จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ถ้าเราสามารถลบคำว่า
“เคราะห์กรรม” ออกไปจากความเป็นจริงในชีวิตได้ โลกนี้คงมีแต่ความรื่นรมย์
แต่เมื่อชะตากรรมยังอยู่กับเราเหมือนเพื่อนสนิท สิ่งที่ควรทำก็คือ การดูแลเพื่อนสนิทคนนี้อย่างดีที่สุด เพราะเราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า เขาจะโกรธเคืองเราขึ้นมาเมื่อไหร่
มีคลิปเกี่ยวกับพฤติกรรมการขับรถจากเว็บไซต์ต่างประเทศมากมาย หลายเรื่องสอดคล้องกับพฤติกรรมเลวๆ
บางอย่างของคนไทยบางกลุ่มได้ดีเหลือเกิน
โดยเฉพาะพฤติกรรมการขับรถของบรรดาปีศาจบนท้องถนนทั้งหลาย
คลิปวิดิโอสั้นๆ คลิปหนึ่งที่นำมาขายคำอธิบายในเรื่องนี้ได้ดีคือคลิปนี้
http://www.youtube.com/watch?v=LDj5wrSN5zc
เฟรมแรกของคลิปคือชายที่เห็นในภาพด้านซ้ายกำลังเดินข้ามถนน ซึ่งดูแล้วเขาก็ใช้ความระมัดระวังอย่างดี เพราะถนนด้านที่เขาเดินข้ามนั้นไม่มีรถแม้แต่คันเดียว (เป็นสี่แยก) ในขณะอีกสองฝั่งที่เห็นในภาพกำลังได้รับสัญญาณไฟแดง รถแต่ละคันจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวมาหยุดรอตรงสี่แยกกันหมด
เฟรมแรกของคลิปคือชายที่เห็นในภาพด้านซ้ายกำลังเดินข้ามถนน ซึ่งดูแล้วเขาก็ใช้ความระมัดระวังอย่างดี เพราะถนนด้านที่เขาเดินข้ามนั้นไม่มีรถแม้แต่คันเดียว (เป็นสี่แยก) ในขณะอีกสองฝั่งที่เห็นในภาพกำลังได้รับสัญญาณไฟแดง รถแต่ละคันจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวมาหยุดรอตรงสี่แยกกันหมด
แต่แล้วโดยที่ไม่คาดคิด มีรถคันหนึ่งจากฝั่งด้านล่างของภาพขับฝ่าไฟแดงด้วยการแซงขวาออกไป (ความจริงจะต้องแซงซ้ายเพราะขับรถด้านขวา) ทันใดนั้นรถที่ได้สัญญาณไฟเขียวจากด้านขวาคันหนึ่งก็พุ่งประสานงาเข้ากับรถคันดังกล่าวเต็มแรง รถคันที่ฝ่าไฟแดงคงมองเห็นได้ในเสี้ยววินาทีจึงหักหลบได้เล็กน้อย การชนจึงไม่เกิดขึ้นกลางตัวรถ แต่กระแทกมุมรถด้านหน้าและทำให้รถที่ฝ่าไฟแดงเสียหลักไปทางซ้ายเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าความผิดพลาดของคนๆ
หนึ่ง กลับทำให้ผู้อื่นได้รับเคราะห์กรรม
รถที่ได้รับสัญญาณไฟเขียวซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วโดยไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าฝ่าไฟแดงออกมานั้นเสียหลักพลิกคว่ำทันที
จังหวะที่พลิกคว่ำนี้เองที่ชายผู้เคราะห์ร้ายยังเดินไม่พ้นจากถนน ตัวรถ (หมายถึงท้องรถที่พลิกข้าง) ซึ่งเป็นรถประเภทตรวจการขนาดใหญ่ก็ฟาดเข้ากับร่างของเขาเต็มแรง ร่างของชายผู้ถูกสังเวยชะตากรรมกระเด็นออกไป พร้อมๆ กับรถคันเดิมที่พลิกตามมา สุดท้ายจึงหงายท้องทับลงไปบนร่างของเขาอีกครั้งจนแน่นิ่ง
ผมดูคลิปนี้ด้วยความรู้สึกสงสารชายคนนั้นจับใจ!!
ถ้าไม่มีการฝ่าไฟแดง ไม่มีการทำผิดกฎจราจร ภาพสะเทือนใจเช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น งานนี้คนผิดกลับไม่เจ็บตัวมากนัก แต่คนขับรถที่มาอย่างถูกต้องคงเจ็บหนัก
สำหรับชายผู้เคราะห์ร้าย หากรอดชีวิตได้ก็คงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์
นี่เป็นเพียงกรณีหนึ่งในบรรดาหลายๆ
กรณีที่เกิดขึ้นและทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต แต่การร้องขอหรือวิงวอนต่อนักซิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์
อุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทยังสร้างความสูญเสียอยู่ทุกวันในทุกแห่งหนทั่วโลก
คราบน้ำตาของคนที่รักและญาติมิตรไหลลงชะล้างคราบเลือดเท่าไหร่ก็คงไม่พอ
@@@@@@
สำหรับบ้านเรา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ กำลังกลายเป็นเรื่องปกติบนท้องถนนไปแล้ว คุณสามารถทดสอบสมมุติฐานนี้ เพียงแค่ลองไปยืนอยู่สี่แยกไฟแดงแล้วพยายามจะทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดดูสิว่าจะได้รับการตอบรับจากคนขับรถบนท้องถนนสักเท่าไหร่
สักวันคุณก็จะรู้คำตอบนี้ได้ด้วยตัวเอง
ถ้าอยากเห็นภาพเป็นวิชาการหน่อย ก็ลองดูสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะพบว่าจำนวนคดีอุบัติเหตุจราจรทางบกในปี
2551 เกิดขึ้น 58,092 ครั้ง และในปี 2552 เกิดขึ้น 58,838 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตในปี 2551 จำนวน 7,373 ศพ และปี
2552 จำนวน 7,562 ศพ ส่วนผู้บาดเจ็บในปี 2551 จำนวน 46,806 ราย และในปี 2552 จำนวน
44,192 ราย เมื่อนำสถิติปี 2551 ถึง 2552 มาเปรียบเทียบ พบว่า ในปี 2552
มีคดีอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น 746 คดี หรือ ร้อยละ 1.28 ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 189 ศพหรือร้อยละ 2.56
โดยช่วงเดือนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ เดือนมกราคม 1,121
ศพ รองลงมา มีนาคม 1,095 ศพ และเมษายน 1,091 ศพ
สถิติดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของปัญหาซึ่งไม่ได้ลดน้อยลงเลยในแต่ละปี ทั้งๆ ที่มีโครงการรณรงค์เพื่อลดปัญหานี้นับไม่ถ้วน
ด้วยเหตุนี้จึงเปล่าประโยชน์ที่จะไปแสวงหาคำตอบว่า ทำไมปัญหาเหล่านี้จึงยังคงเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน เมื่อคิดอะไรไม่ออก
สังคมก็ตอบได้เพียงคำเดียวว่ามันเกิดขึ้นเพราะความประมาท จากนั้นก็จัดทำโครงการเพื่อรณงค์กันใหม่ วันเวียนซ้ำซากอยู่อย่างนี้ โดยที่ปัญหาไม่มีวันหมดสิ้นไป
คำถามก็คือ... ความประมาทมันเกิดขึ้นได้เองหรือเปล่า ?
ความประมาทมันเกิดขึ้นเพราะเราสร้างมันขึ้นมา ด้วยความคิดที่ไร้สติของเราทั้งหมด เพราะเรื่องนี้จะโทษใครเพียงคนเดียวไม่ได้ องค์ประกอบของสังคมบ้านเราหลายอย่างกำลังชักนำจิตวิญญาณของผู้คนให้หนีห่างออกไปจากความสงบและสันติ ในทางตรงกันข้าม มันกลับเคลื่อนตัวไปใกล้ความรุนแรงและจุดแตกหักมากขึ้นทุกขณะ
ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ในบรรดารถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนในเมืองไทยหลายสิบล้านคันที่เห็น
คุณคิดว่ามันขับโดยมนุษย์กี่คัน และขับโดยปีศาจกี่คัน !!
ถ้ายังไม่เห็นภาพ เรามาลองไล่เรียงดูกันเป็นฉากๆ คุณอาจจะเรียกว่ามันคือลำดับชั้นของปีศาจบนท้องถนนในเมืองไทยก็คงไม่ผิดนัก
ลำดับที่
1 รถเมล์เล็ก : นรกสาธารณะ
ถ้าคุณยังไม่สะใจกับเครื่องเล่นที่หวาดเสียวที่สุดของดรีมเวิร์ลหรือสวนสยาม
ขอแนะนำให้คุณขึ้นรถเมล์เล็กหรือรถร่วมข.ส.ม.ก.สีเขียวที่วิ่งอยู่เกลื่อนเมือง
มันคือนรกสาธารณะที่ตระเวนรับเหยื่ออย่างถูกกฎหมาย
ผมอยากให้ผู้ที่เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในการเดินทางไปใช้บริการรถสาธารณะมาแล้วทั่วโลก ช่วยตอบสักนิดว่า นรกสาธารณะนี้มันพบเห็นได้แห่งเดียวในโลกที่เมืองไทยจริงๆ
หรือเปล่า
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า มันคงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยได้อนุรักษ์เอาไว้เป็นจุดขาย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะมันเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ถ้าคุณชอบความกักฬระ ดิบ
เถื่อนและหยาบคายแบบสุดๆ เพียงแค่คุณเผลอไปทำอะไรให้คนขับรถหรือพนักงานเก็บเงินไม่พอใจสักนิดหน่อย
คุณจะได้มันเป็นของแถมทันทีที่ขึ้นไปบนนรกสาธารณะคันนั้น
ลำดับที่
2 รถตู้มหากาฬ :
นักเลงประตูเลื่อน
ถ้าคุณขับรถมาตามสภาพการจราจรที่ราบรื่นแล้วอยู่ดีๆ ก็ติดขัดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนถึงป้ายรถประจำทางสักประมาณร้อยเมตร คุณไม่ต้องแปลกใจเลย เพราะบรรดานักเลงประตูเลื่อนทั้งหลายเขากำลังชุมนุมพลกันอยู่ตรงนั้น โดยไม่สนใจหรอกว่าการจราจรจะติดขัด หรือชาวบ้านจะเดือดร้อนกันแค่ไหน
กูจะรับผู้โดยสาร กูจะจอดขวางแ....งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า !!
ทันทีที่ได้ผู้โดยสาร เขาก็จะขับปาดรถออกมาจากป้าย โดยไม่สนใจว่าใครจะเต็มใจหยุดให้หรือเปล่า จากนั้นก็ห้อตะบึง พาชีวิตอันมีค่าของผู้โดยสารไปผจญภัยกันอยู่บนท้องถนน
มิพักจะต้องพูดถึงความสะดวกสบายหรือสุนทรีย์ในการเดินทาง
เพราะเขาจะโยกคลอนหัวของคุณเหมือนว่าเป็นของเล่น หรือเพื่อทดสอบว่าคุณจะทนได้ไปจนถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่
ถ้าทนไม่ได้ก็ลงไป
!!
ลำดับที่
3 แท็กซี่จอมซิ่ง :
นักล่าฝากระโปรงท้าย
ไม่ใช่การกล่าวหาหรือด่าว่าคนทำมาหากิน
เพราะการทำมาหากินกับการได้รับการยกเว้นให้ทำอะไรก็ได้บนท้องถนนมันคนละเรื่องกัน
แน่นอนว่าแท็กซี่ทุกคันอยากได้ผู้โดยสาร
เพราะฉะนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำความเร็วไม่มากนักเพื่อสอดส่ายสายตามองหาผู้โดยสารระหว่างทาง ซึ่งความจริงแล้วก็ถือว่าเป็นการขับรถที่สุภาพและปลอดภัย เพราะใช้ความเร็วในระดับที่สามารถควบคุมรถได้อย่างแน่นอน
แต่ทันที่ที่ได้รับผู้โดยสาร
แท็กซี่อันแสนเฉื่อยช้าจะกลายเป็นนักล่าฝากระโปรงท้ายไปในทันที
ลองหลับตานึกดูก็ได้ว่า นับตั้งแต่คุณขับรถมาทั้งชีวิต รถอะไรหรือใครคือคนที่จี้ท้ายคุณมากที่สุดถ้าไม่ใช่แท็กซี่ นอกจากการปาดซ้ายป่ายขวาแล้ว
เขาจะยกไฟรัวไล่คุณเหมือนจะบอกให้รู้ว่าอย่าเกะกะขวางทาง แม้ว่าในตอนนั้นคุณจะขับอยู่ในเลนส์ซ้ายสุดแล้วก็ตาม ในขณะที่กระจังหน้ารถแท็กซี่จะหายใจรถต้นคออยู่ที่กระโปรงท้ายของรถคุณ
พวกเขาทำราวกับว่า “กูรีบได้อยู่คนเดียว”
ลำดับที่
4 กระบะส่งของ : ระเบิดพลีชีพ
เสียงแผดร้องของเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักเพราะแรงบิดที่ถูกเหยียบจนจมมิดปลายเท้า ทำให้รถคันอื่นต้องรีบหลบกันวูบวาบ และเมื่อมันแซงหน้าขึ้นไป
คุณจะเห็นรถกระบะที่ติดสติกเกอร์ห้างหุ้นส่วนอะไรสักอย่างไว้ข้างรถ มันกำลังฮ้อตะบึงไปข้างหน้าเหมือนลืมตาย
ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนบนรถต่างสนุกสนานกับเสียงเพลงที่เปิดฟังเผื่อแผ่ชาวบ้านมาตลอดทาง
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณรู้ว่ามันเป็นรถกระบะของเถ้าแก่ ที่ลูกน้องไร้สติขับออกมาเพื่อไปส่งสินค้าตามที่ได้รับมอบหมาย แต่งานนี้คุณภาพของรถที่เคยโฆษณากันนักหนา จะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่ภายใต้อุ้งเท้าอันแสนโสโครกคู่นั้น
เด็กขับรถส่งของพวกนี้เป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มคนที่น่าอิจฉา เพราะไม่ต้องมาเปลืองสมองคอยคิดว่าจะต้องรักษาหรือดูแลสมบัติของเจ้านายเขาอย่างไร
ขอขับให้มันพังคามือ (ตีน)
ไปเลยก็แล้วกัน
และถ้าบังเอิญกระบะของเถ้าแก่ที่กำลังแซงรถคุณขึ้นไปนั้นบรรทุกถังแก๊สมาเต็มรถ
อาการแบบนี้เขาเรียกระเบิดพลีชีพชัดๆ
ลำดับที่
5 สองแถวประจำซอย : กระเป๋าถ่อย ลูกพี่เถื่อน
ถ้าคุณหลงเข้าไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยซึ่งอาจจะเป็นซอยไหนสักแห่ง สิ่งที่คุณต้องระมัดระวังมากที่สุดก็คือ
อย่าไปทำให้มีอุบัติเหตุกับสองแถวประจำซอยโดยเด็ดขาด เพราะคุณอาจได้ไม้หน้าสามหรือเหล็กขุดชาบเป็นของชำร่วย
คุณต้องทำใจให้เย็นที่สุด แม้สองแถวที่อยู่ข้างหน้าจะขับคล่อมเลน เหมือนไอ้เข้ขวางคลองไปตลอดทางก็ตาม ถ้าเขาหยุดคุณต้องหยุด ถ้าเขาไปคุณจึงจะได้ไป
ชะตาชีวิตของคุณในซอยนี้ฝากไว้ที่เขาโดยไม่ควรปริปาก!!
ยิ่งตอนที่คุณขับผ่านคิวรถของพวกเขา คุณต้องทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด อย่าทำอะไรตุกติกให้เขาเห็นได้ว่าคุณไม่พอใจเขา อย่าบ่นพึมพำแม้ว่าเขาจะขับรถพรวดพราดออกมาจากคิวจนทำให้คุณต้องเบรคกระทันหัน และหัวไปโขกกับขอบประตู
คิดเอาไว้เสมอว่าคุณไม่ควรเอาอะไรไปแลกกับอะไร
!!
ลำดับที่
6 แก๊งค์เด็กแว้น :
สองล้อของคนบาป
แม้ว่าคุณจะขี่มอเตอร์ไซค์อย่างปกติหรือระมัดระวังที่สุด แต่มันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า คุณจะหลุดรอดปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่ตัวเองไม่ได้ก่อไปได้ เพราะจากสถิติของทุกสำนัก มอเตอร์ไซต์คือยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุด
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เจ้ามอเตอร์ไซต์นี้ก็อาจจะกลายเป็นสองล้อของคนบาปที่ทำให้ผู้ร่วมทางอกสั่นขวัญหายได้เหมือนกัน
สำหรับใครก็ตามที่ต้องขับรถในยามวิกาล แล้วบังเอิญว่าในคืนนั้น คุณได้หลงเข้าไปในเส้นทางของการนัดหมายเพื่อประลองความเร็วของบรรดาแก๊งค์เด็กแว้นแล้วล่ะก็ มันหมายความว่า ค่ำคืนแห่งความระทึกใจได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คุณต้องตั้งสติและถามตัวเองให้ดีว่าจะสามารถผ่านสถานการณ์อันยากลำบากของค่ำคืนนั้นไปได้อย่างไร
ฝูงมอเตอร์ไซค์นับร้อยที่แข่งพายุมาพร้อมๆ
กัน จะชะลอความเร็วแล้วห้อมล้อมรถของคุณไว้ทุกด้าน เหมือนฝูงต่อหัวเสือที่ตีกรอบล้อมศัตรู อย่าเข้าใจผิดว่าพวกมันเป็นองครักษ์หรือรถนำขบวน หากคุณทำอะไรที่ดูเป็นที่ผิดสังเกตุหรือเป็นการท้าทายเพียงเล็กน้อย เช่นบีบแตรไล่หรือตะโกนด่า
รู้มั๊ยว่าคุณกำลังเปิดศึกกับพญามัจจุราชดีๆ
นี่เอง!!
ลำดับที่
7 สิบล้อมหาภัย : เพชฆาตตลอดกาล
ถ้าไม่พูดถึงเขา การจัดอันดับครั้งนี้ก็ถือว่าไม่สมบูรณ์ เพราะนับตั้งแต่มีการจดบันทึกสถิติอุบัติเหตุเกิดขึ้นในบัญชีแห่งความทุกข์ของมนุษย์ นี่คือพาหนะแห่งนรกที่ครองแชมป์ความเหี้ยมโหดอย่างยาวนานที่สุด
วีรกรรมของเขาในแต่ละครั้งสร้างความสูญเสียจนสังคมยกคำว่า “วินาศสันตะโร” ให้ไว้เป็นคำที่คู่ควรที่สุดสำหรับเพชฆาตตลอดกาลคันนี้
ตอนที่เราเป็นเด็ก แม้ว่าจะเรียนภาษาไทยด้วยความเบื่อหน่ายแค่ไหน
แต่เรากลับให้ความสนใจกับภาษาที่ใช้อธิบายผลงานของสิบล้อมหาภัยจากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเช่น
สิบล้อเมายาขยี้แหลกสองแม่ลูก !!
สองล้อชะตาขาดสังเวยสิบล้อตีนผี
!!
สิบล้อแข่งพายุเบรกแตกชนผู้เฒ่าตายอนาถ !!
โชเฟอร์ตีนคะนองพาสิบล้อแหกโค้งมรณะ !!
มันเป็นอะไรที่คลาสสิกที่สุด และเป็นที่เอือมระอาที่สุดของสังคม โดยเฉพาะกับรถเล็กๆ ถ้าต้องเจอกับพวกมันสองต่อสองบนท้องถนน คุณจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของสิบล้อมหาภัยไปในทันที เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำแนะนำอื่นใดที่จะดีไปกว่าคำว่า ถอยไปให้ห่างเพชฆาตตลอดกาลตัวนี้เสียโดยเร็ว
ทุกวันนี้ทั้งสถิติและพฤติกรรมของสิบล้อบนท้องถิ่นดีขึ้นเหมือนกัน
เพราะมีการใช้รถที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูงมากขึ้น
มีระบบควบคุมที่ดีจากบริษัทเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าเข้ามามีอิทธิพลในการควบคุมพฤติกรรม
แต่ที่สำคัญ...มีโชเฟอร์สิบล้อตายโหงไปแล้วหลายคน
!!
@@@@@@
เปล่าเลย...
ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าคนขับรถเหล่านี้คือผู้ที่แย่หรือเลวร้ายที่สุดบนท้องถนน แต่สิ่งที่พยายามจะบอกก็คือ ในการขับรถทุกคัน สตาร์ทรถทุกครั้ง คุณสามารถที่จะเลือกได้ด้วยตัวเองว่า คุณจะขับรถแบบมนุษย์หรือปีศาจ
ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นปีศาจ ภาพลักษณ์ของปีศาจก็จะติดไปกับรถของคุณ อาชีพของคุณ
หน้าตาของคุณ
รวมถึงพรรคพวกเพื่อนฝูงของคุณด้วย
ปีศาจตัวนี้แม้จะควบคุมรถได้ แต่ก็ไม่เคยจะเอาชนะมันได้เลยสักครั้งเดียว เพราะผลผลิตจากความคิดมนุษย์ มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้หลายคนทึกทักเอาว่า สามารถควบคุมให้มันอยู่ภายใต้อุ้งมือเราได้ ทั้งๆ ที่อำนาจและขีดความสามารถในการควบคุมของเรามีอยู่อย่างจำกัด
ถ้าสังคมต้องการแก้ไขปัญหานี้ มันต้องเริ่มตั้งแต่คำถามที่ว่า เราสร้างมนุษย์ประเภทไหนขึ้นมากันแน่ !!
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ภายใต้เงื่อนไขและโครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันเอื้อให้ลูกหลานของเราทำความเข้าในเรื่องอื่นๆ
ที่นอกจากตำราเรียนหรือไม่ ลองกลับไปดูวิชาที่สอนกันอยู่ในโรงเรียนทุกวันนี้ดูก็ได้ เราสร้างคนด้วยตำรามากกว่าการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับสรรพสิ่งรอบข้างหรือเปล่า
เด็กเหล่านี้โตขึ้นมาโดยไม่สนใจว่า เราต้องเอื้ออาทรกับผู้อื่นบนท้องถนนไปทำไม ?
ตำราทุกเล่มล้วนบอกว่าสิ่งประดิษฐ์คิดค้นล้วนเป็นความสำเร็จของมนุษย์ในการเอาชนะธรรมชาติทั้งสิ้น
เราสามารถควบคุมมันเพื่อรับใช้เราได้ทุกเรื่อง
แม้กระทั่งอารมณ์อันดิบ..
เถื่อน !!
วิธีคิดนี้เองที่เป็นปัญหา
และทำให้เราดูถูกพลังของธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน
ในขณะที่เราเชื่อในพลังที่เราสร้างขึ้นด้วยผลงานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีผลงานทางวิทยาศาสตร์ใดในโลกนี้ที่ไม่มีข้อจำกัด
การโฆษณาผลผลิตทางด้านยานยนต์ซึ่งทำหน้าที่รับใช้ระบบทุนและการตลาดก็ตอกย้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า เครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ
ที่ออกมาคือประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและคุณสามารถที่จะควบคุมมันได้ การใช้ประโยชน์จากยานพาหนะที่เรียกว่า
“รถยนต์”
นี้จึงสูงกว่าสิ่งที่มันควรจะเป็นมาโดยตลอด
ระดับของความเร็วหรือ
“Speed”
ในชีวิตมนุษย์จึงถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่เด็กวัยรุ่นจะบิดมอเตอร์ไซค์กันเหมือนคนที่ลืมตาย
ไม่แปลกเลยที่โชเฟอร์แท็กซี่จะกระหยิ่มอยู่ในใจเสมอว่าเขาคือคนที่ใช้รถมากที่สุด...ขับรถเก่งที่สุด
ไม่แปลกอีกเช่นกันที่ลูกเศรษฐีมีเงินจะถอยรถสปอร์ตราคาหลายสิบล้าน
เพียงเพื่อจะได้สัมผัสกับความเร็วของนรกบนถนนที่ไหนสักแห่งในยามค่ำคืน
บางครั้งมันก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
!!
ผมยังจำได้ถึงความประทับใจในมารยาทการขับรถของชาวญี่ปุ่น เมื่อครั้งที่เดินทางไปทำข่าวที่นั่น
ครั้งนั้นคณะของสื่อมวลชนจากประเทศไทยและสิงค์โปรใช้เวลาสองอาทิตย์เต็มๆ
อยู่บนรสบัสขนาดกลางที่การท่องเที่ยวญี่ปุ่นจัดมาให้
เราเดินทางไปหลายแห่งในเขตการปกครองทีเรียกว่า
“คันไซ” หรือภาคกลางตอนล่างซึ่งมีภูมิประเทศและสภาพเส้นทางที่ใช้ค่อนข้างหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นถนนในเมืองที่มีการจราจรติดขัด ถนนระหว่างเมืองที่สามารถทำความเร็วสูงได้ หรือแม้กระทั่งถนนในอุทยานแห่งชาติที่ต้องลัดเลาะไปตามไหล่เขาที่สูงชัน
แต่ไม่ว่าจะไปในเส้นทางไหนก็ตาม เราจะพบแต่ความประทับใจของมารยาทในการใช้รถใช้ถนนของชาวญี่ปุ่น
โชเฟอร์รถบัสที่เรานั่นจะโค้งคำนับแสดงความขอบคุณกับรถที่หยุดให้ทางทุกครั้ง
ในขณะที่รถคันอื่นที่ได้ทางจากเราก็ทำเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญคือเขาทำด้วยความเต็มใจและอาการที่นอบน้อมสวยงาม
ประเทศไทยเราโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลกถึงวัฒนธรรมอันดีงามของเรา โดยเฉพาะการใช้การไหว้อันอ่อนช้อยเป็นสื่อหรือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะบอกกับใครต่อใครว่าคนไทยใจดีและมีวัฒนธรรม
ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยเห็นคนไทยคนไหนที่ยกมือไหว้แสดงความขอบคุณให้แก่กันบนท้องถนนเลยสักครั้งเดียว
!!
ทุกวันนี้เมื่อผมขับรถถ้าใครให้ทางและสภาพจราจรขณะนั้นไม่คับขันจนเกินผมยกมือไหว้ขอบคุณเขาเลย
ไม่รู้เหมือนกันท่านคนไทยที่หลงไหววัฒนธรรมตัวเองทั้งหลายจะคิดอะไรกันบ้าง
แต่ที่แน่ๆ ผมก็ไม่เคยเห็นรถคันไหนยกมือไหว้ตอบสักคัน !!
อย่าโกหกตัวเองว่าเรานั้นสูงส่งหรือเลิศเลอไปกว่าคนอื่น
อย่าหลงตัวเองจนกลายเป็นความคลั่งที่ไม่มีแก่นสาร ยอมรับกันเสียเถอะว่า สังคมไทยมันเต็มไปด้วยคนที่หน้าไว้หลังหลอก เพราะเราสร้างกันมาแบบนั้น
ต่อให้รัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ
ทำโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุอีกนับร้อยนับพันโครงการ ปัญหาของความสูญเสียจากอุบัติเหตุที่ผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ก่อก็จะไม่มีทางลดลง ตราบใดที่วิธีคิดว่าด้วยมนุษย์กับสรรพสิ่งในบ้านเรายังมีปัญหา
มันมีคนละเรื่องเดียวกันซ่อนอยู่ในปัญหาลักษณะนี้มากมายในสังคมไทย
..............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น