“ด้วยภาควิชากายวิภาคศาสตร์จะจัดงานพระราชทานเพลิงศพประจำ
ปีการศึกษา........ในวันที่....... มีนาคม.... นี้
ที่วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร
แต่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังไม่สามารถติดต่อญาติ
อาจารย์ใหญ่บางส่วนได้
ถ้ามีผู้ใดรู้จักอาจารย์ใหญ่และญาติอาจารย์ใหญ่
ดัง
รายนามต่อไปนี้.......
เพื่อให้ญาติของอาจารย์ใหญ่ผู้มีอุปการคุณแก่วงการแพทย์ได้ส่งท่าน
อาจารย์ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย”
นี่คือข้อความบางส่วนที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จะประชาสัมพันธ์ออกไปเป็นประจำทุกปี เช่นเดียวกับอีกหลายๆ มหาวิทยาลัย
ข้อความที่ส่งมานั้นกระตุ้นเตือนความรู้สึกของผมให้จินตนาการไปในอดีตและย้อนกลับไปสู่อนาคตได้ในเวลาเดียวกัน
จินตนาการกับอดีตเกิดขึ้นเพราะผมคิดถึงงานเขียนยุคเก่าอย่าง
“ตึกกร็อส” ของนักเขียนระดับครูอย่าง อ.อุดากร
ที่ใช้ฉากชีวิตของนักเรียนแพทย์กับอาจารย์ใหญ่มาผูกเรื่องจนเป็นความสะเทือนใจ
อีกส่วนหนึ่งก็ทำให้คิดไปถึงวันข้างหน้าว่า ร่างที่ไร้วิญญาณของคนธรรมดาสามัญอย่างเราจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ได้บ้างนอกจากปุ๋ยในป่าช้า
ในยามปกติเราคงไม่ได้มีโอกาสฉุกคิดถึงเรื่องนี้บ่อยนัก ในโลกของชีวิตจริงที่สับสนวุ่นวาย ผู้คนในสังคมก็อาจจะไม่มีเวลาคิดถึงพวกเขาสักเท่าไหร่ แต่เมื่อโอกาสนี้มาถึง ก็ควรจะเป็นเวลาที่พวกเราจะได้คารวะต่อความกล้าหาญที่พวกเขามีสักครั้งหนึ่ง
เชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่รู้ว่า “อาจารย์ใหญ่” คือใคร
แต่จะมีสักกี่คนได้ตัดสินใจว่าจะดำเนินรอยตามภารกิจของอาจารย์ใหญ่เหล่านี้หรือไม่ รวมถึงไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า
เหตุใดผู้คนเหล่านั้นจึงตัดสินใจอุทิศร่างที่ไร้ลมหายใจของตัวเองให้เป็นวิทยาทานแก่วงการแพทย์
นั่นก็เพราะวิธีคิดว่าด้วยเรื่องการบริจาคร่างกาย (Body Donation) หรือกายวิทยาทานหลังการเสียชีวิตนั้น เป็นวิธีคิดหนึ่งที่ท้าทายต่อกระบวนคิดและความเชื่อของมนุษย์ที่ผูกอยู่กับอิทธิพลทางศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
!!
ภาวการณ์ขาดแคลนร่างเพื่อใช้ในการศึกษาด้านภายวิภาคศาสตร์ของนักศึกษาแพทย์ที่มีข่าวออกมาอยู่เป็นระยะ เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าวิธีคิดในเรื่องการบริจาคร่างกายภายหลังการเสียชีวิต ยังเป็นอีกพรมแดนหนึ่งที่น้อยคนนักจะกล้าเดินข้ามไป
แม้จะรับรู้ว่าความเป็นเจ้าของร่างกายของตัวเองได้สิ้นสุดลงไปแล้วหลังหมดลมหายใจ และการบริจาคร่างกายก็ได้รับการยกย่องหรือถือว่าเป็นระดับของการบริจาคอันทรงคุณค่าสูงสุดอย่างหนึ่งก็ตาม
ถ้าเราหันไปถามพระว่าการบริจาคร่างกายเมื่อเสียชีวิตแล้วเป็นบุญหรือไม่
?
คงไม่มีคำพูดอื่นใดที่ผิดไปจากว่าคำว่า
“ใช่” ทั้งอาจจะได้รับการขยายความอีกว่า การบริจาคร่างกายนี้ยังหมายถึงบุญอันยิ่งใหญ่หรือเป็นมหากุศลด้วยซ้ำไป
แต่จะมีคนที่เคยบวชเรียนซึ่งถือว่ามีความรู้ความเข้าใจในแนวทางอันเป็นกุศลนี้มากกว่าคนอื่นสักกี่คนที่ตัดสินใจบริจาคร่างกาย
?
ผมไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในลักษณะที่ลบหลู่หรือดูแคลน แต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าการบริจาคร่างกายนี้เป็นความกล้าหาญทางจริยธรรมที่มีลักษณะพิเศษ
เป็นความท้าทายต่อจิตสำนึกของเราที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองอย่างยิ่ง
มันจะท้าทายอยู่ในตัวตนและความคิดของเราทุกคนตลอดเวลา ตราบใดที่คุณยังไม่มีบัตรประจำตัวผู้บริจาคร่างกายติดอยู่ในกระเป๋าของคุณเอง
@@@@@@@
ผมไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในโลกของเหตุผลและการตัดสินใจของใครได้ แต่สำหรับตัวเอง ถ้าวันนี้มีใครมาถามคำถามว่า
“คุณกล้าหาญพอที่จะบริจาคร่างกายหรือไม่ ?”
คำตอบที่ได้ในทันทีคือคำว่า “ไม่”
แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า เราจะหวงแหนร่างกายของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ตลอดไปก็ตาม
คุณคิดว่ามนุษย์หวงแหนอะไรที่สุดในชีวิต ?
บางทีมันอาจไมใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือลาภยศสรรเสริญด้วยซ้ำไป
ผมเฝ้าถามตัวเองนับครั้งไมถ้วนว่าจริงๆ แล้วเราหวงแหนอะไรในชีวิตกันแน่
มันเป็นคำตอบที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของสำนึก
ผมพบว่าสิ่งที่เราหวงแหนมากที่สุดกลับเป็นความทรงจำของเราเอง !!
ความหวงแหนต่อความทรงจำนี้เป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์
ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะดีหรือเลว ซึ่งในทัศนะทางพุทธศาสนามักพร่ำสอนกันว่า สภาวะที่ตรงกันข้ามกับความทรงจำคือการไม่หวงแหนสิ่งใดไว้
เป็นภาวะที่เรียกว่า
“สูญญตา” หรือความว่างเปล่าอันเป็นหนทางไปสู่
“นิพพาน”
แต่ถ้าผมจำเป็นต้องเลือกระหว่าง “การสละความทรงจำ” กับการไปสู่
“นิพพาน”
ผมขอเลือกที่จะยอมสละความทรงจำที่มีก็เพียงพอแล้ว มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่สุดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และทำได้โดยที่คุณไม่จำเป็นว่าจะต้องไปบวชหรือไม่
เพียงแต่ว่าวันนี้ยังทำไม่ได้ และหวงแหนมันเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้คงไม่ได้ตัดสินใจบริจาคร่างกายของตนเองเพราะคิดว่าจะเป็นหนทางไปสู่นิพพานหรอก
!!
แต่พวกเขากล้าหาญพอที่จะสละความทรงจำที่เคยหวงแหนเอาไว้เพื่อใช้ทอดเป็นสะพานแห่งกุศลให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากร่างอันไร้วิญญาณของเขาต่างหาก
นี่คือเหตุผลที่ขอคารวะอาจารย์ใหญ่ทุกท่าน
ทั้งที่เสร็จสิ้นภารกิจและพระราชทานเพลิงศพไปแล้ว อีกทั้งที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง
รวมถึงผู้ที่ได้ตัดสินใจบริจาคร่างกายไปแล้วและเฝ้ารอวันที่จะได้เป็นอาจารย์ใหญ่โดยสมบูรณ์แบบ
พวกท่านคือตัวอย่างของความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่และงดงาม
แท้จริงแล้วมนุษย์เราไม่ได้กลัวความตายที่กำลังจะมาถึงสักเท่าไหร่
เพราะความเป็นจริงมันตอกย้ำเราอยู่ตลอดเวลาว่า เราไม่สามารถหนีมันไปไหนได้
แท้จริงแล้วเรากลัวที่จะสูญเสียความทรงจำที่เคยมีมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตมากกว่า
แท้จริงแล้วเรากลัวที่จะสูญเสียความทรงจำที่เคยมีมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตมากกว่า
ความทรงจำเป็นภาพซ้อนของภาวะวิสัยที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในการดำรงชีวิตและความคิดของมนุษย์ มันทำหน้าที่ควบคู่ไปกับปรากฏการณ์และความเป็นจริงในชีวิตเหมือนเงาของเราเอง
ถ้าจะเปรียบเทียบว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของจักรวาล
(Universe)
คือเวลา (Time) ตัวตนอีกด้านหนึ่งของชีวิต (Life) ก็คือความทรงจำ (Memories) นี้เอง
น่าสนใจอย่างยิ่งที่ความทรงจำนี้สามารถถ่ายทอดได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
ทั้งเวลาและความทรงจำจึงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และเป็นนิรันดร์มากกว่าชีวิตและสรรพสิ่ง
@@@@@@@
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดต่อเรื่องนี้คือการสร้างกระบวนการทางความคิดของผู้ที่ตัดสินใจบริจาคร่างกายเหล่านี้
พวกเขาต้องมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากพวกเราอย่างแน่นอน !!
คุณลองคิดดูง่ายๆ ว่า หากตัวเราเองผู้ซึ่งไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบริจาคร่างการหลังเสียชีวิตเลยแม้แต่น้อย แต่กลับตัดสินใจบริจาคร่างกายไปแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
คุณจะมองชีวิตที่เหลือด้วยทัศนะแบบไหน
?
คุณจะต่อสู้กับความเชื่อและไม่เชื่ออันเป็นตัวตนของคุณได้อย่างไร
การตัดสินใจบริจาคร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนภายหลังการเสียชีวิตมักจะมีเหตุผลพิเศษรองรับโดยตัวของมันเองเสมอ
และเท่าที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมก็พบว่า ท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของตัวเองแทบทั้งสิ้น
หลายคนเคยเป็นผู้รับบริจาคอวัยวะจากผู้อื่นและทำให้ชีวิตของตนเองยืนยาวต่อไปได้ จึงตัดสินใจบริจาคร่างกายเพื่อสร้างคุณูปการกับวงการแพทย์ต่อไป
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า ความคิดในเรื่องการบริจาคร่างกายกับผลบุญที่จะได้รับยังมีข้อถกเถียงและตีความกันในพุทธศาสนา บ้างก็ว่าการบริจาคร่างกายหลังจากที่ตายไปแล้วจะได้บุญไม่มากนัก
เพราะถือว่าเป็นการบริจาคของที่ไม่ใช้แล้วไม่ต้องการแล้ว ไม่ได้บุญเท่าการบริจาคอวัยวะในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
เช่นการบริจาคไต บริจาคโลหิต
เป็นการถกเถียงที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี
มีไม่น้อยที่ไม่กล้าบริจาคร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนเพราะกลัวว่า ชาติหน้าจะกลายเป็นคนพิการ โดยหารู้ไม่ว่าวิธีคิดของตัวเองนั้นพิการไปก่อนที่จะได้ไปชาติหน้าแล้ว
กิเลศที่มีต่อบุญจึงเป็นกิเลศที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ !!
ในความเห็นของผม ถ้าจะตัดสินใจจะบริจาคร่างกายของเราด้วยการเริ่มต้นตั้งคำถามกับคำว่า
ได้บุญมากหรือบุญน้อย
ขอแนะนำให้เก็บร่างกายของท่านเอาไว้ทำปุ๋ยในป่าช้าจะดีกว่า
มีเหตุผลเพียงสองประการเท่านั้นที่จะทำให้คุณตัดสินใจด้วยความสบายใจว่า จะบริจาคร่างกายหลังจากเสียชีวิตหรือไม่
ประการแรกคุณพร้อมที่จะสละความทรงจำออกจากตัวตนคุณเองหรือไม่
?
ประการที่สองคุณมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดกับวงการแพทย์และมนุษย์ผู้ทนทุกข์ในอนาคตหรือไม่
?
ผมยังสงสัยว่า การบริจาคร่างกายแล้วได้บุญมากหรือน้อยนั้น เป็นวิธีคิดทางพุทธหรือเปล่าในเมื่อการแพทย์สมัยใหม่ไม่ได้เกิดและพัฒนาขึ้นในอารยะธรรมตะวันออก เพราะฉะนั้นการลังเลหรือตั้งคำถามต่อปริมาณบุญที่จะได้รับกับการบริจาคร่างกายจึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วเหมือนการยืนมองดูลำธารที่ตื้นเขินและแห้งผาก
แต่ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องปริมาณบุญกับการบริจาคร่างกายสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักร่วมกันก็คือ
ยังไม่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดในโลกนี้ที่จะมาทดแทนร่างของอาจารย์ใหญ่ได้
ชีวิตมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ (Modern) และหลังสมัยใหม่ (Post Modern) ล้วนแต่ใช้ประโยชน์จากร่างอันไร้วิญญาณของอาจารย์ใหญ่ทั้งสิ้น
ไม่พ้นแม้แต่ผู้คนในบางศาสนาที่หลักคำสอนไม่อนุญาตให้บริจาคร่างกายได้
ไม่มีการศึกษากายวิภาคใดที่ดีไปกว่าการศึกษาจากร่างกายของมนุษย์ที่แท้จริงอีกแล้ว
@@@@@@
สำหรับท่านที่มีความสนใจจะบริจาคร่างกาย
(Body Donation) ผู้เขียนขออุทิศเนื้อที่หน้ากระดาษต่อไปนี้ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์เบื้องต้นในการตัดสินใจของท่าน ซึ่งสถาบันที่รับการบริจาคร่างกายนั้นมีอยู่หลายแห่ง
สำหรับในส่วนกลางส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาทางการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ ได้แก่
1.
โรงพยาบาลศิริราช : ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
ตึกกายวิภาคศาสตร์ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช โทร.0-2419-7035 หรือ 0-2411-0241-9
ต่อ 7035
http://www.si.mahidol.ac.th/Th/department/anatomy/
2.
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ติดต่อที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาฑินทัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
โทร.0-2256-4628 และ 0-2256-4281 http://www.md.chula.ac.th/anatomy/donatebody.html
3.
โรงพยาบาลรามาธิบดี ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โทร.0-2254-5198 หรือ 0-2246-1358-74 ต่อ 4101, 4102
4.. คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โทร.0-2260-1532,
0-2260-2234-5 ต่อ 4501
5.
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า โทร.0-2246-0066 ต่อ 93606
http://www.pcm.ac.th/an/index.php
ข้อมูลเบื้องต้นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้จะบริจาคร่างกายควรรู้ได้แก่ ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุ ตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไปกรณีที่อายุต่ำกว่า 20 ปี
ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ต้องไม่เกิน 60 ปี ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง หรือไม่เป็นโรคเรื้อรัง
เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ
เมื่อเสียชีวิตอวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี
และมีอายุไม่เกิน 80 ปี ณ วันที่เสียชีวิต
นอกจากนี้จะมีเงื่อนไขกำหนดไว้อีกว่า โรงพยาบาลหรือสถาบันการศึกษาจะไม่รับศพผู้บริจาคร่างกายที่
ถึงแก่กรรมเกิน
24 ชั่วโมง ยกเว้นจะได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาล ผู้ที่ได้รับการผ่าตัด หรือมีรอยเสียหายจากอุบัติเหตุ
บริเวณศีรษะและ สมอง ผู้ที่ถึงแก่กรรมจากสาเหตุจากโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและ สมอง
หรือติดเชื้อโรคร้ายแรงเช่น เอดส์ ไวรัสลงตับ และวัณโรค ผู้ที่มีคดี เกี่ยวข้องกับคดี
หรือมีการผ่าพิสูจน์
ยกเว้นการผ่าพิสูจน์บริเวณช่องท้องที่แพทย์นำไปใช้ในทางการศึกษาทางการแพทย์เท่านั้น
ผู้ที่ผ่านกระบวนการเก็บรักษาด้วยน้ำยาแล้ว เนื่องจากการเตรียมศพเพื่อการศึกษาต้องผ่านการเตรียมการให้เหมาะสมและปลอดภัยเสียก่อน
สุดท้ายอยากจะแนะนำว่า คุณสมบัติสำคัญของผู้ที่จะบริจาคร่างกายควรจะมีเป็นอย่างยิ่งนอกเหนือจากที่กล่าวมาก็คือ
ต้องพร้อมที่จะสละความทรงจำที่มีมาทั้งหมดโดยไม่เจ็บปวดหรือทุรนทุรายขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น