วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 12)

ความเปลี่ยนแปลง




ภาพจาก http://www.preda.org/en/news/child-abuse-crimes                                  จีรวัฒน์ ครองแก้


                พระอาทิตย์เคลื่อนมาส่องแสงอยู่เหนือยอดไม้ของอีกฝั่งถนนแล้ว  แต่รถกระบะสองคันยังคงมุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือต่อไปเรื่อยๆ  พร้อมกับภูมิประเทศสองข้างทางที่เริ่มแปลกตามากขึ้น                                             
                พี่เปี๊ยกผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  แต่ผมยังนั่งเหม่อมองความเวิ้งว้างสองข้างทางด้วยความรู้สึกที่เลื่อนลอย 
ฝูงนกที่บินตัดทุ่งเขียวทำให้คิดไปไกลถึงชีวิตอันเป็นอิสระที่ไหนสักแห่ง ?
มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทุ่งนาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาขนาดนี้  แสดงว่ายังมีที่ว่างอีกมากมายที่ผมจะหลีกเร้นไปได้
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ !!
                สิ่งที่พอจะทำได้ตอนนี้คือเก็บเกี่ยวความสุขจากการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิต 
นานแค่ไหนไม่รู้ที่รถวิ่งผ่านทุ่งนาอันกว้างใหญ่  ความคิดที่ล่องลอยวกกลับมาเมื่อรถขับทะลุเข้าไปในความมืดโดยไม่รู้ตัว  ไม่กี่อึดใจพี่เปี๊ยกก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
                “กลัวมั๊ยบอย ?” 
พี่เปี๊ยกถาม  ผมได้แต่พยักหน้าช้าๆ
                “จำไว้นะบอย  ถึงพวกมันจะคาดคั้นเอ็งยังไงก็ห้ามปริปากพูดเรื่องเมื่อคืนนี้เด็ดขาด” 
พี่เปี๊ยกกำชับเหมือนจะเดาออกว่าความหวาดกลัวของผมอาจเป็นใบเบิกทางให้เคราะห์กรรมข้างหน้า  ผมจึงได้แต่พยักหน้าอีกครั้ง
                “เราต้องทำให้พวกมันตายใจแล้วหนี !!” 
พี่เปี๊ยกกระซิบที่ข้างหูผมที่เริ่มรู้สึกอ่อนล้ากับชะตากรรมของตัวเอง 
                “หรือว่าเราต้องอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป ?” 
ผมได้แต่ถามความรู้สึกข้างในของตัวเอง
                รถกระบะสองคันยังคงขับฝ่าความมืดไปข้างหน้าเหมือนไม่ต้องการจะหยุดพักแม้ว่าเสียงของเครื่องยนต์จะคำรามลั่นจนน่าตกใจ 
มันไม่ใช่การเดินทางธรรมดา                                                                                                                             มันคือการหนี !!
“ไอ้เปี๊ยก” 
เสียงแม่ตะโกนฝ่าลมแรงที่ปะทะเข้าหาตัวรถพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างออกมานอกหน้าต่าง มันเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ให้ผมกับพี่เปี๊ยกได้ประทังความหิวจากการเดินทางอันเนิ่นนานข้ามวัน
โชคยังดีที่พวกเขายังไม่คิดที่จะปล่อยให้ผมกับพี่เปี๊ยกต้องตายไปเองเพราะความหิว !!

                                                                                           @@@@@

                พี่เปี๊ยกค่อยๆ ล้วงเอานาฬิกาข้อมือของน้าเมฆออกมาจากกระเป๋าแล้วอาศัยแสงนวลของพระจันทร์เพื่อแอบดูเวลา 
                “ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว” 
พี่เปี๊ยกบอกผม
                ตอนนี้สองข้างทางเริ่มมีแสงไฟให้เห็นมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น
รถพาเราข้ามสะพานขนาดใหญ่  มันอาจจะเป็นแม่น้ำสายไหนสักแห่ง  ผมมองออกไปนอกรถ  เห็นแต่สายน้ำที่ทอดตัวหายไปในความมืด 
สมองคิดไปตลอดเวลาว่าพวกเขากำลังจะพาเราไปไหน ?
                “กูไม่พาพวกมึงไปขึ้นสวรรค์แน่” 
คำพูดของชายหน้าบากเมื่อกลางวันยังก้องอยู่ในหัว
                เมื่อพ้นสะพานข้ามแม่น้ำ  แสงไฟของเมืองยิ่งละลานตา  สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าเช่นเดียวกับถนนที่หนาแน่นไปด้วยรถยนต์  บนฟุตบาทมีคนเดินขวักไขว่ทั้งๆ ที่เวลาก็ดึกมากแล้ว 
                รถขับผ่านสี่แยกหลายแห่งแต่ป้ายบอกทางที่ติดไว้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมกับพี่เปี๊ยกได้เลย
                ความไม่รู้หนังสือทำให้เราตกอยู่ในชะตากรรมอย่างเต็มรูปแบบ !!
                แต่เมื่อคาดคะเนด้วยสายตาและเส้นทางที่รถแล่นผ่านมานั้น  เมืองที่พวกเขาพาเรามากว้างใหญ่ไม่แพ้หาดใหญ่หรืออาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป
                ถนนเริ่มบีบตัวแคบเข้าทุกทีในที่สุดก็กลายเป็นซอยเล็กๆ ที่แสงไฟและผู้คนเริ่มลดน้อยลง  กระบะคันหน้าพารถที่เรานั่งเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกข้างหน้า
                เสียงสัญญาณบางอย่างทำให้ผมตกใจและตื่นขึ้นจากอาการเหม่อลอย  เมื่อหันไปด้านขวาทั้งสัญญาณและแสงไฟก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้  
                พี่เปี๊ยกรีบสะกิดให้ผมดูรถไฟที่กำลังใกล้เข้ามาและแล่นขนานไปกับเรา  ไฟในตู้ขบวนสว่างจนมองเห็นผู้โดยสารเต็มไปหมด 
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นขบวนรถไฟตอนกลางคืนใกล้ๆ  เพราะที่หาดใหญ่เราเพียงแค่แล่นผ่านทางรถไฟที่มีแผงกั้นเท่านั้น
                 พวกเขาคงเดินทางมาไกลไม่ต่างจากเรา                                                                                                                                      แต่คงไม่เหมือนเรา !!
                ขบวนรถไฟแล่นผ่านเราไปแล้ว  รถกระบะที่เรานั่งก็จอดเข้าชิดข้างทาง  พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผมเหมือนรับรู้สัญญาณบางอย่าง
                การเดินทางอันยาวไกลครั้งแรกในชีวิตผมสิ้นสุดลงตรงนี้
                “ไอ้เปี๊ยกไอ้บอยเอาข้าวของลงมาได้แล้ว” 
เสียงแม่ตะโกนมาจากด้านหน้ารถ
                เมื่อผมลงมาจากรถสิ่งแรกที่เห็นคือบ้านไม้เรือนแถวชั้นเดียวเก่าๆ นับสิบห้องตรงหน้า  มันมีแสงไฟลอดออกมาจากหน้าต่างไม่กี่ห้องเท่านั้น  
ถัดไปไม่ไกลนักมีกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนกำลังล้อมวงกินเหล้า  ชายหน้าบากโบกมือทักทายพวกเขาเหมือนสนิทสนม
                “ไปเข้าบ้านก่อน” 
ชายหน้าบากเดินนำหน้าไปตรงห้องที่มีกุญแจปิดล็อคอยู่  
เสียงหวูดรถไฟดังแว่วมาไม่ไกลนักพร้อมเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียง 
แสดงว่าสถานีรถไฟต้องอยู่ไม่ไกลจากเรานัก
                ชายหน้าบากไขกุญแจห้องแล้วเดินนำหน้าพวกเราเข้าไปข้างใน 
ทันทีที่แสงไฟสว่างขึ้น  ที่ซุกหัวนอกแห่งใหม่ของผมกับพี่เปี๊ยกก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า !!
มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างกว่ากระบะรถสิบล้อของน้าเมฆไม่มากนัก  แต่ลึกยาวไปด้านในมากกว่าเท่าตัว  พื้นที่ของห้องถูกแบ่งเป็นสามส่วน  ส่วนแรกเป็นด้านหน้าที่มีพื้นที่เพียงแค่คนสี่ห้าคนจะนั่งล้อมวงกันได้  ด้านในถูกกั้นด้วยข้างฝาไม้อัดที่ดูไม่แน่นหนานัก  เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดแต่ก็ไม่ใช่ห้องที่เป็นสัดส่วนเหมือนบ้านที่เราเคยอยู่  มันมีแค่ฝาไม้อัดสองด้านที่กั้นพื้นที่ไว้เท่านั้น 
ถ้าจะเดินไปหลังห้องหรือส่วนที่สามซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นครัวเล็กๆ กับห้องน้ำ  ก็ต้องเดินผ่านห้องกลางนี้
ข้างฝาไม้เก่ามีรอยกระดาษที่ถูกฉีกออกแล้วเต็มไปหมด ในขณะที่ด้านบนเต็มไปด้วยหยากไย่ 
ผมกวาดสายตามองสำรวจรอบๆ ห้องไปอย่างนั้น  เพราะรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว  แม้ว่ามันจะดูดีกว่าบ้านเก่าที่เคยอยู่เล็กน้อย
พวกเขาเดินสำรวจห้องกันสักพัก  แม่จึงหันมาสั่งผมกับพี่เปี๊ยก
“พวกเอ็งนอนข้างหน้านี่แหละ  หาที่ทางวางข้าวของซะข้าจะคุยธุระกันหน่อย  ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด  หน้าต่างประตูทุกบานห้ามเปิด” 
น้ำเสียงที่แห้งแล้งของเธอทำให้ผมเริ่มรับรู้ว่าสถานการณ์ของที่นี่อาจะเลวร้ายกว่าที่หาดใหญ่ด้วยซ้ำไป

                                                                                        @@@@@

ผมกับพี่เปี๊ยกช่วยกันจัดการกับที่นอนของเรา  ความจริงจะเรียกว่าจัดก็คงไม่ได้  เพราะเรื่องที่ซุกหัวนอนสำหรับชีวิตผมกับพี่เปี๊ยกมันไม่เคยมีพิธีรีตรองอะไรอยู่แล้ว  มีแค่เสื่อผืนหมอนใบและผ้าห่มเก่าๆ อีกหนึ่งผืนเท่านั้น ไม่มีแม้แต่มุ้งสักหลัง   
                 ผมไม่เคยคาดหวังกับที่ๆ จะต้องล้มตัวลงนอนเลยสักครั้ง                                                                                                 หวังอยู่อย่างเดียวว่าจะตื่นขึ้นมาในที่แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยอิสรภาพได้อย่างไร !!
“เอ็งอยู่ที่นี่ไปสักพักนึงก่อนแล้วค่อยคิดขยับขยายกัน” 
เสียงของชายหน้าบากที่เริ่มบทสนทนาทำให้ผมกับพี่เปี๊ยกวางมือจากการจัดแจงข้าวของในประเป๋าแล้วลมตัวลงนอนฟังอย่างตั้งใจ
“ทำไมต้องเป็นที่นี่วะ”  พ่อถาม
“นั่นนะซิมันไกลมากเลยนะ” 
เสียงแม่เสริมขึ้นมา
“มันไกลแต่ปลอดภัยที่สุดเพราะที่พิษณุโลกนี่เจ๊มีเครือข่ายใหญ่อยู่เยอะ”  ชายหน้าบากตอบ
พิษณุโลก !! 
มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อจังหวัดนี้  แต่จะเป็นจังหวัดอะไรคงไม่สำคัญสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกหรอก  สิ่งที่สำคัญคือคำถามที่ชายหน้าบากถามกลับมาต่างหาก
“แล้วเอ็งจะจัดการยังไงกับไอ้เด็กสองคนนี่  เอ็งจะให้มันไปเที่ยวเดินขอเงินชาวบ้านเขาเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะโว๊ย  มันเสี่ยงเกินไป” 
ตอนนี้พวกเขาคุยกันโดยไม่สนใจแล้วว่าผมกับพี่เปี๊ยกจะได้ยินอีกต่อไป  ก็เหมือนอย่างที่บอกไปนั่นแหละ  ทุกอย่างมันถูกเปลือยออกมาจนหมดไส้หมดพุงแล้วนี่
“ฉันเลี้ยงพวกมันเปล่าๆ ไม่ให้หาเงินเข้าบ้านไม่ได้หรอก”  แม่ตอบ
“เอาอย่างนี้  เจ๊ให้เงินพวกเอ็งมาก้อนนึง  เอาไปจัดการทำทุนซื้ออะไรมาให้ไอ้สองตัวนี่ขายหน้าห้องนี้ก็ได้” 
สิ้นเสียงชายหน้าบากผมได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างถูกโยนลงบนพื้น  มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเงินที่เขาพูดถึง
“นี่ถ้าเรื่องไม่โยงถึงแกพวกฉันก็คงไม่ได้เงินซิท่า” 
เสียงแม่ค่อนขอด
“เออน่าเอ็งอย่าพูดมากไปเลยรับๆ ไปเหอะ” 
ชายหน้าบากตัดบท
“ก็ดีเหมือนกัน  ว่าแต่ว่าที่นี่มีอะไรให้ข้าทำบ้างวะ” 
พ่อถามชายหน้าบาก  มันเป็นคำถามที่สร้างความประหลาดใจให้ผมมาก  เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นเขาคิดว่าอยากจะทำอะไรเลยนอกจากขับรถพาพวกเราไปขอเงินที่ไม่ควรได้จากคนอื่นแล้วก็กลับมากินเหล้า
“ไม่ต้องห่วงไอ้ชด  เอ็งเห็นไอ้หนวดที่นั่งกินเหล้าอยู่ข้างหน้ามั๊ย  มันชื่อไอ้เพิงพักอยู่ห้องติดกับเอ็งนี่แหละ  มันจัดการให้เอ็งได้  ไอ้พวกที่พักในห้องแถวที่นี่ก็ลูกค้ามันทั้งนั้น  บางทีเอ็งอาจจะได้รับงานส่งของเขตนอกเมืองให้มันก็ได้” 
ชายหน้าบากพูดขึ้นทำให้ผมนึกถึงผู้ชายผิวคล้ำที่นั่นกินเหล้าอยู่เมื่อสักครู่นี้ได้  หนวดที่รกครึ้มของเขาทำให้ใบหน้านั้นดูเหี้ยมเกรียมไม่แพ้ชายหน้าบากเท่าไหร่นักหรอก
“แต่ถ้าเอ็งอยากจะกลับไปรับงานถนัดแบบเก่าละก็...” 
ชายหน้าบากลากเสียงก่อนจะพูดต่อ
“เอ็งจำจ่านพได้มั๊ย ?” 
ชายหน้าบากถาม
“ได้สิข้าเคยรับงานผ่านมันสองครั้ง”  พ่อตอบ
“นั่นแหละ มันย้ายซุ้มจากสุราษฎร์มากบดานอยู่บนเขาในเขตอำเภอชาติตระการ  ห่างจากตัวเมืองนี่ไม่ไกลนักหรอก  แล้วข้าจะบอกมันให้ว่าเอ็งมาอยู่ที่นี่” 
ผมหันหน้าไปมองพี่เปี๊ยกเผื่อว่าจะได้รับคำอธิบายอะไรบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกัน  แต่ดูสีหน้าพี่เปี๊ยกก็คงหาคำตอบไม่ได้เหมือนผม 
ผมยังไม่เข้าใจคำว่าซุ้มที่ชายหน้าบากพูดถึงนั้นมันคืออะไร!!
พวกเขานั่งคุยกันสักพักชายหน้าบากก็ขอตัวกลับ  เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้ผมกับพี่เปี๊ยกรีบล้มตัวลงนอนหลับตาก่อนที่เสียงของมัจจุราชจะแทรกผ่านความมืดเข้ามาจับขั้วหัวใจ 
“ส่วนไอ้สองคนนี่ถ้ามันตุกติกอะไรขึ้นมาพวกเอ็งก็ไม่ต้องเสียเวลากับมันอีก”                                                        “ฝังมันซะ !!
                                                                                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น