วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กำลังใจจากความไม่มี




จีรวัฒน์  ครองแก้ว

              ยิ่งโลกของสังคมออนไลน์ขยายตัวมากขึ้น  ความทุกข์ของมนุษย์ก็ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาตีแผ่มากขึ้น  แต่ความทุกข์ก็ไม่เคยหมดไป  ทั้งอีเมล์ เฟสบุ๊คส์หรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ ตัวละครที่ยังใช้สื่อที่ฉับไวที่สุดนี้ไม่เป็น (หรือไม่จำเป็น) หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมาให้เราโพสต์ถึงกันคนแล้วคนเล่า
หญิงชราที่ยังคงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการแบกเศษเล็กไปขาย 
ชายชราผู้นั่งจ่อมจมอยู่กับความเหนื่อยล้า  หลังจากการค้าขายที่ได้กำไรเพียงน้อยนิดเสร็จสิ้นไป 
คู่สามีภรรยาซึ่งฝ่ายหญิงขาพิการช่วยกันเข็นรถสามล้อถีบคันเก่าด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย  
เด็กน้อยผู้หิวโหยที่กำลังเก็บเศษอาหารบนพื้นประทังชีวิต        
            ผู้เขียนเข้าใจเจตนาของผู้ส่งว่าต้องการที่จะอธิบาย  “ความยากจน”  ด้วยการสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่ชีวิตกำลังเผชิญกับปัญหานี้  แต่คำว่าปัญหาทางเศรษฐกิจหรือความยากจนของคนสักคนหนึ่ง  มันไม่ได้สะท้อนปัญหาในมุมของคนๆ เดียวเท่านั้น  มันมีความเกี่ยวพันกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการยอมรับสภาพที่เรามักใช้เป็นกรอบในการอธิบายเสมอ 
ต้องไม่ลืมว่าปัญหาของสัตว์สังคมอย่างเรามันมีทั้งสิ่งที่เรากระทำ  และสิ่งที่กระทำต่อเรา
            การยกเอาความจนซึ่งเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งให้เป็นเรื่องของ  “ชะตาชีวิต”  เพียงอย่างเดียว  ดูจะเป็นการดูแคลนความจริงจนเกินไป  และวิธีคิดเช่นนี้ก็ส่งเสริมให้มนุษย์ยอมจำนนและไร้ซึ่งพลังที่จะต่อสู้กับผู้ที่มีส่วนปล้นเอาความสุขไปจากชีวิตของพวกเรา
            ผู้เขียนขอจำกัดการกล่าวถึงประเด็นนี้ให้แคบและชัดเจนขึ้นอีกนิดว่าเรากำลังจะพูดถึงความจนของมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเราเท่านั้น  จะไม่พูดไปไกลกว่าสิ่งที่เห็น  ไม่ไปหาสาเหตุว่าเขาทำอะไรถึงจน  เขาทำอะไรถึงทุกข์  เพราะนั่นเป็นมิติในด้านปัจเจกโดยแท้ 
คำอธิบายทางศาสนาน่าจะผูกขาดเรื่องนี้ไว้แล้ว

@@@@@@

          ขอเชื่อมโยงเรื่องนี้ให้เห็นง่ายๆ  ทุกวันนี้รายการโทรทัศน์หลังข่าวเกือบทุกสถานี  จะมีรายการสกู๊ปชีวิตที่ไปถ่ายทำเรื่องราวของคนยากจนทั้งหลายนำมาถ่ายทอด  เช่นเด็กตัวน้อยๆ ที่ต้องหาเลี้ยงตายายที่นอกจากสูงอายุแล้วยังมีโรคภัยรุมเร้า  ส่วนพ่อแม่นั้นทิ้งพวกเขาไปหลายปีหรือไม่ก็ขาดการติดหลังจากเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ  บางกรณีก็เป็นเรื่องราวของชายสูงวัยที่ต้องแบกสังขารออกไปรับจ้างรายวันเพื่อหาเศษเงินมาจุนเจือภรรยาผู้พิการ 
            ทุกชีวิตที่ลำบากยากเข็นที่ถูกถ่ายทอดไว้ในรายการนี้ล้วนอาศัยอยู่ในที่พักซึ่งสภาพที่เห็นไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านที่มนุษย์จะพึงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี
            ช่วงท้ายของรายการจะมีการเชิญชวนให้ผู้มีใจเมตตาร่วมกันช่วยเหลือครอบครัวนั้นด้วยวิธีการต่างๆ  โดยบอกเลขบัญชีไว้  หลังจากนั้นไม่นานทางรายการจะมีการรายงานว่ามีการช่วยเหลือจากผู้ชมทั่วประเทศหลั่งไหลไปยังครอบครัวดังกล่าวแล้วเท่าไหร่อย่างไร
            เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวัน  แต่เรารู้สึกอะไรกันบ้างนอกจากคำว่าสงสาร !!
            คำถามที่สำคัญมากในความรู้สึกของผู้เขียนก็คือ  อะไรคือวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนมากกว่าการรับบริจาคอย่างที่เห็น  และใครคือผู้มีหน้าที่ในการแก้ปัญหานี้
            รายการสกู๊ปชีวิตเหล่านี้ไม่เคยตั้งคำถามต่อรัฐเลยว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบหายหัวไปไหน ?
            ทุกคนล้วนมีสมมุติฐานเหมือนกันว่าเขาจนเพราะชะตาชีวิต  เพราะฉะนั้นชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นได้ด้วยการหยิบยื่นจากมือของผู้อื่น
            วิธีมองปัญหาในลักษณะนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการมองปัญหาภายใต้กรอบวิธีคิดทางศาสนา  โดยเฉพาะศาสนาพุทธนั้น  สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากพุทธภาษิตทั้งหลาย  คนจนจึงไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไรจากใครเพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า  “อัตตาหิ  อัตโนนาโถ”
ไม่มีใครกล้าถามหรอกว่า “รัฐ” ทำให้เขาจนหรือไม่
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาเดินทางมาถึงจุดที่ลงตัวที่สุดแล้ว  คือไม่มีการต่อสู้คัดคานกันระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร  เพราะทั้งสองฝ่ายต่างแบ่งพื้นที่ที่ยึดครองในสามัญสำนึกของประชาชนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
            คนส่วนใหญ่เมื่อดูรายการเหล่านี้  แน่นอนว่าเนื้อหาและภาพที่เห็นย่อมไปกระตุ้นต่อมสงสารได้ไม่ยาก  แต่ผู้เขียนกลับเห็นความสลดหดหู่ที่ทาบซ้อนอยู่ในเรื่องราวที่ปรากฏ   เพราะเมื่อรายการได้ออกอากาศไปได้ไม่นานนักก็จะมีผู้บริหารของรัฐไม่ว่าจะตำแหน่งใดก็ตาม  เสนอหน้ากันออกมาให้ความช่วยเหลือ  พวกเขาทำราวกับว่าคนทุกข์เหล่านี้ไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่ๆ เขารับผิดชอบมาก่อน
            เรามีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาตั้งแต่ปี  2545 แต่รายการโทรทัศน์ในลักษณะนี้มีมาก่อนที่จะตั้งกระทรวงเสียอีก  ปัญหาในลักษณะนี้ก็ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย  และประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีรายการโทรทัศน์หลังข่าว  ทำสกู๊ปชีวิตของผู้คนที่ทุกข์ยากประจานความล้มเหลวด้านสวัสดิการสังคมของรัฐอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 
            หรือความจริงแล้วหน่วยงานของรัฐเหล่านี้ไม่เคยรู้สึกอะไร 
ไม่เคยคิดว่าตัวเองโดนตบหน้าอยู่ทุกวันด้วยซ้ำไป !!
            นับตั้งแต่เราใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมาเรามีการปรับรูปการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่  การแบ่งงานและการสร้างเครือข่ายความรับผิดชอบของรัฐมีความชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น  แต่แทนที่ประชาชนจะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น  งบประมาณต่างๆ ก็ยังคงหมดไปกับงานรับเหมาก่อสร้างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
            ผู้เขียนมีคำถามง่ายๆที่หน่วยงานของรัฐควรตอบให้ได้เสียก่อนที่จะนำไปสู่ข้อถกเถียงในเรื่องนี้ก็คือ
            หน่วยของการจัดรูปการปกครองที่เล็กที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่หมู่บ้าน!!
          หน่วยของการบริหารราชแผ่นดินที่เล็กที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่องค์การบริหารงานส่วนตำบลหรือ อบต.
          เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขและเป็นหูเป็นตาให้ราชการในหน่วยที่เล็กที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้าน             
แล้วประชาชนที่ทุกข์ยากจนแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เหมือนที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ  สามารถหลุดรอดสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ไปได้อย่างไร  
หรือว่าทุกปัญหาในบ้านเมืองนี้ต้องรอให้สื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมาเท่านั้นจึงจะได้รับการแก้ไข

@@@@@@

            อาจจะมีอยู่บ้างที่รัฐพยายามจะริเริ่มการแก้ไขปัญหาความยากจนของผู้คนในประเทศนี้ด้วยนโยบายเชิงรุกนับตั้งแต่รัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณมาจนถึงรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์   แต่ทั้งสองรัฐบาลกลับใช้วิธีการที่เขลาๆ เหมือนกันหมด  นั่นคือประกาศให้คนจนมาลงทะเบียน หรือไม่ก็ออกเช็คมาแจกประชาชน
            หมู่บ้านเล็กๆ ไม่กี่สิบกี่ร้อยหลังคาเรือน  ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้เลยหรือว่าใครจนใครไม่จน ใครลำบากหรือไม่ลำบาก !!
         แล้วที่ออกมาเรียกร้องกดดันเพื่อจะอยู่ในตำแหน่งต่อจนตายนั้นเพื่ออะไร ?
          กำนันผู้ใหญ่บ้าน  นายกฯ อบต.  นายกเทศบาล  นายอำเภอ  ไปจนถึงผู้ว่าราชการจังหวัด  ถ้าพวกคุณทำงานประสานกัน  เอาจริงเอาจังกับปัญหาของประชาชน  ทำไมคุณจะไม่มีปัญญารู้ว่าประชาชนคนไหน  บ้านเลขที่เท่าไหร่  อยู่ตำบลอะไร  อำเภออะไร  กำลังประสบกับปัญหาที่พวกคุณเรียกกันว่า  “ความยากจน”
            ทุกวันนี้เรามีโครงข่ายอันมหาศาลของราชการทุกหน่วยงานแทรกซึมอยู่แทบทุกตารางนิ้วทั่วประเทศ  ภายใต้กระบวนการที่ผู้เขียนขอเรียกว่า  “การทำทุกอย่างให้กลายเป็นรัฐ”  ไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาสาสมัครต่างๆ  กรรมการชุมชน  สภาองค์กรชุมชน  ตัวแทนของราชการส่วนกลางที่ตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ  โครงข่ายอันมหาศาลนี้มีความละเอียดจนแทบจะไม่เห็นทางว่าความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนสักคนจะหลุดรอดสายตาไปได้ 
แต่ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่เป้าหมายทางการเมือง
ในทางกลับกันปรากฏว่า  เมื่อมีการเลือกตั้งทั้งในระดับการปกครองท้องถิ่นหรือการเลือกตั้ง สส. บรรดาหัวคะแนนของนักการเมืองทั้งหลายถึงรู้ได้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่จ่ายให้บ้านไหนบ้าง ?
ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น  หลายครั้งเรากลับพบว่า  โครงข่ายที่ผุพังเหล่านี้กลับกลายเป็นผู้กระทำต่อพี่น้องประชาชนเสียเอง
            ผู้เขียนเคยเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองท้องถิ่นอยู่หลายปี  ต้องทำข่าวเกี่ยวกับการทุจริตเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายครั้ง ทั้งการทำบัญชีผี  การคัดเลือกคุณสมบัติของผู้รับสวัสดิการให้สอดคล้องกับประชาชนหรือพวกพ้องของตัวเองที่เป็นฐานคะแนนเสียง
            การทำงานด้านสวัสดิการสังคมของคนเหล่านี้ไม่เคยทำออกมาจากใจเลยสักครั้ง  มันเป็นแค่ผลผลิตของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไร้หัวใจและระบบราชการอันผุพัง  ที่สั่งสมกันมาจนเท่ากับอายุของคนชราที่ปรากฏอยู่ในสกู๊ปชีวิตหลังรายการข่าวนั่นแหละ
            นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยได้รับการเหลียวแลมาตลอดชีวิต !!
          ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันก็แค่คำที่ฟังสวยหรูอยู่ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น
            ยอมรับกันเถอะครับว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ลูบหน้าปะจมูก  และคนที่ลูบหน้าปะจมูกที่สุดก็คือข้าราชการกับนักการเมืองนี่เอง  พวกเขาคือคนสองกลุ่มที่กุมโครงสร้างและองค์ประกอบของความเป็นรัฐในแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้เอาไว้ 
เป็นรัฐที่พิกลพิการต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชน
            คนจนในสังคมไทยโชคร้ายที่วิธีคิดแบบยอมจำนนหรือ “โชคชะตา” ถูกนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมมากกว่าการตั้งคำถามต่อหน้าที่และประสิทธิภาพของรัฐ  ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น  รัฐยังตั้งคำถามกับประชาชนอีกว่า  “ท่านได้ให้อะไรแก่ประเทศชาติบ้าง”  โดยไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะมีปัญญาเอาอะไรไปให้ประเทศชาติได้

 แค่ได้หายใจไปวันๆ ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น