วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทหารอาชีพหรือปฏิวัติชน


วันที่ 28 ตุลาคม 2555 นี้ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จะทำการเคลื่อนไหวจัดการชุมนุมใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้ให้สัมภาษณ์สนับสนุนให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการรัฐประหารมาแล้ว  สถานการณ์เช่นนี้จึงอยากจะหยิบเอาบทความซึ่งเป็นบทหนึ่งในหนังสือ "ผบ.ทบ.กับการเมืองไทย หรือเป็นดั่งดอกไม้ที่ปลายปืน" มาให้ท่านที่สนใจได้อ่านกันน่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์พอสมควร



ทหารอาชีพหรือปฏิวัติชน 

(บทที่ 8 ของหนังสือ "ผบ.ทบ.กับการเมืองไทย หรือเป็นดั่งดอกไม้ที่ปลายปืน" สำนักพิมพ์ลายทราย  หนังสือมีจำหน่ายที่ ร้านซีเอ็ดบุคส์  ดอกหญ้า ศูนย์หนังสือจุฬาฯ  ศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์  ศูนย์หนังสือเกษตรศาสตร์  แพร่พิทยา  โอเดียนสโตร์  หรือสั่งซื้อได้ที่บล็อกนี้)

โดย จีรวัฒน์ ครองแก้ว


ความรุนแรงและอำนาจ ก้มหน้ารับใช้ผู้ปกครองด้วยความซื่อสัตย์
ความรุนแรงอาจไม่สามารถครอบงำผู้ปกครอง ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
แต่อำนาจ....ครอบงำผู้ปกครอง ทั้งตัวตนและความนึกคิด



         “ไม่มีใครจะทำรัฐประหารได้นอกจากผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้น  ขอให้อาจารย์วางใจ” [1]   
นี่คือคำตอบจากปากของพลเอกอดุล  อดุลเดชจรัส  ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น  ที่ตอบคำถามของนายปรีดี  พนมยงค์  ที่ถามต่อพลเอกอดุลท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองอันตึงเครียด  ก่อนเหตุการณ์ปฏิวัติ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490  เพียงไม่กี่วัน 
หัวหน้าคณะในครั้งนั้นคือ  พลโทผิน    ชุนหะวัณ  นายทหารนอกราชการที่กลับมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกหลังการรัฐประหารครั้งนี้
คำกล่าวของพลเอกอดุล  มีความเป็นจริงอยู่เพียงครึ่งเดียว 
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  ไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้นที่ทำการรัฐประหาร  หรืออยู่ในฐานะของหัวคณะรัฐประหารทุกครั้ง  แต่ความจริงร่วมกันคือ  ผู้กระทำรัฐประหารล้วนเป็นทหาร  นับตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 103  ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เหตุการณ์ ร.ศ. 130  ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ผู้ทำรัฐประหารล้วนเป็นทหาร
แต่ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  พ.ศ. 2475  เมื่อใดที่ผู้ทำรัฐประหารไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารบก  เมื่อนั้น....ผู้บัญชาการทหารบก  จะกลายเป็นหัวคณะผู้ต่อต้านการรัฐประหารโดยทันที 
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมักพบกับความพ่ายแพ้และเป็นกบฏ
เมื่อย้อนไปดูบันทึกแห่งความขัดแย้งในการเมืองไทยจะพบว่า  มีการทำรัฐประหารหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นทั้งสิ้น  10  ครั้ง    
นอกนั้นเป็นกบฏในราชอาณาจักร 12  ครั้ง 
แต่ในการรัฐประหารทั้งหมดที่เกิดขึ้น   มีผู้บัญชาการทหารบกเข้าไปมีบทบาทในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารเพียง  5  ครั้ง  
เป็นสัดส่วนเพียงหนึ่งในสี่   ถ้ามองภาพรวมของการรัฐประหารและการกบฏที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวม 22 ครั้ง 
ในบรรดาการรัฐประหารที่เกิดขึ้นทุกครั้งนั้น  ผู้บัญชาการทหารบกคือบุคคลผู้มีมีความหมายต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยอย่างยิ่งยวด  และไม่มีใครสามารถปฏิเสธถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ได้
การทำรัฐประหารที่มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะประกอบด้วย
1        การรัฐประหารเมื่อ  20  มิถุนายน พ.ศ. 2476  โดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา  ผู้บัญชาการทหารบก  ทำการรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา   รัฐบาลที่พันเอกพระยาพหลฯ  ในฐานะหัวหน้าคณะราษฏร  ให้การสนับสนุนและผลักดันในเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ
2        การรัฐประหารเมื่อ  29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494  จอมพลผิน  ชุนหะวัณ  ผู้บัญชาการทหารบก  ทำการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล  ป. พิบูลสงคราม  แต่เป็นการทำรัฐประหารตัวเอง  เพื่อแก้สถานการณ์ความยุ่งยากทางการเมืองของรัฐบาล
3        การรัฐประหารเมื่อ  16  กันยายน  พ.ศ. 2500  จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ผู้บัญชาการทหารบก  ทำการรัฐประหารรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม  ปิดฉากชีวิตทางการเมืองของอดีตผู้นำชาตินิยมที่เคยโดดเด่นลงอย่างถาวร
4        การรัฐประหารเมื่อ  20  ตุลาคม  พ.ศ. 2501  จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ผู้บัญชาการทหารบก  ทำการรัฐประหารรัฐบาลของ  พลโทถนอม  กิตติขจร  เปิดฉากรัฐบาลอมาตยาธิปไตยยุคที่สองต่อจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม
5        การรัฐประหารเมื่อ 19  กันยายน พ.ศ. 2549  พลเอกสนธิ  บุญยรัตกลิน  ผู้บัญชาการทหารบก  ทำการรัฐประหารรัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  โดยใช้ชื่อว่า  "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” 
6        การรัฐประหารเมื่อ  ................................พ.ศ...............พลเอก………......................ผู้บัญชาการทหารบก ทำรัฐประหารรัฐบาลของ...............................โดยใช้ชื่อคณะว่า.......................................
ผู้เขียนตั้งใจคาดการณ์การรัฐประหารโดยผู้บัญชาการทหารบกในอนาคตไว้  ก็ด้วยความเชื่อที่ว่า  สังคมไทยยังไม่พร้อมที่จะปิดประตูตายให้การรัฐประหารและการรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการนำของผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้น
การรัฐประหารที่นำโดยพลเรือเอกสงัด  ชะลออยู่ 2 ครั้ง และพลเอกสุนทร  คงสมพงษ์  อีกหนึ่งครั้ง    แม้หัวหน้าคณะรัฐประหารจะไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารบก  แต่ผู้บัญชาการทหารบกก็อยู่ร่วมในคณะผู้ก่อการ  และยังเป็นองค์ประกอบหลักของการยึดอำนาจทุกครั้ง    ซึ่งเป็นการตอกย้ำและยืนยันว่า  การรัฐประหารที่มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะหรือร่วมอยู่ในคณะผู้ก่อการนั้น 
.................ทุกครั้งล้วนประสบความสำเร็จ...............
นอกจากนี้การรัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง  เป็นเหมือนฐานการเมืองอันสำคัญ  ที่ส่งผลให้ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น   สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองในระยะเวลาต่อมา  เช่น   พลเอกสุจินดา  คราประยูร  ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา  ภายหลังการรัฐประหารโดยคณะ รสช. ที่นำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ  พ.ศ.2535
เช่นเดียวกัน  ในบางครั้ง  การทำรัฐประหารที่หัวหน้าคณะไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น   ได้ทำให้หัวหน้าคณะรัฐประหารได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกภายหลัง   เช่นการทำการรัฐประหารโดยจอมพลผิน  ชุนหะวัณ  พ.ศ.2490  อันทำให้นายทหารนอกราชการกลับมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกได้เหมือนนิยาย  ทั้งๆ ที่เป็นนายทหารนอกราชการไปแล้ว
มุมมองของนักรัฐศาสตร์อาจจะไม่แยกแยะลักษณะการรัฐประหารเหมือนกับผู้เขียน  แต่มักจะขีดเส้นแบ่งการรัฐประหารไว้ระหว่างคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  และคณะทหารผู้ก่อการอย่างชัดเจน 
ดังนั้นการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2475,  2490, 2500, 2514, และปี พ.ศ. 2519  จะช่วยอธิบายการแทรกแซงทางการเมืองของทหารที่มีผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน  เพราะเป็นรัฐประหารที่มุ่งล้มล้างหรือจำกัดอำนาจของรัฐบาลพลเรือนหรือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง 
ส่วนการรัฐประหารครั้งอื่นๆ เป็นการล้มรัฐบาลที่ทหารตั้งขึ้นมาเอง  หรือเป็นเรื่องของการขัดแย้งระหว่างฝ่ายทหารด้วยกัน [2]  ด้วยเหตุนี้การสรุปว่าคู่ขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การรัฐประหารจะมีเพียงรัฐบาลพลเรือนกับทหารเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใคร่ถูกต้องนัก
หากใช้มุมมองดังกล่าวเป็นเกณฑ์  ก็ต้องรวมเอารัฐประหารโดยคณะ รสช. และ การรัฐประหารครั้งล่าสุดโดย คปค.หรือคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งมีพลเอกสนธิ  บุญยรัตกลิน  ผู้บัญชาการทหารบก  คนที่ 35  เป็นหัวหน้าคณะเมื่อ 19  กันยายน พ.ศ.2549  เข้าไว้ในกลุ่มนี้ด้วย 
การใช้เกณฑ์นี้เป็นการแบ่งอาจจะทำให้ฝ่ายการเมืองดูเป็นพระเอกขึ้นมาโดยปริยาย  แต่สำหรับผู้เขียนสนใจที่เหตุผลของการปฏิวัติมากกว่า  และพยายามที่จะมองทั้งฝ่ายทหารและการเมืองว่าเป็นตัวละครที่มีบทบาททัดเทียมกัน 
การเป็นนักการเมืองในระบบรัฐสภาเพียงอย่างเดียวไม่ได้บอกถึงคุณภาพ  ประสิทธิภาพ และความบริสุทธิ์ผุดผ่องของระบอบประชาธิปไตยเสมอไป  พวกเขามีความชอบธรรมที่รัฐธรรมนูญรองรับไว้เท่านั้น 
เช่นเดียวกับการรัฐประหารโดยทหารที่กระทำต่อรัฐบาลพลเรือน  ก็มีเหตุผลเบื้องหลังมากมาย  ทั้งที่ทำเพื่อตัวเองและเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง 
 อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงร่วมของประวัติศาสตร์การปฏิวัติรัฐประหารในบ้านเราก็คือ 
ผู้บัญชาการทหารบกเป็นองค์ประกอบแห่งความสำเร็จของการทำรัฐประหารและการต่อต้านการรัฐประหารเสมอ 
แต่การทำรัฐประหารด้วยตัวเอง  กับการเป็นผู้ต่อต้านรัฐประหารนั้น  มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เพราะในขณะที่การกระทำแรกคือสิ่งที่นักประชาธิปไตยไม่อาจยอมรับได้ 
ในขณะที่การกระทำในประการหลังคือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 
หรือจะเรียกให้สวยหรูคือการปกป้องประชาธิปไตยและราชบัลลังก์
หากเราถามผู้บัญชาการทหารบกทุกคนถึงความตั้งใจโดยแท้จริงแล้ว  คงไม่มีผู้บัญชาการทหารบกคนไหน  มีความต้องการที่จะเกิดมาเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือมีอุดมการณ์ปฏิวัติ   เช่นเดียวกับที่คงไม่มีผู้บัญชาการทหารบกคนใด  ที่อยากจะดำรงตำแหน่งอยู่บนกองเลือดของผู้ก่อกบฏ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน  
เว้นเสียแต่ว่า  ผู้บัญชาการทหารบกคนนั้นมีเป้าหมายมากกว่าความเป็นทหารอาชีพ
สาเหตุของการปฏิวัติรัฐประหารในแต่ละครั้ง  จึงมีเหตุปัจจัยหลายประการ  โดยไม่ใช่เหตุผลด้านความเป็นปัจเจกของผู้บัญชาการทหารบกเองแต่เพียงฝ่ายเดียว
นั่นหมายความว่าไม่ใช่ทหารหรือผู้นำทหารทุกคนที่นิยมการทำรัฐประหาร  และไม่ใช่ทหารหรือผู้นำทหารทุกคนที่เห็นด้วยหรือยินดีกับการรัฐประหารแต่ละครั้ง  ทหารเองก็มีการเก็บรับบทเรียนทางการเมืองมาเป็นลำดับ  ดังข้อความที่ปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์กองทัพไทยในรอบ 200 ปีที่ว่า
“.........กองทัพไทยมีบทบาทในตัวของตัวเอง  อันเป็นที่ยอมรับนับถือของมหาชนโดยทั่วไป  ทั้งสามารถที่จะป้องปรามการกระทำที่มุ่งร้าย  ต่อสถาบันชาติ  ศาสนา  และพระมหากษัตริย์                                       อย่างได้ผล  แต่ในขณะเดียวกัน  ก็เป็นเป้าหมายของนักการเมืองที่จะชักจูงให้ทหารเข้าไปมีบทบาทยุ่งเกี่ยวกับการเมือง  ทั้งในด้านดีและด้านร้าย  ตัวอย่างเช่นการปฏิวัติ  รัฐประหาร  การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน  การกบฏการใช้กำลังล้มล้างรัฐบาล  และระมัดระวังมิให้นำตัวเข้าไปมีบทบาท     หรือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่กองทัพไทยจะพึงสังวร และระมัดระวังมิให้นำตัวเข้าไปมีบทบาทในทางเสื่อมเสียอันเนื่องมาจากคุณลักษณะพิเศษของตนเอง........” [3]
            ข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในเอกสารสำคัญของกองทัพในห้วงที่  พลเอกสายหยุด  เกิดผล  เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด  และพลเอกประยุทธ จารุมณีเป็นผู้บัญชาการทหารบก ( 26 สิงหาคม 2524 - 30 กันยายน 2525 )
            ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของทหารกับการปฏิวัติรัฐประหารนี้  ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ  เช่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช 2521  หมวดที่ 5  แนวนโยบายแห่งรัฐ  มาตรา 51 บัญญัติว่า  “รัฐต้องจัดให้มีกำลังทหารไว้เพื่อรักษาเอกราช  ความมั่นคงของรัฐ  และผลประโยชน์แห่งชาติ  กำลังทหารพึงใช้เพื่อการรบหรือการสงคราม  เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์  เพื่อการปราบปรามการกบฏและจลาจล  เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ  และเพื่อการพัฒนาประเทศ”  บทบัญญัตินี้มีการตราต่อเนื่องมาจนถึงรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
            ถึงแม้จะบัญญัติหน้าที่ของทหารไว้ในรัฐธรรมนูญ  แต่การปฏิวัติรัฐประหารก็กระทำโดยคณะทหารทุกครั้ง 
ในจำนวนนี้ 5 ครั้งมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า
มีการรัฐประหารครั้งหนึ่งซึ่งทำโดยอดีตผู้บัญชาการทหารบกแต่ไม่ประสบความสำเร็จ 
แต่ผู้เขียนเห็นว่าตัวละครในครั้งนั้นสะท้อนความหมายทางการเมืองไว้หลายประการ  นั่นคือเหตุการณ์ที่  พลเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าบวรเดช  เป็นหัวหน้าคณะนำกองกำลังทหารจากภาคอีสานเข้าปิดล้อมกรุงเทพฯจากทางทิศเหนือ  เมื่อวันที่  11  ตุลาคม  พ.ศ. 2476  พร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา  ซึ่งเพิ่งทำการรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาได้ไม่นาน 
ข้อเรียกร้องคือให้ทำการปรับปรุงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยเสียใหม่อย่างมีเงื่อนไข (ทัศนะผู้เขียน)
กบฏบวรเดช เป็นการใช้กำลังทางทหารเพื่อการเมืองซึ่งนำโดยอดีตผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 9 นั่นคือพลเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช กระทำการเรียกร้องต่อผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นคือพันเอกพระยกพหลพลพยุหเสนา  ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปพร้อมกัน
เหตุการณ์ครั้งนักวิชาการบางท่านไม่นับไว้ว่าเป็นการรัฐประหาร  ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการปฏิบัติการที่ไม่ได้เข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล  และไม่ได้มีกระบวนการไหนบ่งชี้ว่าจะทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลเดิมเพราะไม่มีการบุกจับกุมนายกรัฐมนตรีอันเป็นสัญญลักษณ์ของอำนาจ  
ประเด็นสำคัญที่มักนำมาชี้คือข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลทั้ง 6 ข้อที่บ่งบอกชัดเจนว่า  ผู้ก่อการไม่ต้องการเข้ามาเป็นองค์อธิปัตย์เสียเอง  
แม้กระนั้นก็ตาม  คณะผู้ก่อการก็ถูกเรียกว่ากบฏมาตั้งแต่นั้น 
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีรหัสทางการเมืองอันน่าสนใจให้วิเคราะห์วิจารณ์ไม่น้อย 
ในขณะที่ฝ่ายแรกเป็นตัวแทนของแนวความคิดเดิมที่สนับสนุนอำนาจและศักดิ์ศรีของพระบรมวงศานุวงศ์  อีกฝ่ายหนึ่งเป็นหัวหน้าคณะราษฎรผู้ลิดรอนอำนาจของฝ่ายแรกและกำลังนำพาบ้านเมืองไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
แต่ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ  นายทหารผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการต่อสู้กับคณะผู้ก่อการในขณะนั้นคือ  พันโทหลวงพิบูลสงคราม  (ยศในขณะนั้น)  โดยได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก  ให้เป็น  “ผู้บังคับกองผสมเพื่อปราบขบถ” [4]   ซึ่งประสบชัยชนะได้ในที่สุด 
พันโทหลวงพิบูลสงครามนี้เอง  คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  และผู้บัญชาการทหารบกในเวลาต่อมา 
พันโทหลวงพิบูลสงครามได้เริ่มสะสมบารมีทางการเมืองและการทหาร  จากการปราบกบฏบวรเดชในครั้งนี้  จนเติบโตและยิ่งใหญ่ในฐานะตำนานอำมาตยาธิปไตยอีกคนหนึ่ง
“กบฏบวรเดช”   จึงเป็นเหตุการณ์ที่รวมเอาตัวละครที่เป็นผู้บัญชาการทหารบกในอดีต  ผู้บัญชาการทหารบกในปัจจุบัน (พ.ศ.2476)  และผู้บัญชาการทหารบกในอนาคต  ไว้ในนาฏกรรมเดียวกัน  แต่ความคิดกลับแยกทางออกเป็นแม่น้ำสามสาย
มีเกร็ดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกบฏครั้งนี้อีกประการหนึ่ง  นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนากับเพื่อนนายทหารที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามและเป็นแม่ทัพใหญ่ของพระองค์เจ้าบวรเดช  นั่นคือพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม  นอกจากนี้ยังมีพันเอกพระยาทรงสุรเดช 
ทั้งสามคนคือเพื่อนรักที่เป็นอดีตนักเรียนนายร้อยเยอรมันด้วยกัน  ความสนิทชิดเชื้อที่ปรากฏประจักษ์ทั่วไปทำให้หม่อมเจ้าอลงกฎ  เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น  ได้ประทานฉายาแก่ทั้งสามว่า  “ทแกล้วทหารสามเกลอ”  [5]
แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่อาจรักษาชีวิตของพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามไว้ได้  เมื่อท่านเสียชีวิตจากการต่อสู้กับทหารของพันเอกพระยาพหลฯ  ที่โคราช  จนทำให้กบฏบวรเดชต้องปิดฉากลง 
ทิ้งไว้แต่บทเรียนระหว่างเพื่อนที่สอนให้รู้ว่า  อุดมการณ์ทางการเมืองนั้นมีอำนาจเหนือกว่ามิตรภาพ
จากกบฏบวรเดช  ซึ่งเป็นกบฏในราชอาณาจักรครั้งแรกนับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  จากนั้นมาจนถึงวันนี้  มีกบฏเกิดขึ้นอีกรวม 10  ครั้งคือ  กบฏนายสิบ  (3 สิงหาคม  พ.ศ.2478)  กบฏพระยาทรงสุรเดช  (29 มกราคม  พ.ศ. 2482)  กบฏเสนาธิการ  (1  ตุลาคม  พ.ศ. 2491)  กบฏแบ่งแยกดินแดน พ.ศ. 2491  กบฏวังหลวง  (26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2492)  กบฏแมนฮัตตัน  (29  มิถุนายน  พ.ศ.2494)  กบฏสันติภาพ  (8  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2497)  กบฏ 26 มีนาคม  พ.ศ. 2520  กบฏยังเติร์กหรือเมษาฮาวาย (1 เมษายน  พ.ศ. 2524)  กบฏ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 
กบฏทั้งหมดนี้ล้วนได้รับการปราบปรามจากรัฐบาล  ภายใต้การบัญชาการของผู้บัญชาการทหารบกแทบทั้งสิ้น  และหลายครั้งที่ทำให้เส้นทางของผู้บัญชาการทหารบกภายหลังการปราบกบฏ  ล้วนปูด้วยกลีบกุหลาบไปบนถนนสายการเมืองในเวลาต่อมา  
เส้นทางปรากบฏนี้มีอดีตผู้บัญชาการทหารบกหลายคนเคยย่ำเดินมาแล้วและได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเมืองหลายท่าน   
แต่มีอยู่เพียงท่านเดียวที่กลายเป็นตำนาน 
ตำนานนั้นคือ  พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  ซึ่งภายหลังการปราบกบฏได้เติบโตทางการเมืองจนเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องกันถึง 8 ปี  และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ  เป็นองคมนตรีและประธานองคมนตรีในเวลาต่อมา
แม้พลเอกเปรมฯ จะเป็นแม่แบบของผู้บัญชาการทหารบกที่ปรากกบฏ  และแสดงถึงความเป็นนายทหารที่จงรักภักดี แต่ทหารก็ยังถูกตั้งคำถามจากสังคมอยู่ทุกยุคสมัยว่า
ทำไมทหารต้องทำปฏิวัติรัฐประหาร
นี่คือคำถามที่คลาสสิกที่สุดของการเมืองไทย   ในขณะที่มีคำตอบนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากทัศนะของผู้คนในสังคมทุกระดับชั้น  แต่ไม่มีคำตอบใดที่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง  แต่ประกาศของคณะรัฐประหารทุกชุดกลับมีคำตอบที่ปรากฏอยู่ในเหตุผลของการรัฐประหารที่แทบจะเหมือนกันและไม่เคยเปลี่ยนแปลง    นั่นคือการอ้างปัญหาที่มาจากการกระทำของรัฐบาลหรือ
สิ่งที่เกิดขึ้นหนีความหมายของคำจำกัดความว่า  “ความขัดแย้งทางการเมือง”   หรือ  “การแย่งอำนาจทางการเมือง”  ไปไม่พ้น 
“....ถ้าเป็นการแย่งอำนาจกันในระหว่างนักการเมืองหรือพรรคการเมือง  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว  ดูจะไม่รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก  เหมือนการแย่งอำนาจระหว่างพวกทหารด้วยกันเอง  หรือการแย่งอำนาจระหว่างฝ่ายทหารกับรัฐบาลพลเรือน  ซึ่งมักจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก  หรือเสียชีวิต......เพราะพลเรือนแย่งอำนาจกันด้วยน้ำลาย                                               แต่ทหารแย่งอำนาจกันด้วยปืน....” [6]
            ผู้เขียนเคยได้แลกเปลี่ยนทัศนะทางการเมืองเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารกับนายทหารบางท่าน  ได้ข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย 
เขาบอกว่าผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกทุกคน  สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ  การเขียนแผนการทำรัฐประหารเก็บไว้ในลิ้นชัก  และต้องพร้อมที่จะนำมันออกมาใช้ได้ทุกเวลาเมื่อวันนั้นมาถึง
แต่แผนการปฏิวัติของผู้บัญชาการทหารบกทุกคนจะมีจริงหรือไม่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า  ปัญหาทางการเมืองที่ดำรงอยู่และเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ทหารต้องทำรัฐประหารมาเกือบทุกยุคสมัยนั้นคืออะไร ?
การที่สังคมการเมืองไทยที่ผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมานับสิบครั้งนั้นย่อมทำให้บ้านเมืองบอบช้ำไม่น้อย  ด้วยเหตุนี้  ภายหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  หรือ รสช. ซึ่งนำโดยพลเอกสุนทร  คงสมพงษ์  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  เมื่อวันที่  23  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2534  จึงเริ่มมีกระแสเรียกร้องและถามหาสถานภาพของทหารด้วยคำจำกัดความสั้นๆ ว่า  “ทหารอาชีพ”   เกิดขึ้นโดยทั่วไป 
เป็นที่ยอมรับกันในขณะนั้นว่า  เป็นยุคที่ภาพพจน์ของทหารตกต่ำลงมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
            ความจริงแล้ว  อาชีพทหารเกิดขึ้นจริงๆ จากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ที่ทรงปรับปรุงกิจการทหารโดยการพัฒนาบุคคลากรทหารให้เป็นอาชีพหนึ่งขึ้นมา 
อาชีพทหารจึงเป็นผลพวงของการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในรัชสมัยของพระองค์อย่างชัดเจน
            แต่คำว่าทหารอาชีพ  เกิดขึ้นมาจากสถานการณ์และความรู้สึกนึกคิดของสังคม  ที่สะท้อนออกมาภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก   และมักจะนำคำนี้มาใช้ในบริบททางการเมืองเพื่อเรียกร้องต่อการเปลี่ยนแปลงบทบาททหารที่มีต่อการเมือง 
คำว่าทหารอาชีพในบริบทของการเมืองไทยจึงซ่อนความหมายที่ลึกลับยิ่งกว่าอาชีพทหารมากนัก
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้บัญชาการทหารบกจะเป็น ทหารอาชีพหรือปฏิวัติชน  หรือไม่คงเป็นข้อถกเถียงกันไปอีกนาน  ตราบใดที่สังคมการเมืองไทยยังเต็มไปด้วยอุปสรรคของการพัฒนาการเมือง
ผู้บัญชาการทหารบกยังคงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจหนึ่งเดียวที่ได้รับการเรียกร้องจากจิตสำนึกอันอ่อนแอของผู้ถูกปกครองในระบบการเมืองไทย  ความชอบธรรมทางการเมืองที่เปล่งออกมาจากปากของผู้บัญชาการทหารบก  จึงเป็นความชอบธรรมที่มิอาจหรือไม่ควรตั้งคำถาม
โดยเฉพาะความชอบธรรมทางการเมืองที่เปล่งออกมาจากปากของผู้บัญชาการทหารบกในฐานะของหัวหน้าคณะรัฐประหาร
มันเป็นความชอบธรรมที่ทำให้สังคมเงียบสนิท !!
แม้แต่กระบวนการตุลาการยังให้การรับรองว่าประกาศของคณะรัฐประหารถือว่าเป็นกฎหมายและคณะรัฐประหารคือองค์รัฐถาธิปัตย์
แม้จะมีคำวินิจฉัยที่ขัดแย้งจากตุลาการบางท่านที่ไม่ยอมรับองค์รัฐถาธิปัตย์และประกาศของคณะรัฐประหารว่าเป็นกฎหมายอยู่บ้าง  แต่คำวินิจฉัยนั้นก็เป็นเหมือนเสียงอันแผ่วเบาจากเสรีภาพ
หรือไม่ก็คงเป็นเพียงแค่หยดน้ำในท้องทะเล
เมื่อความชอบธรรมจากปากของผู้บัญชาการทหารบกทำให้สถานการณ์ภายหลังการัฐประหารอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้  ความชอบธรรมนี้จึงถูกยกระดับไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ในสถานการณ์ที่ดูเงียบสงบ  การรัฐประหารจึงเป็นเสมือนประตูที่ถูกปิดไว้
แต่มันไม่เคยลงกลอน !!
...............................



[1]  เสถียร  จันทิมาธร,  ขรรค์ชัย  บุนปาน  (อ้างแล้ว) 
[2]  สุจิต  บุญบงการ,  การพัฒนาการเมืองของไทย  :  ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร  สถาบันทางการเมือง  และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน,  สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  กรุงเทพฯ 2531
[3] ประวัติกาองทัพไทยในรอบ 200 ปี พ.ศ. 2325 – 2525, กองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร,  กรุงเทพฯ 2525
[4]  เสถียร  จันทิมาธร,  ขรรค์ชัย  บุนปาน  (อ้างแล้ว) 
[5]  กุหลาบ  สายประดิษฐ์,  เบื้องหลังการปฏิวัติ  ๒๔๗๕,  สำนักพิมพ์มิ่งมิตร,  กรุงเทพฯ 2548,  พิมพ์ครั้งที่ 7
[6]   ปฏิวัติ  รัฐประหาร  ทหารกับนักการเมือง,  น.ต. ประสงค์  สุ่นศิริ,  สำนักพิมพ์แสงดาว,  กรุงเทพฯ 2543



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น