แผนการเด็ก
จีรวัฒน์ ครองแก้ว
รุ่งเช้าของวันใหม่ดำเนินไปเหมือนปกติ ทุกคนต่างทำภารกิจประจำเหมือนเช่นทุกวัน แต่สิ่งที่ไม่ปกติมีเพียงผมกับพี่เปี๊ยกและพี่นุชเท่านั้นที่รู้
อีกไม่นานทุกคนก็ต้องออกจากบ้านเพื่อไปทำสิ่งที่ซ้ำซากในชีวิต
แต่ตอนนี้ผมยังนอนซมอยู่กับพื้น
!!
“แม่ๆ มาดูไอ้บอยมันหน่อย มันไม่สบาย”
เสียงพี่เปี๊ยกเรียกแม่ดังลั่นบ้าน
“อะไรกันวะ กำลังจะไปแล้วจะมาไม่สบายอะไรกัน”
แม่พูดอย่างหงุดหงิดแล้วเดินตรงรี่มาหาผมที่แอบปรือตาดูอยู่
“ไหนดูสิ”
แม่นั่งลงแล้วยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของผม
“ตายห่า ตัวร้อนจี๋เลย
ไอ้เปี๊ยกมันเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
แม่หันไปถามพี่เปี๊ยก
“ตั้งแต่เมื่อวาน มันท้องเสียก่อน
พอตกกลางคืนก็ตัวร้อนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย พอตอนเช้ายิ่งไปกันใหญ่”
พี่เปี๊ยกแจงเรื่องราวเป็นฉากๆให้แม่เห็น
“มิน่าล่ะเมื่อคืนกูเห็นกุกๆกักๆ
ตอนดึก นึกว่าเอ็งไม่ยอมหลับยอมนอนมัวเล่นอะไรกันอยู่”
แม่บ่นแล้วนิ่งไปสักครู่เหมือนคิดอะไร มือแกล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหาอะไรบางอย่าง
“เอาอย่างนี้ไอ้เปี๊ยกเอ็งอยู่ดูมันก็แล้วกัน เอ้านี่เอาเงินไปซื้อยาแก้ไข้ให้มันด้วย”
แม่ยื่นเงินให้พี่เปี๊ยกยี่สิบบาทก่อนจะสะบัดก้นลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
“เอ้า....พวกเอ็งเตรียมตัวไปกันได้แล้วปล่อยมันสองคนอยู่บ้านนี่แหละ”
แม่หันไปสั่งพี่สาวทั้งสามคน พี่เปี๊ยกยิ้มมุมปากให้ผมแล้วหันไปเรียกพี่นุชเบาๆ
พร้อมขยิบตาให้เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่าง
พี่นุชหันมาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับก่อนที่จะเดินออกไปจากบ้าน
“ได้ผลว่ะไอ้บอย”
พี่เปี๊ยกหันมาบอกผมด้วยอาการดีใจ
ผมสะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง บนหน้าผากตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผ้าชุบน้ำร้อนแล้วบิดหมาดๆ
ของพี่นุชที่มาลูบตามใบหน้าผมตบตาแม่ได้สนิท
“เอ็งไปล้างหน้าล้างตาเร็วเดี๋ยวไปหาน้าเมฆกัน” พี่เปี๊ยกบอก
@@@@@
เสียงเพลงจากวิทยุดังมาจากท้ายรถ
ผมเดาได้ทันทีว่าน้าเมฆจะต้องนอนฟังเพลงอยู่ที่เปลแน่ๆ
เมื่อผมกับพี่เปี๊ยกเดินเข้าไปใกล้ก็เป็นอย่างที่คาด เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเสียงกรนของน้าเมฆดังแข่งกับเสียงเพลงด้วย
“แอะแอ้ม”
พี่เปี๊ยกแกล้งทำเสียงกระแอมไอ มันได้ผลเพราะน้าเมฆค่อยๆ
เปิดเปลือกตาขึ้น
“อ้าวเปี๊ยกกับบอยว่าไง วันนี้ไม่ต้องออกไปกับเขาเหรอ”
น้าเมฆถามพลางค่อยๆ
ลุกขึ้นจากเปลแล้วเดินไปปิดวิทยุ
“นั่งสิ”
น้าเมฆเอาผ้าขาวผ้าที่พาดอยู่บนบ่าปัดเสื่อที่ปูไว้กับพื้นแล้วเรียกเรานั่ง
“ทำยังไงพ่อกับแม่เขาถึงไม่เอาพวกเอ็งไปด้วย”
ดูน้าเปี๊ยกจะสงสัยไม่น้อย
“ฉันให้ไอ้บอยแกล้งไม่สบาย”
พี่เปี๊ยกตอบ
“ทำไมล่ะ”
น้าเมฆถาม
“ฉันกับไอ้บอยมีอะไรจะให้น้าเมฆดู”
น้ำเสียงพี่เปี๊ยกเริ่มจริงจัง
แต่ก่อนที่น้าเมฆจะถามอะไรอีกพี่เปี๊ยกก็ชิงถามขึ้นก่อน
“น้าเมฆอ่านหนังสือออกมั๊ย
?”
“เฮ้ย... ข้าจบมอสามเชียวนะโว้ย
สบายมากเรื่องอ่านหนังสือน่ะขอให้เป็นภาษาไทยก็แล้วกัน ว่าแต่เอ็งจะให้ข้าอ่านหนังสือให้เอ็งฟังเหรอ ข้าว่าฟังวิทยุดีกว่ามั๊ง”
น้าเมฆยิ้มเห็นฟันขาว พี่เปี๊ยกเอากระดาษแผ่นนั้นยื่นให้น้าเมฆตรงหน้า ท่าทีเล่นหัวของน้าเมฆเปลี่ยนไป
“กระดาษอะไร ?”
น้าเมฆถาม น้ำเสียงของเปลี่ยนไปเหมือนเริ่มรู้สึกได้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญ
“ฉันก็ไม่รู้ พวกเราอ่านหนังสือไม่ออกแค่นับเลขได้และจำแบงค์ได้เท่านั้น”
พี่เปี๊ยกตอบและยื่นกระดาษแผ่นนั้นใส่มือน้าเมฆ
น้าเมฆรับไปและคลี่มันออกช้าๆ
หลังจากนั้นแววตาของแกก็เปลี่ยนไป
คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างที่ดูหนักอึ้ง
“เอ็งไปเอากระดาษนี่มาจากไหน
?”
น้าเมฆถามด้วยดวงตาและน้ำเสียงที่จริงจัง
“ไอ้บอยมันไปเจอซ่อนอยู่ในหนังสือเก่าที่เราใช้ขอทาน
เอ๊ย... ใช้เดินเร่ขายกันทุกวันนั่นแหละ”
พี่เปี๊ยกตอบพร้อมกับชะโงกหน้าไปดูกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง
“อ่านว่าอะไรน้าเมฆ มันเขียนด้วยเลือดใช่มั๊ย ?”
พี่เปี๊ยกถาม
“ใช่ มันเขียนด้วยเลือด !!”
น้าเมฆตอบสั้นๆ
แต่ท่าทางเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“ฉันว่ามันต้องเขียนเรื่องสำคัญไว้แน่เลย”
พี่เปี๊ยกเปรย
“กระดาษแผ่นนี้มันซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนั้นนานหรือยัง”
น้าเมฆถาม
“กระดาษแผ่นนั้นมันซ่อนอยู่นานแค่ไหนฉันไม่รู้
รู้แต่ว่าหนังสือเล่มนั้นฉันเห็นมันมาตั้งแต่จำความได้ มันอาจจะอยู่ในนั้นมาตลอด”
พี่เปี๊ยกพยายามทบทวนความจำในขณะที่ผมแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นิ่งฟังทั้งสองคนคุยกัน
น้าเมฆละสายตาจากกระดาษแผ่นนั้นแล้วหันมามองผมกับพี่เปี๊ยกกลับไปกลับมาถึงสองครั้ง ก่อนจะอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นช้าๆ
แต่ชวนให้ขนลุก !!
“ช่วยด้วยมันจะฆ่าฉัน”
คือข้อความที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
“อะไรนะ !!” พี่เปี๊ยกร้องเสียงหลงพร้อมกับผมที่ตอนนี้ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ตอนที่เขียนข้อความนี้เจ้าตัวคงทรมานมาก เพราะต้องเขียนด้วยเลือด”
น้าเมฆขบกรามแน่นสายตามองตรงไปยังบ้านเราเหมือนจะค้นหาคำตอบอะไรสักอย่าง
“เปี๊ยก.. ไหนลองเล่าเรื่องราวของพวกเอ็งกับสองคนผัวเมียนั่นให้น้าฟังอย่างละเอียดหน่อยสิ จำอะไรได้เล่ามาให้หมด”
น้าเมฆบอกพี่เปี๊ยกด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง
นั่นคือการเริ่มต้นของการพูดคุยอันเนิ่นนานนับชั่วโมงของพวกเราทั้งสามคน น้าเมฆถามทุกอย่างที่อยากรู้
แม้แต่บางเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงเพื่อเค้นเอาความทรงจำและการรับรู้จากเราทั้งสองคนให้มากที่สุด
ถามแม้กระทั่งพฤติกรรมในแต่ละวันแต่ละชั่วโมงของพ่อและแม่
อาจจะแปลกใจว่าทำไมผมยังเรียกพวกเขาทั้งสองคนว่าพ่อและแม่อยู่ แต่ผมจะเรียกพวกเขาแบบนี้อีกไม่นานหรอก ผมสัญญา !!
หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้จนพอใจ น้าเมฆเอื้อมมือมาจับไหล่ผมกับพี่เปี๊ยกแล้วพูดว่า
“เราคงต้องมีงานทำกันหน่อยแล้วและต้องรีบชิงลงมือเสียก่อนที่ได้สองคนนั้นจะเปลี่ยนแผน”
สิ้นคำน้าเมฆลุกขึ้นแล้วปีนเข้าไปที่กระบะท้ายรถ
เสียงค้นหาอะไรสักอย่างดังกุกกักอยู่ครู่หนึ่งจึงออกมาพร้อมอุปกรณ์สำคัญบางอย่างที่อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมและพี่ๆ
ทั้งสี่คนไปตลอดชีวิต
น้าเมฆหิ้วแกลลอนน้ำมันใบใหญ่และสายยางใสๆ
อีกหนึ่งม้วนมาวางตรงหน้าเราทั้งสองคนแล้วปลดนาฬิกาเรือนกลมออกจากข้อมือยื่นให้พี่เปี๊ยก
“เอานาฬิกานี้ติดตัวไว้ ดูเป็นมั๊ย ?”
น้าเมฆถาม
“พอเป็นครับ”
พี่เปี๊ยกรับคำแต่น้าเมฆทำสีหน้าไม่มั่นใจ
“เอาอย่างนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาด เอ็งดูนี่
ดูให้เข็มสั้นกับเข็มยาวมันซ้อนทับกันตรงเลขสิบสองของคืนพรุ่งนี้ มันคือเวลาเที่ยงคืนพอดี”
น้าเมฆสอนพี่เปี๊ยก
“เพราะฉะนั้นพวกเอ็งต้องทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน ประมาณห้าทุ่มครึ่งก็ลงมือได้เลย” น้าเมฆย้ำ
ผมกับพี่เปี๊ยกเดินกลับบ้านด้วยแกลลอนน้ำมันใบเขื่องพร้อมสายยางหนึ่งขดในมือที่น้าเมฆเป็นคนจัดเตรียมให้
“เอาซ่อนไว้ไหนดีวะ
?”
พี่เปี๊ยกบ่นกับตัวเอง
“ที่ๆ พ่อกับแม่ไม่เห็น”
ผมเสนอแบบกำปั้นทุบดิน
“ก็นั่นแหละที่ไหนเล่า”
พี่เปี๊ยกเกาหัวใช้ความคิด
“นึกออกแล้ว”
เสียงพี่เปี๊ยกดีดนิ้วดังเป๊าะ เขารีเดินตรงไปที่ถังขยะข้างบ้าน
มันเป็นถังน้ำมันเก่าขนาดใหญ่ที่พอจะซ่อนเจ้าอุปกรณ์สำคัญนี้เอาไว้ได้
“เอ็งไปหยิบเศษใบไม้มาคลุมไว้”
พี่เปี๊ยกบอกผม ไม่รอช้าผมวิ่งไปกอบใบไม้แห้งมากำใหญ่
รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับภารกิจสำคัญในครั้งนี้
@@@@@
คืนนั้นการประชุมลับของพี่น้องทั้งห้าคนถูกจัดขึ้นกลางดึกภายในห้องประชุมที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มและแสงไฟจากกระบอกไฟฉายอันจิ๋วของผม
พี่เปี๊ยกเปิดประชุมด้วยการคลี่กระดาษที่เขียนด้วยเลือดแผ่นนั้นออกให้ทุกคนดู
แววตาที่หวาดกลัวฉายออกมาจากนัยน์ตาทั้งสามคู่นั้นเมื่อรู้ว่าตัวหนังสือที่เขียนด้วยเลือดนั้นหมายความว่าอะไร
พี่เปี๊ยกเล่าสมมุติฐานของน้าเมฆเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งสามคนฟัง
“มีคนเคยอยู่ที่นี่มาก่อนเราและมัน...”
พี่นุชหยุดพูดเหมือนกลั้นหายใจ
“มันฆ่าพี่แก้ว !!”
คำพูดของพี่นุชทำให้พี่ส้มและพี่สร้อยตัวสั่นเทิ้ม
ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้สึกได้ถึงความหวดกลัวที่เกิดขึ้นจึงรีบพูดตัดบท
“พี่นุชเอาอย่างนี้นะ
น้าเมฆจะเป็นคนพาพวกพี่ออกไปพรุ่งนี้เลยตอนเที่ยงคืน”
พี่เปี๊ยกเริ่มอธิบายถึงแผนการสำคัญ
“พรุ่งนี้เหรอ !!”
พี่สร้อยอุทาน
“เออสิวะ
หรือเอ็งจะรอให้เขาเปลี่ยนใจมาตัวเอ็งไปขายก่อน”
พี่เปี๊ยกตวาดด้วยเสียงกระซิบแล้วพูดต่อ
“ส่วนรายละเอียดเราไปหาที่เหมาะๆ
คุยกันพรุ่งนี้”
“ทีนี้เรื่องสำคัญที่น้าเมฆฝากถาม”
พี่เปี๊ยกมองหน้าพี่นุชเหมือนขอความมั่นใจบางอย่าง
“พี่นุชจะไปที่ไหน ?”
พี่เปี๊ยกถาม พี่นุชเม้มฝีปากเหมือนครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมาอย่างมั่นใจ
“บ้านคุณลุงใจดีในตลาดหาดใหญ่”
……………………
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น