ความเปลี่ยนแปลง
ภาพจาก http://www.preda.org/en/news/child-abuse-crimes จีรวัฒน์ ครองแก้ว
พระอาทิตย์เคลื่อนมาส่องแสงอยู่เหนือยอดไม้ของอีกฝั่งถนนแล้ว แต่รถกระบะสองคันยังคงมุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับภูมิประเทศสองข้างทางที่เริ่มแปลกตามากขึ้น
พี่เปี๊ยกผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
แต่ผมยังนั่งเหม่อมองความเวิ้งว้างสองข้างทางด้วยความรู้สึกที่เลื่อนลอย
ฝูงนกที่บินตัดทุ่งเขียวทำให้คิดไปไกลถึงชีวิตอันเป็นอิสระที่ไหนสักแห่ง
?
มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทุ่งนาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาขนาดนี้ แสดงว่ายังมีที่ว่างอีกมากมายที่ผมจะหลีกเร้นไปได้
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้
!!
สิ่งที่พอจะทำได้ตอนนี้คือเก็บเกี่ยวความสุขจากการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิต
นานแค่ไหนไม่รู้ที่รถวิ่งผ่านทุ่งนาอันกว้างใหญ่ ความคิดที่ล่องลอยวกกลับมาเมื่อรถขับทะลุเข้าไปในความมืดโดยไม่รู้ตัว ไม่กี่อึดใจพี่เปี๊ยกก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
“กลัวมั๊ยบอย ?”
พี่เปี๊ยกถาม ผมได้แต่พยักหน้าช้าๆ
“จำไว้นะบอย ถึงพวกมันจะคาดคั้นเอ็งยังไงก็ห้ามปริปากพูดเรื่องเมื่อคืนนี้เด็ดขาด”
พี่เปี๊ยกกำชับเหมือนจะเดาออกว่าความหวาดกลัวของผมอาจเป็นใบเบิกทางให้เคราะห์กรรมข้างหน้า ผมจึงได้แต่พยักหน้าอีกครั้ง
“เราต้องทำให้พวกมันตายใจแล้วหนี !!”
พี่เปี๊ยกกระซิบที่ข้างหูผมที่เริ่มรู้สึกอ่อนล้ากับชะตากรรมของตัวเอง
“หรือว่าเราต้องอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป
?”
ผมได้แต่ถามความรู้สึกข้างในของตัวเอง
รถกระบะสองคันยังคงขับฝ่าความมืดไปข้างหน้าเหมือนไม่ต้องการจะหยุดพักแม้ว่าเสียงของเครื่องยนต์จะคำรามลั่นจนน่าตกใจ
มันไม่ใช่การเดินทางธรรมดา
มันคือการหนี !!
“ไอ้เปี๊ยก”
เสียงแม่ตะโกนฝ่าลมแรงที่ปะทะเข้าหาตัวรถพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างออกมานอกหน้าต่าง
มันเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ให้ผมกับพี่เปี๊ยกได้ประทังความหิวจากการเดินทางอันเนิ่นนานข้ามวัน
โชคยังดีที่พวกเขายังไม่คิดที่จะปล่อยให้ผมกับพี่เปี๊ยกต้องตายไปเองเพราะความหิว
!!
@@@@@
พี่เปี๊ยกค่อยๆ ล้วงเอานาฬิกาข้อมือของน้าเมฆออกมาจากกระเป๋าแล้วอาศัยแสงนวลของพระจันทร์เพื่อแอบดูเวลา
“ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว”
พี่เปี๊ยกบอกผม
ตอนนี้สองข้างทางเริ่มมีแสงไฟให้เห็นมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น
รถพาเราข้ามสะพานขนาดใหญ่ มันอาจจะเป็นแม่น้ำสายไหนสักแห่ง ผมมองออกไปนอกรถ เห็นแต่สายน้ำที่ทอดตัวหายไปในความมืด
สมองคิดไปตลอดเวลาว่าพวกเขากำลังจะพาเราไปไหน
?
“กูไม่พาพวกมึงไปขึ้นสวรรค์แน่”
คำพูดของชายหน้าบากเมื่อกลางวันยังก้องอยู่ในหัว
เมื่อพ้นสะพานข้ามแม่น้ำ แสงไฟของเมืองยิ่งละลานตา
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าเช่นเดียวกับถนนที่หนาแน่นไปด้วยรถยนต์ บนฟุตบาทมีคนเดินขวักไขว่ทั้งๆ
ที่เวลาก็ดึกมากแล้ว
รถขับผ่านสี่แยกหลายแห่งแต่ป้ายบอกทางที่ติดไว้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมกับพี่เปี๊ยกได้เลย
ความไม่รู้หนังสือทำให้เราตกอยู่ในชะตากรรมอย่างเต็มรูปแบบ
!!
แต่เมื่อคาดคะเนด้วยสายตาและเส้นทางที่รถแล่นผ่านมานั้น
เมืองที่พวกเขาพาเรามากว้างใหญ่ไม่แพ้หาดใหญ่หรืออาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป
ถนนเริ่มบีบตัวแคบเข้าทุกทีในที่สุดก็กลายเป็นซอยเล็กๆ
ที่แสงไฟและผู้คนเริ่มลดน้อยลง กระบะคันหน้าพารถที่เรานั่งเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกข้างหน้า
เสียงสัญญาณบางอย่างทำให้ผมตกใจและตื่นขึ้นจากอาการเหม่อลอย
เมื่อหันไปด้านขวาทั้งสัญญาณและแสงไฟก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
พี่เปี๊ยกรีบสะกิดให้ผมดูรถไฟที่กำลังใกล้เข้ามาและแล่นขนานไปกับเรา
ไฟในตู้ขบวนสว่างจนมองเห็นผู้โดยสารเต็มไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นขบวนรถไฟตอนกลางคืนใกล้ๆ
เพราะที่หาดใหญ่เราเพียงแค่แล่นผ่านทางรถไฟที่มีแผงกั้นเท่านั้น
พวกเขาคงเดินทางมาไกลไม่ต่างจากเรา แต่คงไม่เหมือนเรา !!
พวกเขาคงเดินทางมาไกลไม่ต่างจากเรา แต่คงไม่เหมือนเรา !!
ขบวนรถไฟแล่นผ่านเราไปแล้ว รถกระบะที่เรานั่งก็จอดเข้าชิดข้างทาง พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผมเหมือนรับรู้สัญญาณบางอย่าง
การเดินทางอันยาวไกลครั้งแรกในชีวิตผมสิ้นสุดลงตรงนี้
“ไอ้เปี๊ยกไอ้บอยเอาข้าวของลงมาได้แล้ว”
เสียงแม่ตะโกนมาจากด้านหน้ารถ
เมื่อผมลงมาจากรถสิ่งแรกที่เห็นคือบ้านไม้เรือนแถวชั้นเดียวเก่าๆ
นับสิบห้องตรงหน้า มันมีแสงไฟลอดออกมาจากหน้าต่างไม่กี่ห้องเท่านั้น
ถัดไปไม่ไกลนักมีกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนกำลังล้อมวงกินเหล้า
ชายหน้าบากโบกมือทักทายพวกเขาเหมือนสนิทสนม
“ไปเข้าบ้านก่อน”
ชายหน้าบากเดินนำหน้าไปตรงห้องที่มีกุญแจปิดล็อคอยู่
เสียงหวูดรถไฟดังแว่วมาไม่ไกลนักพร้อมเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียง
แสดงว่าสถานีรถไฟต้องอยู่ไม่ไกลจากเรานัก
ชายหน้าบากไขกุญแจห้องแล้วเดินนำหน้าพวกเราเข้าไปข้างใน
ทันทีที่แสงไฟสว่างขึ้น
ที่ซุกหัวนอกแห่งใหม่ของผมกับพี่เปี๊ยกก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า !!
มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างกว่ากระบะรถสิบล้อของน้าเมฆไม่มากนัก แต่ลึกยาวไปด้านในมากกว่าเท่าตัว พื้นที่ของห้องถูกแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นด้านหน้าที่มีพื้นที่เพียงแค่คนสี่ห้าคนจะนั่งล้อมวงกันได้ ด้านในถูกกั้นด้วยข้างฝาไม้อัดที่ดูไม่แน่นหนานัก เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดแต่ก็ไม่ใช่ห้องที่เป็นสัดส่วนเหมือนบ้านที่เราเคยอยู่
มันมีแค่ฝาไม้อัดสองด้านที่กั้นพื้นที่ไว้เท่านั้น
ถ้าจะเดินไปหลังห้องหรือส่วนที่สามซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นครัวเล็กๆ
กับห้องน้ำ ก็ต้องเดินผ่านห้องกลางนี้
ข้างฝาไม้เก่ามีรอยกระดาษที่ถูกฉีกออกแล้วเต็มไปหมด
ในขณะที่ด้านบนเต็มไปด้วยหยากไย่
ผมกวาดสายตามองสำรวจรอบๆ
ห้องไปอย่างนั้น
เพราะรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว แม้ว่ามันจะดูดีกว่าบ้านเก่าที่เคยอยู่เล็กน้อย
พวกเขาเดินสำรวจห้องกันสักพัก แม่จึงหันมาสั่งผมกับพี่เปี๊ยก
“พวกเอ็งนอนข้างหน้านี่แหละ หาที่ทางวางข้าวของซะข้าจะคุยธุระกันหน่อย ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด หน้าต่างประตูทุกบานห้ามเปิด”
น้ำเสียงที่แห้งแล้งของเธอทำให้ผมเริ่มรับรู้ว่าสถานการณ์ของที่นี่อาจะเลวร้ายกว่าที่หาดใหญ่ด้วยซ้ำไป
@@@@@
ผมกับพี่เปี๊ยกช่วยกันจัดการกับที่นอนของเรา ความจริงจะเรียกว่าจัดก็คงไม่ได้
เพราะเรื่องที่ซุกหัวนอนสำหรับชีวิตผมกับพี่เปี๊ยกมันไม่เคยมีพิธีรีตรองอะไรอยู่แล้ว มีแค่เสื่อผืนหมอนใบและผ้าห่มเก่าๆ
อีกหนึ่งผืนเท่านั้น ไม่มีแม้แต่มุ้งสักหลัง
ผมไม่เคยคาดหวังกับที่ๆ จะต้องล้มตัวลงนอนเลยสักครั้ง หวังอยู่อย่างเดียวว่าจะตื่นขึ้นมาในที่แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยอิสรภาพได้อย่างไร !!
ผมไม่เคยคาดหวังกับที่ๆ จะต้องล้มตัวลงนอนเลยสักครั้ง หวังอยู่อย่างเดียวว่าจะตื่นขึ้นมาในที่แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยอิสรภาพได้อย่างไร !!
“เอ็งอยู่ที่นี่ไปสักพักนึงก่อนแล้วค่อยคิดขยับขยายกัน”
เสียงของชายหน้าบากที่เริ่มบทสนทนาทำให้ผมกับพี่เปี๊ยกวางมือจากการจัดแจงข้าวของในประเป๋าแล้วลมตัวลงนอนฟังอย่างตั้งใจ
“ทำไมต้องเป็นที่นี่วะ” พ่อถาม
“นั่นนะซิมันไกลมากเลยนะ”
เสียงแม่เสริมขึ้นมา
“มันไกลแต่ปลอดภัยที่สุดเพราะที่พิษณุโลกนี่เจ๊มีเครือข่ายใหญ่อยู่เยอะ” ชายหน้าบากตอบ
พิษณุโลก
!!
มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อจังหวัดนี้
แต่จะเป็นจังหวัดอะไรคงไม่สำคัญสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกหรอก
สิ่งที่สำคัญคือคำถามที่ชายหน้าบากถามกลับมาต่างหาก
“แล้วเอ็งจะจัดการยังไงกับไอ้เด็กสองคนนี่ เอ็งจะให้มันไปเที่ยวเดินขอเงินชาวบ้านเขาเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะโว๊ย มันเสี่ยงเกินไป”
ตอนนี้พวกเขาคุยกันโดยไม่สนใจแล้วว่าผมกับพี่เปี๊ยกจะได้ยินอีกต่อไป ก็เหมือนอย่างที่บอกไปนั่นแหละ
ทุกอย่างมันถูกเปลือยออกมาจนหมดไส้หมดพุงแล้วนี่
“ฉันเลี้ยงพวกมันเปล่าๆ
ไม่ให้หาเงินเข้าบ้านไม่ได้หรอก” แม่ตอบ
“เอาอย่างนี้ เจ๊ให้เงินพวกเอ็งมาก้อนนึง เอาไปจัดการทำทุนซื้ออะไรมาให้ไอ้สองตัวนี่ขายหน้าห้องนี้ก็ได้”
สิ้นเสียงชายหน้าบากผมได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างถูกโยนลงบนพื้น มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเงินที่เขาพูดถึง
“นี่ถ้าเรื่องไม่โยงถึงแกพวกฉันก็คงไม่ได้เงินซิท่า”
เสียงแม่ค่อนขอด
“เออน่าเอ็งอย่าพูดมากไปเลยรับๆ
ไปเหอะ”
ชายหน้าบากตัดบท
“ก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่ว่าที่นี่มีอะไรให้ข้าทำบ้างวะ”
พ่อถามชายหน้าบาก มันเป็นคำถามที่สร้างความประหลาดใจให้ผมมาก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นเขาคิดว่าอยากจะทำอะไรเลยนอกจากขับรถพาพวกเราไปขอเงินที่ไม่ควรได้จากคนอื่นแล้วก็กลับมากินเหล้า
“ไม่ต้องห่วงไอ้ชด
เอ็งเห็นไอ้หนวดที่นั่งกินเหล้าอยู่ข้างหน้ามั๊ย มันชื่อไอ้เพิงพักอยู่ห้องติดกับเอ็งนี่แหละ มันจัดการให้เอ็งได้ ไอ้พวกที่พักในห้องแถวที่นี่ก็ลูกค้ามันทั้งนั้น
บางทีเอ็งอาจจะได้รับงานส่งของเขตนอกเมืองให้มันก็ได้”
ชายหน้าบากพูดขึ้นทำให้ผมนึกถึงผู้ชายผิวคล้ำที่นั่นกินเหล้าอยู่เมื่อสักครู่นี้ได้ หนวดที่รกครึ้มของเขาทำให้ใบหน้านั้นดูเหี้ยมเกรียมไม่แพ้ชายหน้าบากเท่าไหร่นักหรอก
“แต่ถ้าเอ็งอยากจะกลับไปรับงานถนัดแบบเก่าละก็...”
ชายหน้าบากลากเสียงก่อนจะพูดต่อ
“เอ็งจำจ่านพได้มั๊ย
?”
ชายหน้าบากถาม
“ได้สิข้าเคยรับงานผ่านมันสองครั้ง” พ่อตอบ
“นั่นแหละ
มันย้ายซุ้มจากสุราษฎร์มากบดานอยู่บนเขาในเขตอำเภอชาติตระการ ห่างจากตัวเมืองนี่ไม่ไกลนักหรอก แล้วข้าจะบอกมันให้ว่าเอ็งมาอยู่ที่นี่”
ผมหันหน้าไปมองพี่เปี๊ยกเผื่อว่าจะได้รับคำอธิบายอะไรบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกัน
แต่ดูสีหน้าพี่เปี๊ยกก็คงหาคำตอบไม่ได้เหมือนผม
ผมยังไม่เข้าใจคำว่าซุ้มที่ชายหน้าบากพูดถึงนั้นมันคืออะไร!!
พวกเขานั่งคุยกันสักพักชายหน้าบากก็ขอตัวกลับ
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้ผมกับพี่เปี๊ยกรีบล้มตัวลงนอนหลับตาก่อนที่เสียงของมัจจุราชจะแทรกผ่านความมืดเข้ามาจับขั้วหัวใจ
“ส่วนไอ้สองคนนี่ถ้ามันตุกติกอะไรขึ้นมาพวกเอ็งก็ไม่ต้องเสียเวลากับมันอีก” “ฝังมันซะ
!!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น