดของเราทุกคนตลอดเวลา  ตราบใดที่คุณยังไม่มีบัตรประจำตัวผู้บริจาคร่างกายติดอยู่ในกระเป๋าของคุณเอง

@@@@@@@

            ผมไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในโลกของเหตุผลและการตัดสินใจของใครได้  แต่สำหรับตัวเอง  ถ้าวันนี้มีใครมาถามคำถามว่า
 “คุณกล้าหาญพอที่จะบริจาคร่างกายหรือไม่ ?” 
คำตอบที่ได้ในทันทีคือคำว่า “ไม่”  แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า  เราจะหวงแหนร่างกายของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ตลอดไปก็ตาม 
คุณคิดว่ามนุษย์หวงแหนอะไรที่สุดในชีวิต ?
บางทีมันอาจไมใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือลาภยศสรรเสริญด้วยซ้ำไป
ผมเฝ้าถามตัวเองนับครั้งไมถ้วนว่าจริงๆ แล้วเราหวงแหนอะไรในชีวิตกันแน่
มันเป็นคำตอบที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของสำนึก 
ผมพบว่าสิ่งที่เราหวงแหนมากที่สุดกลับเป็นความทรงจำของเราเอง !!
            ความหวงแหนต่อความทรงจำนี้เป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์  ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะดีหรือเลว  ซึ่งในทัศนะทางพุทธศาสนามักพร่ำสอนกันว่า สภาวะที่ตรงกันข้ามกับความทรงจำคือการไม่หวงแหนสิ่งใดไว้ 
เป็นภาวะที่เรียกว่า “สูญญตา”  หรือความว่างเปล่าอันเป็นหนทางไปสู่ “นิพพาน”
แต่ถ้าผมจำเป็นต้องเลือกระหว่าง  “การสละความทรงจำ”  กับการไปสู่  “นิพพาน”  
ผมขอเลือกที่จะยอมสละความทรงจำที่มีก็เพียงพอแล้ว  มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่สุดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  และทำได้โดยที่คุณไม่จำเป็นว่าจะต้องไปบวชหรือไม่
เพียงแต่ว่าวันนี้ยังทำไม่ได้  และหวงแหนมันเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้คงไม่ได้ตัดสินใจบริจาคร่างกายของตนเองเพราะคิดว่าจะเป็นหนทางไปสู่นิพพานหรอก !!  
แต่พวกเขากล้าหาญพอที่จะสละความทรงจำที่เคยหวงแหนเอาไว้เพื่อใช้ทอดเป็นสะพานแห่งกุศลให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากร่างอันไร้วิญญาณของเขาต่างหาก
            นี่คือเหตุผลที่ขอคารวะอาจารย์ใหญ่ทุกท่าน  
            ทั้งที่เสร็จสิ้นภารกิจและพระราชทานเพลิงศพไปแล้ว  อีกทั้งที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง  รวมถึงผู้ที่ได้ตัดสินใจบริจาคร่างกายไปแล้วและเฝ้ารอวันที่จะได้เป็นอาจารย์ใหญ่โดยสมบูรณ์แบบ
            พวกท่านคือตัวอย่างของความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่และงดงาม
         แท้จริงแล้วมนุษย์เราไม่ได้กลัวความตายที่กำลังจะมาถึงสักเท่าไหร่  เพราะความเป็นจริงมันตอกย้ำเราอยู่ตลอดเวลาว่า  เราไม่สามารถหนีมันไปไหนได้  
            แท้จริงแล้วเรากลัวที่จะสูญเสียความทรงจำที่เคยมีมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตมากกว่า
            ความทรงจำเป็นภาพซ้อนของภาวะวิสัยที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในการดำรงชีวิตและความคิดของมนุษย์  มันทำหน้าที่ควบคู่ไปกับปรากฏการณ์และความเป็นจริงในชีวิตเหมือนเงาของเราเอง  
            ถ้าจะเปรียบเทียบว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของจักรวาล (Universe) คือเวลา (Time)  ตัวตนอีกด้านหนึ่งของชีวิต (Life) ก็คือความทรงจำ (Memories) นี้เอง
             น่าสนใจอย่างยิ่งที่ความทรงจำนี้สามารถถ่ายทอดได้  ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
ทั้งเวลาและความทรงจำจึงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และเป็นนิรันดร์มากกว่าชีวิตและสรรพสิ่ง

@@@@@@@

          สิ่งที่น่าสนใจที่สุดต่อเรื่องนี้คือการสร้างกระบวนการทางความคิดของผู้ที่ตัดสินใจบริจาคร่างกายเหล่านี้              
พวกเขาต้องมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากพวกเราอย่างแน่นอน !!  
คุณลองคิดดูง่ายๆ ว่า  หากตัวเราเองผู้ซึ่งไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบริจาคร่างการหลังเสียชีวิตเลยแม้แต่น้อย  แต่กลับตัดสินใจบริจาคร่างกายไปแล้ว  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
            คุณจะมองชีวิตที่เหลือด้วยทัศนะแบบไหน ?
            คุณจะต่อสู้กับความเชื่อและไม่เชื่ออันเป็นตัวตนของคุณได้อย่างไร 
             การตัดสินใจบริจาคร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนภายหลังการเสียชีวิตมักจะมีเหตุผลพิเศษรองรับโดยตัวของมันเองเสมอ  และเท่าที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมก็พบว่า  ท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของตัวเองแทบทั้งสิ้น  
            หลายคนเคยเป็นผู้รับบริจาคอวัยวะจากผู้อื่นและทำให้ชีวิตของตนเองยืนยาวต่อไปได้  จึงตัดสินใจบริจาคร่างกายเพื่อสร้างคุณูปการกับวงการแพทย์ต่อไป 
            แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า  ความคิดในเรื่องการบริจาคร่างกายกับผลบุญที่จะได้รับยังมีข้อถกเถียงและตีความกันในพุทธศาสนา  บ้างก็ว่าการบริจาคร่างกายหลังจากที่ตายไปแล้วจะได้บุญไม่มากนัก เพราะถือว่าเป็นการบริจาคของที่ไม่ใช้แล้วไม่ต้องการแล้ว  ไม่ได้บุญเท่าการบริจาคอวัยวะในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เช่นการบริจาคไต บริจาคโลหิต
              เป็นการถกเถียงที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี 
มีไม่น้อยที่ไม่กล้าบริจาคร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนเพราะกลัวว่า  ชาติหน้าจะกลายเป็นคนพิการ  โดยหารู้ไม่ว่าวิธีคิดของตัวเองนั้นพิการไปก่อนที่จะได้ไปชาติหน้าแล้ว
            กิเลศที่มีต่อบุญจึงเป็นกิเลศที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ !!
            ในความเห็นของผม  ถ้าจะตัดสินใจจะบริจาคร่างกายของเราด้วยการเริ่มต้นตั้งคำถามกับคำว่า ได้บุญมากหรือบุญน้อย  ขอแนะนำให้เก็บร่างกายของท่านเอาไว้ทำปุ๋ยในป่าช้าจะดีกว่า  
            มีเหตุผลเพียงสองประการเท่านั้นที่จะทำให้คุณตัดสินใจด้วยความสบายใจว่า  จะบริจาคร่างกายหลังจากเสียชีวิตหรือไม่  
            ประการแรกคุณพร้อมที่จะสละความทรงจำออกจากตัวตนคุณเองหรือไม่ ?
         ประการที่สองคุณมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดกับวงการแพทย์และมนุษย์ผู้ทนทุกข์ในอนาคตหรือไม่ ?
            ผมยังสงสัยว่า  การบริจาคร่างกายแล้วได้บุญมากหรือน้อยนั้น  เป็นวิธีคิดทางพุทธหรือเปล่าในเมื่อการแพทย์สมัยใหม่ไม่ได้เกิดและพัฒนาขึ้นในอารยะธรรมตะวันออก  เพราะฉะนั้นการลังเลหรือตั้งคำถามต่อปริมาณบุญที่จะได้รับกับการบริจาคร่างกายจึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วเหมือนการยืนมองดูลำธารที่ตื้นเขินและแห้งผาก  
แต่ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องปริมาณบุญกับการบริจาคร่างกายสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักร่วมกันก็คือ  
ยังไม่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดในโลกนี้ที่จะมาทดแทนร่างของอาจารย์ใหญ่ได้  
ชีวิตมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ (Modern) และหลังสมัยใหม่ (Post Modern) ล้วนแต่ใช้ประโยชน์จากร่างอันไร้วิญญาณของอาจารย์ใหญ่ทั้งสิ้น  ไม่พ้นแม้แต่ผู้คนในบางศาสนาที่หลักคำสอนไม่อนุญาตให้บริจาคร่างกายได้
ไม่มีการศึกษากายวิภาคใดที่ดีไปกว่าการศึกษาจากร่างกายของมนุษย์ที่แท้จริงอีกแล้ว
         
@@@@@@

            สำหรับท่านที่มีความสนใจจะบริจาคร่างกาย (Body Donation)  ผู้เขียนขออุทิศเนื้อที่หน้ากระดาษต่อไปนี้ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเอาไว้  เพื่อเป็นประโยชน์เบื้องต้นในการตัดสินใจของท่าน  ซึ่งสถาบันที่รับการบริจาคร่างกายนั้นมีอยู่หลายแห่ง  สำหรับในส่วนกลางส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาทางการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ  ได้แก่  
1.      โรงพยาบาลศิริราช : ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ตึกกายวิภาคศาสตร์ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช โทร.0-2419-7035 หรือ 0-2411-0241-9 ต่อ 7035
http://www.si.mahidol.ac.th/Th/department/anatomy/
2.      โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ติดต่อที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาฑินทัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โทร.0-2256-4628 และ 0-2256-4281  http://www.md.chula.ac.th/anatomy/donatebody.html
3.      โรงพยาบาลรามาธิบดี ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โทร.0-2254-5198 หรือ 0-2246-1358-74 ต่อ 4101, 4102
4.. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โทร.0-2260-1532,
0-2260-2234-5 ต่อ 4501
5.      โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า โทร.0-2246-0066 ต่อ 93606
 http://www.pcm.ac.th/an/index.php

            ข้อมูลเบื้องต้นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้จะบริจาคร่างกายควรรู้ได้แก่  ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุ  ตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไปกรณีที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร  แต่ต้องไม่เกิน 60 ปี  ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง หรือไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ
เมื่อเสียชีวิตอวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี และมีอายุไม่เกิน 80 ปี ณ วันที่เสียชีวิต 
นอกจากนี้จะมีเงื่อนไขกำหนดไว้อีกว่า  โรงพยาบาลหรือสถาบันการศึกษาจะไม่รับศพผู้บริจาคร่างกายที่
ถึงแก่กรรมเกิน 24 ชั่วโมง ยกเว้นจะได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาล   ผู้ที่ได้รับการผ่าตัด หรือมีรอยเสียหายจากอุบัติเหตุ บริเวณศีรษะและ สมอง ผู้ที่ถึงแก่กรรมจากสาเหตุจากโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและ สมอง หรือติดเชื้อโรคร้ายแรงเช่น เอดส์ ไวรัสลงตับ และวัณโรค   ผู้ที่มีคดี เกี่ยวข้องกับคดี หรือมีการผ่าพิสูจน์ ยกเว้นการผ่าพิสูจน์บริเวณช่องท้องที่แพทย์นำไปใช้ในทางการศึกษาทางการแพทย์เท่านั้น   ผู้ที่ผ่านกระบวนการเก็บรักษาด้วยน้ำยาแล้ว  เนื่องจากการเตรียมศพเพื่อการศึกษาต้องผ่านการเตรียมการให้เหมาะสมและปลอดภัยเสียก่อน
            สุดท้ายอยากจะแนะนำว่า  คุณสมบัติสำคัญของผู้ที่จะบริจาคร่างกายควรจะมีเป็นอย่างยิ่งนอกเหนือจากที่กล่าวมาก็คือ

          ต้องพร้อมที่จะสละความทรงจำที่มีมาทั้งหมดโดยไม่เจ็บปวดหรือทุรนทุรายขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ !!  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น