วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 8)

แผนการเด็ก



                                                                                                                จีรวัฒน์  ครองแก้ว

               รุ่งเช้าของวันใหม่ดำเนินไปเหมือนปกติ  ทุกคนต่างทำภารกิจประจำเหมือนเช่นทุกวัน  แต่สิ่งที่ไม่ปกติมีเพียงผมกับพี่เปี๊ยกและพี่นุชเท่านั้นที่รู้ 
                อีกไม่นานทุกคนก็ต้องออกจากบ้านเพื่อไปทำสิ่งที่ซ้ำซากในชีวิต 
แต่ตอนนี้ผมยังนอนซมอยู่กับพื้น !!
                “แม่ๆ มาดูไอ้บอยมันหน่อย มันไม่สบาย” 
เสียงพี่เปี๊ยกเรียกแม่ดังลั่นบ้าน
                “อะไรกันวะ กำลังจะไปแล้วจะมาไม่สบายอะไรกัน” 
แม่พูดอย่างหงุดหงิดแล้วเดินตรงรี่มาหาผมที่แอบปรือตาดูอยู่
                “ไหนดูสิ” 
แม่นั่งลงแล้วยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของผม
                “ตายห่า  ตัวร้อนจี๋เลย  ไอ้เปี๊ยกมันเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” 
แม่หันไปถามพี่เปี๊ยก
                “ตั้งแต่เมื่อวาน  มันท้องเสียก่อน พอตกกลางคืนก็ตัวร้อนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย พอตอนเช้ายิ่งไปกันใหญ่” 
พี่เปี๊ยกแจงเรื่องราวเป็นฉากๆให้แม่เห็น
                “มิน่าล่ะเมื่อคืนกูเห็นกุกๆกักๆ ตอนดึก นึกว่าเอ็งไม่ยอมหลับยอมนอนมัวเล่นอะไรกันอยู่” 
แม่บ่นแล้วนิ่งไปสักครู่เหมือนคิดอะไร  มือแกล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหาอะไรบางอย่าง
                “เอาอย่างนี้ไอ้เปี๊ยกเอ็งอยู่ดูมันก็แล้วกัน  เอ้านี่เอาเงินไปซื้อยาแก้ไข้ให้มันด้วย” 
แม่ยื่นเงินให้พี่เปี๊ยกยี่สิบบาทก่อนจะสะบัดก้นลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
                “เอ้า....พวกเอ็งเตรียมตัวไปกันได้แล้วปล่อยมันสองคนอยู่บ้านนี่แหละ” 
แม่หันไปสั่งพี่สาวทั้งสามคน  พี่เปี๊ยกยิ้มมุมปากให้ผมแล้วหันไปเรียกพี่นุชเบาๆ พร้อมขยิบตาให้เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่าง  พี่นุชหันมาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับก่อนที่จะเดินออกไปจากบ้าน
                “ได้ผลว่ะไอ้บอย” 
พี่เปี๊ยกหันมาบอกผมด้วยอาการดีใจ 
                ผมสะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง  บนหน้าผากตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ  ผ้าชุบน้ำร้อนแล้วบิดหมาดๆ ของพี่นุชที่มาลูบตามใบหน้าผมตบตาแม่ได้สนิท
                “เอ็งไปล้างหน้าล้างตาเร็วเดี๋ยวไปหาน้าเมฆกัน”  พี่เปี๊ยกบอก
@@@@@
                เสียงเพลงจากวิทยุดังมาจากท้ายรถ  ผมเดาได้ทันทีว่าน้าเมฆจะต้องนอนฟังเพลงอยู่ที่เปลแน่ๆ  เมื่อผมกับพี่เปี๊ยกเดินเข้าไปใกล้ก็เป็นอย่างที่คาด  เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเสียงกรนของน้าเมฆดังแข่งกับเสียงเพลงด้วย
                “แอะแอ้ม” 
พี่เปี๊ยกแกล้งทำเสียงกระแอมไอ  มันได้ผลเพราะน้าเมฆค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น
                “อ้าวเปี๊ยกกับบอยว่าไง  วันนี้ไม่ต้องออกไปกับเขาเหรอ” 
น้าเมฆถามพลางค่อยๆ ลุกขึ้นจากเปลแล้วเดินไปปิดวิทยุ
                “นั่งสิ” 
น้าเมฆเอาผ้าขาวผ้าที่พาดอยู่บนบ่าปัดเสื่อที่ปูไว้กับพื้นแล้วเรียกเรานั่ง
                “ทำยังไงพ่อกับแม่เขาถึงไม่เอาพวกเอ็งไปด้วย” 
ดูน้าเปี๊ยกจะสงสัยไม่น้อย
                “ฉันให้ไอ้บอยแกล้งไม่สบาย” 
พี่เปี๊ยกตอบ
                “ทำไมล่ะ” 
น้าเมฆถาม
                “ฉันกับไอ้บอยมีอะไรจะให้น้าเมฆดู” 
น้ำเสียงพี่เปี๊ยกเริ่มจริงจัง 
                แต่ก่อนที่น้าเมฆจะถามอะไรอีกพี่เปี๊ยกก็ชิงถามขึ้นก่อน 
“น้าเมฆอ่านหนังสือออกมั๊ย ?”
                “เฮ้ย... ข้าจบมอสามเชียวนะโว้ย  สบายมากเรื่องอ่านหนังสือน่ะขอให้เป็นภาษาไทยก็แล้วกัน ว่าแต่เอ็งจะให้ข้าอ่านหนังสือให้เอ็งฟังเหรอ  ข้าว่าฟังวิทยุดีกว่ามั๊ง” 
น้าเมฆยิ้มเห็นฟันขาว  พี่เปี๊ยกเอากระดาษแผ่นนั้นยื่นให้น้าเมฆตรงหน้า  ท่าทีเล่นหัวของน้าเมฆเปลี่ยนไป
                “กระดาษอะไร ?” 
น้าเมฆถาม  น้ำเสียงของเปลี่ยนไปเหมือนเริ่มรู้สึกได้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญ
                “ฉันก็ไม่รู้  พวกเราอ่านหนังสือไม่ออกแค่นับเลขได้และจำแบงค์ได้เท่านั้น” 
พี่เปี๊ยกตอบและยื่นกระดาษแผ่นนั้นใส่มือน้าเมฆ
                น้าเมฆรับไปและคลี่มันออกช้าๆ หลังจากนั้นแววตาของแกก็เปลี่ยนไป  คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างที่ดูหนักอึ้ง
                “เอ็งไปเอากระดาษนี่มาจากไหน ?” 
น้าเมฆถามด้วยดวงตาและน้ำเสียงที่จริงจัง
                “ไอ้บอยมันไปเจอซ่อนอยู่ในหนังสือเก่าที่เราใช้ขอทาน เอ๊ย... ใช้เดินเร่ขายกันทุกวันนั่นแหละ” 
พี่เปี๊ยกตอบพร้อมกับชะโงกหน้าไปดูกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง
                “อ่านว่าอะไรน้าเมฆ  มันเขียนด้วยเลือดใช่มั๊ย ?” 
พี่เปี๊ยกถาม
                “ใช่ มันเขียนด้วยเลือด !!” 
น้าเมฆตอบสั้นๆ แต่ท่าทางเหมือนตกอยู่ในภวังค์
                “ฉันว่ามันต้องเขียนเรื่องสำคัญไว้แน่เลย” 
พี่เปี๊ยกเปรย
                “กระดาษแผ่นนี้มันซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนั้นนานหรือยัง” 
น้าเมฆถาม
                “กระดาษแผ่นนั้นมันซ่อนอยู่นานแค่ไหนฉันไม่รู้  รู้แต่ว่าหนังสือเล่มนั้นฉันเห็นมันมาตั้งแต่จำความได้  มันอาจจะอยู่ในนั้นมาตลอด” 
พี่เปี๊ยกพยายามทบทวนความจำในขณะที่ผมแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย  ได้แต่นิ่งฟังทั้งสองคนคุยกัน
                น้าเมฆละสายตาจากกระดาษแผ่นนั้นแล้วหันมามองผมกับพี่เปี๊ยกกลับไปกลับมาถึงสองครั้ง  ก่อนจะอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นช้าๆ แต่ชวนให้ขนลุก !!
                “ช่วยด้วยมันจะฆ่าฉัน” 
คือข้อความที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
                “อะไรนะ !!”  พี่เปี๊ยกร้องเสียงหลงพร้อมกับผมที่ตอนนี้ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
                “ตอนที่เขียนข้อความนี้เจ้าตัวคงทรมานมาก  เพราะต้องเขียนด้วยเลือด” 
น้าเมฆขบกรามแน่นสายตามองตรงไปยังบ้านเราเหมือนจะค้นหาคำตอบอะไรสักอย่าง
“เปี๊ยก..  ไหนลองเล่าเรื่องราวของพวกเอ็งกับสองคนผัวเมียนั่นให้น้าฟังอย่างละเอียดหน่อยสิ  จำอะไรได้เล่ามาให้หมด” 
น้าเมฆบอกพี่เปี๊ยกด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง                                                                                                                                                                             
นั่นคือการเริ่มต้นของการพูดคุยอันเนิ่นนานนับชั่วโมงของพวกเราทั้งสามคน  น้าเมฆถามทุกอย่างที่อยากรู้  แม้แต่บางเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงเพื่อเค้นเอาความทรงจำและการรับรู้จากเราทั้งสองคนให้มากที่สุด  ถามแม้กระทั่งพฤติกรรมในแต่ละวันแต่ละชั่วโมงของพ่อและแม่
อาจจะแปลกใจว่าทำไมผมยังเรียกพวกเขาทั้งสองคนว่าพ่อและแม่อยู่                                                        แต่ผมจะเรียกพวกเขาแบบนี้อีกไม่นานหรอก  ผมสัญญา !!
หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้จนพอใจ  น้าเมฆเอื้อมมือมาจับไหล่ผมกับพี่เปี๊ยกแล้วพูดว่า
“เราคงต้องมีงานทำกันหน่อยแล้วและต้องรีบชิงลงมือเสียก่อนที่ได้สองคนนั้นจะเปลี่ยนแผน” 
สิ้นคำน้าเมฆลุกขึ้นแล้วปีนเข้าไปที่กระบะท้ายรถ  เสียงค้นหาอะไรสักอย่างดังกุกกักอยู่ครู่หนึ่งจึงออกมาพร้อมอุปกรณ์สำคัญบางอย่างที่อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมและพี่ๆ ทั้งสี่คนไปตลอดชีวิต
น้าเมฆหิ้วแกลลอนน้ำมันใบใหญ่และสายยางใสๆ อีกหนึ่งม้วนมาวางตรงหน้าเราทั้งสองคนแล้วปลดนาฬิกาเรือนกลมออกจากข้อมือยื่นให้พี่เปี๊ยก
“เอานาฬิกานี้ติดตัวไว้  ดูเป็นมั๊ย ?” 
น้าเมฆถาม
“พอเป็นครับ” 
พี่เปี๊ยกรับคำแต่น้าเมฆทำสีหน้าไม่มั่นใจ
“เอาอย่างนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาด  เอ็งดูนี่  ดูให้เข็มสั้นกับเข็มยาวมันซ้อนทับกันตรงเลขสิบสองของคืนพรุ่งนี้  มันคือเวลาเที่ยงคืนพอดี” 
น้าเมฆสอนพี่เปี๊ยก
“เพราะฉะนั้นพวกเอ็งต้องทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน  ประมาณห้าทุ่มครึ่งก็ลงมือได้เลย”  น้าเมฆย้ำ
                ผมกับพี่เปี๊ยกเดินกลับบ้านด้วยแกลลอนน้ำมันใบเขื่องพร้อมสายยางหนึ่งขดในมือที่น้าเมฆเป็นคนจัดเตรียมให้      
“เอาซ่อนไว้ไหนดีวะ ?” 
พี่เปี๊ยกบ่นกับตัวเอง
                “ที่ๆ พ่อกับแม่ไม่เห็น” 
ผมเสนอแบบกำปั้นทุบดิน
                “ก็นั่นแหละที่ไหนเล่า” 
พี่เปี๊ยกเกาหัวใช้ความคิด
                “นึกออกแล้ว” 
เสียงพี่เปี๊ยกดีดนิ้วดังเป๊าะ  เขารีเดินตรงไปที่ถังขยะข้างบ้าน  มันเป็นถังน้ำมันเก่าขนาดใหญ่ที่พอจะซ่อนเจ้าอุปกรณ์สำคัญนี้เอาไว้ได้ 
                “เอ็งไปหยิบเศษใบไม้มาคลุมไว้” 
พี่เปี๊ยกบอกผม  ไม่รอช้าผมวิ่งไปกอบใบไม้แห้งมากำใหญ่  รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับภารกิจสำคัญในครั้งนี้
@@@@@
                คืนนั้นการประชุมลับของพี่น้องทั้งห้าคนถูกจัดขึ้นกลางดึกภายในห้องประชุมที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มและแสงไฟจากกระบอกไฟฉายอันจิ๋วของผม
                พี่เปี๊ยกเปิดประชุมด้วยการคลี่กระดาษที่เขียนด้วยเลือดแผ่นนั้นออกให้ทุกคนดู   
แววตาที่หวาดกลัวฉายออกมาจากนัยน์ตาทั้งสามคู่นั้นเมื่อรู้ว่าตัวหนังสือที่เขียนด้วยเลือดนั้นหมายความว่าอะไร
พี่เปี๊ยกเล่าสมมุติฐานของน้าเมฆเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งสามคนฟัง
                “มีคนเคยอยู่ที่นี่มาก่อนเราและมัน...”  
พี่นุชหยุดพูดเหมือนกลั้นหายใจ
                “มันฆ่าพี่แก้ว !!” 
คำพูดของพี่นุชทำให้พี่ส้มและพี่สร้อยตัวสั่นเทิ้ม  ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้สึกได้ถึงความหวดกลัวที่เกิดขึ้นจึงรีบพูดตัดบท
                “พี่นุชเอาอย่างนี้นะ  น้าเมฆจะเป็นคนพาพวกพี่ออกไปพรุ่งนี้เลยตอนเที่ยงคืน” 
พี่เปี๊ยกเริ่มอธิบายถึงแผนการสำคัญ
                “พรุ่งนี้เหรอ !!” 
พี่สร้อยอุทาน
                “เออสิวะ  หรือเอ็งจะรอให้เขาเปลี่ยนใจมาตัวเอ็งไปขายก่อน” 
พี่เปี๊ยกตวาดด้วยเสียงกระซิบแล้วพูดต่อ 
“ส่วนรายละเอียดเราไปหาที่เหมาะๆ คุยกันพรุ่งนี้”
                “ทีนี้เรื่องสำคัญที่น้าเมฆฝากถาม” 
พี่เปี๊ยกมองหน้าพี่นุชเหมือนขอความมั่นใจบางอย่าง
                “พี่นุชจะไปที่ไหน ?” 
พี่เปี๊ยกถาม  พี่นุชเม้มฝีปากเหมือนครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมาอย่างมั่นใจ
                “บ้านคุณลุงใจดีในตลาดหาดใหญ่”
……………………

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น