จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ยิ่งโลกของสังคมออนไลน์ขยายตัวมากขึ้น ความทุกข์ของมนุษย์ก็ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาตีแผ่มากขึ้น แต่ความทุกข์ก็ไม่เคยหมดไป ทั้งอีเมล์ เฟสบุ๊คส์หรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ ตัวละครที่ยังใช้สื่อที่ฉับไวที่สุดนี้ไม่เป็น (หรือไม่จำเป็น) หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมาให้เราโพสต์ถึงกันคนแล้วคนเล่า
หญิงชราที่ยังคงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการแบกเศษเล็กไปขาย
ชายชราผู้นั่งจ่อมจมอยู่กับความเหนื่อยล้า
หลังจากการค้าขายที่ได้กำไรเพียงน้อยนิดเสร็จสิ้นไป
คู่สามีภรรยาซึ่งฝ่ายหญิงขาพิการช่วยกันเข็นรถสามล้อถีบคันเก่าด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย
เด็กน้อยผู้หิวโหยที่กำลังเก็บเศษอาหารบนพื้นประทังชีวิต
ผู้เขียนเข้าใจเจตนาของผู้ส่งว่าต้องการที่จะอธิบาย “ความยากจน”
ด้วยการสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่ชีวิตกำลังเผชิญกับปัญหานี้
แต่คำว่าปัญหาทางเศรษฐกิจหรือความยากจนของคนสักคนหนึ่ง มันไม่ได้สะท้อนปัญหาในมุมของคนๆ
เดียวเท่านั้น
มันมีความเกี่ยวพันกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการยอมรับสภาพที่เรามักใช้เป็นกรอบในการอธิบายเสมอ
ต้องไม่ลืมว่าปัญหาของสัตว์สังคมอย่างเรามันมีทั้งสิ่งที่เรากระทำ และสิ่งที่กระทำต่อเรา
การยกเอาความจนซึ่งเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งให้เป็นเรื่องของ “ชะตาชีวิต” เพียงอย่างเดียว ดูจะเป็นการดูแคลนความจริงจนเกินไป
และวิธีคิดเช่นนี้ก็ส่งเสริมให้มนุษย์ยอมจำนนและไร้ซึ่งพลังที่จะต่อสู้กับผู้ที่มีส่วนปล้นเอาความสุขไปจากชีวิตของพวกเรา
ผู้เขียนขอจำกัดการกล่าวถึงประเด็นนี้ให้แคบและชัดเจนขึ้นอีกนิดว่าเรากำลังจะพูดถึงความจนของมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเราเท่านั้น จะไม่พูดไปไกลกว่าสิ่งที่เห็น ไม่ไปหาสาเหตุว่าเขาทำอะไรถึงจน เขาทำอะไรถึงทุกข์ เพราะนั่นเป็นมิติในด้านปัจเจกโดยแท้
คำอธิบายทางศาสนาน่าจะผูกขาดเรื่องนี้ไว้แล้ว
@@@@@@
ขอเชื่อมโยงเรื่องนี้ให้เห็นง่ายๆ
ทุกวันนี้รายการโทรทัศน์หลังข่าวเกือบทุกสถานี
จะมีรายการสกู๊ปชีวิตที่ไปถ่ายทำเรื่องราวของคนยากจนทั้งหลายนำมาถ่ายทอด เช่นเด็กตัวน้อยๆ ที่ต้องหาเลี้ยงตายายที่นอกจากสูงอายุแล้วยังมีโรคภัยรุมเร้า
ส่วนพ่อแม่นั้นทิ้งพวกเขาไปหลายปีหรือไม่ก็ขาดการติดหลังจากเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ
บางกรณีก็เป็นเรื่องราวของชายสูงวัยที่ต้องแบกสังขารออกไปรับจ้างรายวันเพื่อหาเศษเงินมาจุนเจือภรรยาผู้พิการ
ทุกชีวิตที่ลำบากยากเข็นที่ถูกถ่ายทอดไว้ในรายการนี้ล้วนอาศัยอยู่ในที่พักซึ่งสภาพที่เห็นไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านที่มนุษย์จะพึงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี
ช่วงท้ายของรายการจะมีการเชิญชวนให้ผู้มีใจเมตตาร่วมกันช่วยเหลือครอบครัวนั้นด้วยวิธีการต่างๆ โดยบอกเลขบัญชีไว้
หลังจากนั้นไม่นานทางรายการจะมีการรายงานว่ามีการช่วยเหลือจากผู้ชมทั่วประเทศหลั่งไหลไปยังครอบครัวดังกล่าวแล้วเท่าไหร่อย่างไร
เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวัน แต่เรารู้สึกอะไรกันบ้างนอกจากคำว่าสงสาร !!
คำถามที่สำคัญมากในความรู้สึกของผู้เขียนก็คือ
อะไรคือวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนมากกว่าการรับบริจาคอย่างที่เห็น และใครคือผู้มีหน้าที่ในการแก้ปัญหานี้
รายการสกู๊ปชีวิตเหล่านี้ไม่เคยตั้งคำถามต่อรัฐเลยว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบหายหัวไปไหน
?
ทุกคนล้วนมีสมมุติฐานเหมือนกันว่าเขาจนเพราะชะตาชีวิต
เพราะฉะนั้นชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นได้ด้วยการหยิบยื่นจากมือของผู้อื่น
วิธีมองปัญหาในลักษณะนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการมองปัญหาภายใต้กรอบวิธีคิดทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธนั้น
สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากพุทธภาษิตทั้งหลาย
คนจนจึงไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไรจากใครเพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า “อัตตาหิ
อัตโนนาโถ”
ไม่มีใครกล้าถามหรอกว่า
“รัฐ” ทำให้เขาจนหรือไม่
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาเดินทางมาถึงจุดที่ลงตัวที่สุดแล้ว
คือไม่มีการต่อสู้คัดคานกันระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างแบ่งพื้นที่ที่ยึดครองในสามัญสำนึกของประชาชนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คนส่วนใหญ่เมื่อดูรายการเหล่านี้
แน่นอนว่าเนื้อหาและภาพที่เห็นย่อมไปกระตุ้นต่อมสงสารได้ไม่ยาก
แต่ผู้เขียนกลับเห็นความสลดหดหู่ที่ทาบซ้อนอยู่ในเรื่องราวที่ปรากฏ
เพราะเมื่อรายการได้ออกอากาศไปได้ไม่นานนักก็จะมีผู้บริหารของรัฐไม่ว่าจะตำแหน่งใดก็ตาม เสนอหน้ากันออกมาให้ความช่วยเหลือ
พวกเขาทำราวกับว่าคนทุกข์เหล่านี้ไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่ๆ
เขารับผิดชอบมาก่อน
เรามีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาตั้งแต่ปี 2545
แต่รายการโทรทัศน์ในลักษณะนี้มีมาก่อนที่จะตั้งกระทรวงเสียอีก ปัญหาในลักษณะนี้ก็ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย และประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีรายการโทรทัศน์หลังข่าว
ทำสกู๊ปชีวิตของผู้คนที่ทุกข์ยากประจานความล้มเหลวด้านสวัสดิการสังคมของรัฐอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หรือความจริงแล้วหน่วยงานของรัฐเหล่านี้ไม่เคยรู้สึกอะไร
ไม่เคยคิดว่าตัวเองโดนตบหน้าอยู่ทุกวันด้วยซ้ำไป
!!
นับตั้งแต่เราใช้รัฐธรรมนูญ 2540
เป็นต้นมาเรามีการปรับรูปการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่
การแบ่งงานและการสร้างเครือข่ายความรับผิดชอบของรัฐมีความชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น แต่แทนที่ประชาชนจะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น งบประมาณต่างๆ ก็ยังคงหมดไปกับงานรับเหมาก่อสร้างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ผู้เขียนมีคำถามง่ายๆที่หน่วยงานของรัฐควรตอบให้ได้เสียก่อนที่จะนำไปสู่ข้อถกเถียงในเรื่องนี้ก็คือ
หน่วยของการจัดรูปการปกครองที่เล็กที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่หมู่บ้าน!!
หน่วยของการบริหารราชแผ่นดินที่เล็กที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่องค์การบริหารงานส่วนตำบลหรือ
อบต.
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขและเป็นหูเป็นตาให้ราชการในหน่วยที่เล็กที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้าน
แล้วประชาชนที่ทุกข์ยากจนแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เหมือนที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ สามารถหลุดรอดสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ไปได้อย่างไร
หรือว่าทุกปัญหาในบ้านเมืองนี้ต้องรอให้สื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมาเท่านั้นจึงจะได้รับการแก้ไข
@@@@@@
อาจจะมีอยู่บ้างที่รัฐพยายามจะริเริ่มการแก้ไขปัญหาความยากจนของผู้คนในประเทศนี้ด้วยนโยบายเชิงรุกนับตั้งแต่รัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณมาจนถึงรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ แต่ทั้งสองรัฐบาลกลับใช้วิธีการที่เขลาๆ
เหมือนกันหมด
นั่นคือประกาศให้คนจนมาลงทะเบียน หรือไม่ก็ออกเช็คมาแจกประชาชน
หมู่บ้านเล็กๆ
ไม่กี่สิบกี่ร้อยหลังคาเรือน
ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้เลยหรือว่าใครจนใครไม่จน ใครลำบากหรือไม่ลำบาก !!
แล้วที่ออกมาเรียกร้องกดดันเพื่อจะอยู่ในตำแหน่งต่อจนตายนั้นเพื่ออะไร ?
แล้วที่ออกมาเรียกร้องกดดันเพื่อจะอยู่ในตำแหน่งต่อจนตายนั้นเพื่ออะไร ?
กำนันผู้ใหญ่บ้าน นายกฯ อบต.
นายกเทศบาล นายอำเภอ ไปจนถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าพวกคุณทำงานประสานกัน เอาจริงเอาจังกับปัญหาของประชาชน ทำไมคุณจะไม่มีปัญญารู้ว่าประชาชนคนไหน บ้านเลขที่เท่าไหร่ อยู่ตำบลอะไร
อำเภออะไร
กำลังประสบกับปัญหาที่พวกคุณเรียกกันว่า
“ความยากจน”
ทุกวันนี้เรามีโครงข่ายอันมหาศาลของราชการทุกหน่วยงานแทรกซึมอยู่แทบทุกตารางนิ้วทั่วประเทศ ภายใต้กระบวนการที่ผู้เขียนขอเรียกว่า “การทำทุกอย่างให้กลายเป็นรัฐ” ไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาสาสมัครต่างๆ กรรมการชุมชน
สภาองค์กรชุมชน
ตัวแทนของราชการส่วนกลางที่ตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ
โครงข่ายอันมหาศาลนี้มีความละเอียดจนแทบจะไม่เห็นทางว่าความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนสักคนจะหลุดรอดสายตาไปได้
แต่ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่เป้าหมายทางการเมือง
ในทางกลับกันปรากฏว่า
เมื่อมีการเลือกตั้งทั้งในระดับการปกครองท้องถิ่นหรือการเลือกตั้ง สส.
บรรดาหัวคะแนนของนักการเมืองทั้งหลายถึงรู้ได้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่จ่ายให้บ้านไหนบ้าง
?
ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น หลายครั้งเรากลับพบว่า โครงข่ายที่ผุพังเหล่านี้กลับกลายเป็นผู้กระทำต่อพี่น้องประชาชนเสียเอง
ผู้เขียนเคยเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองท้องถิ่นอยู่หลายปี
ต้องทำข่าวเกี่ยวกับการทุจริตเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายครั้ง
ทั้งการทำบัญชีผี
การคัดเลือกคุณสมบัติของผู้รับสวัสดิการให้สอดคล้องกับประชาชนหรือพวกพ้องของตัวเองที่เป็นฐานคะแนนเสียง
การทำงานด้านสวัสดิการสังคมของคนเหล่านี้ไม่เคยทำออกมาจากใจเลยสักครั้ง
มันเป็นแค่ผลผลิตของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไร้หัวใจและระบบราชการอันผุพัง ที่สั่งสมกันมาจนเท่ากับอายุของคนชราที่ปรากฏอยู่ในสกู๊ปชีวิตหลังรายการข่าวนั่นแหละ
นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยได้รับการเหลียวแลมาตลอดชีวิต
!!
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันก็แค่คำที่ฟังสวยหรูอยู่ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ยอมรับกันเถอะครับว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ลูบหน้าปะจมูก
และคนที่ลูบหน้าปะจมูกที่สุดก็คือข้าราชการกับนักการเมืองนี่เอง
พวกเขาคือคนสองกลุ่มที่กุมโครงสร้างและองค์ประกอบของความเป็นรัฐในแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้เอาไว้
เป็นรัฐที่พิกลพิการต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชน
คนจนในสังคมไทยโชคร้ายที่วิธีคิดแบบยอมจำนนหรือ
“โชคชะตา”
ถูกนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมมากกว่าการตั้งคำถามต่อหน้าที่และประสิทธิภาพของรัฐ ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น รัฐยังตั้งคำถามกับประชาชนอีกว่า “ท่านได้ให้อะไรแก่ประเทศชาติบ้าง”
โดยไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะมีปัญญาเอาอะไรไปให้ประเทศชาติได้
แค่ได้หายใจไปวันๆ ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว !!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น