วงล้อมซาตาน
ภาพจาก http://www.sociology.org/wp-content/uploads/19706975.jpg จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ผมกับพี่เปี๊ยกสะดุ้งตื่นตามเสียงกุกกักที่ดังมาจากด้านใน ความจริงผมไม่ได้หลับสักเท่าไหร่หรอก
เรื่องราวทั้งหมดวนเวียนเข้ามาในหัวให้คิดแทบตลอดคืน
คิดถึงพี่สาวทั้งสามคน
คิดถึงน้าเมฆผู้ที่ไม่ใช่ญาติแต่ยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเด็กห้าคนที่ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเอง
คิดถึงลุงอรุณผู้ใจดีที่โอบอุ้มเด็กสาวทั้งสามคนไว้ด้วยจิตใจที่อ่อนโยน
คิดถึงเจ้าปานและสนามเด็กเล่นที่ผมคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเล่นอีกต่อไป
แต่ตอนนี้ผมคิดถึงใครไม่ได้อีกแล้ว
“ไอ้สองคนรีบอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้าไปซื้อของในตลาดด้วยกัน”
เสียงของคนที่ผมยังจำใจต้องเรียกว่าแม่ร้องสั่งมาจากในห้อง
ตลาด
!! พวกเขาจะไปซื้ออะไรกัน ผมไม่อยากคาดเดา รู้แต่เพียงว่าต่อจากนี้ไปผมกับพี่เปี๊ยกสองคนคงต้องถูกเขาควบคุมอย่างไม่คลาดสายตา
เมื่อจัดการกับธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย คนอีกคนหนึ่งที่ผมยังต้องจำใจเรียกว่าพ่อเดินนำหน้าพวกเราก้าวพ้นประตูห้อง
ทันทีที่ก้าวมายืนอยู่ด้านนอก จินตนาการท่ามกลางความมืดของผมเมื่อคืนก็ปรากฏเป็นจริงอยู่ตรงหน้า
ด้านหน้าของห้องเช่านับสิบห้องคือถนนเล็กๆ
ที่ทอดขนานไปกับทางรถไฟ
ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่นับร้อยห้องทอดตัวไปตามแนวถนนกับทางรถไฟเช่นกัน
ต่างกันตรงที่ระหว่างทางรถไฟกับถนนฝั่งนั้นมีรั้วตาข่ายสูงท่วมหัวกั้นเป็นแนวยาว ผมเหมือนถูกตัดขาดออกจากสังคมอีกส่วนหนึ่งเหมือนเดิมไม่มีผิด
มองไปด้านซ้ายมือผมเห็นขบวนรถไฟจอดอยู่สองขบวน
ถัดไปเป็นอาคารชั้นเดียวหลังคามุงด้วยกระเบื้องตั้งขนานไปกับทางรถไฟและถนน
ป้ายขนาดใหญ่สีขาวด้านหน้าตรงอาคารนั้นบอกให้รู้ได้ในทันทีว่ามันคือสถานีรถไฟ
ที่ซุกหัวนอนใหม่ของเราห่างจากสถานีรถไฟเพียงไม่กี่เสาไฟฟ้า
?
ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็มีเสียงเรียกพ่อมาจากด้านหลัง
“หวัดดีพี่ชด”
ทุกคนหันไปมองตามเสียง ชายร่างสันทัดผิวคล้ำไว้หนวดเฟิ้มจนดูรกลูกตาเดินเข้ามาใกล้พวกเรา
เขาคือคนที่ชายหน้าบากพูดถึงเมื่อคืน
“หวัดดีเอ็งคงชื่อเพิงใช่มั๊ย
?” พ่อถาม
“ใช่ฉันเอง ยินดีต้อนรับพี่”
สำเนียงพูดของเขาปนเหน่อเล็กน้อยแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ยังไงข้าขอมาเป็นเพื่อนบ้านด้วยคนนะ”
พ่อบอกพร้อมเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบาๆ
“ด้วยความยินดีเลยพี่ ได้มือดีๆ อย่างพี่มาอยู่ใกล้ๆ
พวกฉันคงมีอะไรทำสนุกๆอีกเยอะ”
คนชื่อเพิงตอบพร้อมยิ้มฟันขาว ผมมองเข้าไปในตาของเขาเห็นแววของความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่ผ่านมา
แม้ว่าการพูดคุยของพวกเขาจะดูเปิดเผยสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกมากขึ้น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาคุยกัน
คำว่า
“มือดี” ที่ว่านั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไร
คนที่โหดเหี้ยมและดิบเถื่อนอย่างนี้จะเป็นมือดีได้อย่างไร
?
รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ผมเรียกเขาว่าพ่อ
ความรู้สึกสะอิดสะเอียดจะอัดแน่นขึ้นมาที่คอหอย !!
@@@@@
รถกระบะคันเก่าพาเราตระเวนเข้าไปในตลาด
ผมสังเกตว่าเขาตั้งใจที่จะขับวนไปมารอบเมืองเพื่อให้รู้เส้นทาง
พิษณุโลกใหญ่และเจริญกว่าที่ผมคิด
ถนนหนทางและร้านรวงอัดแน่นและดูยุ่งเหยิงไม่น้อยไปกว่าหาดใหญ่ ดูเหมือนรถราที่นี้จะมีมากกว่าด้วยซ้ำ
บางครั้งเครื่องบินลำใหญ่ก็บินผ่านหัวผมไปเหมือนกำลังจะร่อนที่หลังตึกข้างหน้า
ถ้าการอยู่ที่หาดใหญ่มันไม่เคยมีอะไรง่าย ที่นี่ก็คงไม่ง่ายเหมือนกัน
ดีแต่ว่าสำเนียงพูดคุยของคนที่นี่ไม่ทำให้ผมต้องเดาความหมายให้ปวดหัว
รถกระบะสัปปะรังเคคันเดิมพาเราวนไปรอบๆ
เมืองกว่าครึ่งชั่วโมง
ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ร้านขายของขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ในร้านเต็มไปด้วยอุปกรณ์ขายของสำหรับแม่ค้า
แม่เข้าไปในร้านเพียงคนเดียวปล่อยให้พ่อนั่งเฝ้าผมกันพี่เปี๊ยกอยู่ในรถ
“เอ็งว่าเขาจะซื้ออะไร”
พี่เปี๊ยกถามขึ้นมาลอยๆ
“ซื้อของใช้ในบ้านมั๊ง”
ผมตอบซื่อๆ
เพราะคาดเดาอะไรไม่ออกจริงๆ
“ไม่ใช่หรอก ข้ารู้ว่าเขากำลังจะหาอะไรให้เราทำ เขาไม่ปล่อยให้เรากินข้าวฟรีๆ หรอก”
พี่เปี๊ยกตอบด้วยแววตาขึ้งเครียด
แต่เขาก็คาดไม่ผิด แม่เดินมาที่รถพร้อมกับเด็กประจำร้านที่ยกอุปกรณ์มาด้วยหลายอย่าง มีทั้งรถเข็น เตา ที่ปิ้งลูกชิ้น หม้อลูกใหญ่ที่มีหูหิ้ว
ผมกับพี่เปี๊ยกมองหน้ากันต่างคนต่างรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับ
พี่เปี๊ยกเอื้อมมือไปจับของเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
“ไอ้บอย เอ็งกับข้ากำลังจะกลายเป็นพ่อค้าลูกชิ้น” พี่เปี๊ยกบอกผม
“ดีสิฉันจะได้กินลูกชิ้นให้อร่อยไปเลย”
ผมแสร้งทำน้ำเสียงให้ดูเหมือนตื่นเต้นเล็กน้อย
“ฝันไปเถอะ
เอ็งกับข้าคงจะได้กินน้ำจิ้มลูกชิ้นคลุกข้าวมากกว่า”
คำตอบของพี่เปี๊ยกฟังดูโหดร้ายเกินไป แต่มันก็ไม่ไกลจากความเป็นจริง
พ่อขับรถมาที่ตลาดอีกแห่งหนึ่งเพื่อแวะซื้อลูกชิ้นถุงใหญ่ คะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะมีอยู่หลายร้อยลูก ทั้งลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นหมู
ลูกชิ้นปลา
มันทำให้ผมฝันหวานถึงกลิ่นหอมๆ ของมันตอนที่ปิ้งอยู่บนเตาทันที
แต่ก็ได้แค่คิด
!!
เมื่อกลับมาถึงห้อง คนชื่อเพิงยืนรอพ่ออยู่หน้าห้องกับชายคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
เสื้อลายสก็อตสีฟ้าสอดอยู่ในกางเกงยีนสีน้ำเงินที่มีเข็มขัดเส้นใหญ่สีน้ำตาลคาดอยู่ หัวเข็มขัดเป็นรูปเสือสีดำกำลังกระโจนตะปปเหยื่อ
ลักษณะการแต่งตัวทำให้ชายคนนี้ดูแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ
ด้วยหน้าตาท่าทางที่นิ่งเงียบ แต่ดูเหมือนซ่อนอะไรไว้มากมายและอาการนอบน้อมของนายเพิงที่มีต่อชายคนนี้บ่งบอกว่าเขาคงเป็นคนสำคัญ
“โอ้โฮว่าไงจ่านพ ทำไมมาถึงที่นี่ได้”
พ่อทักทายชายคนนั้นทันทีที่ปิดประตูรถ
“ไอ้พวนมันส่งข่าวข้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะมีเสือพลัดถิ่นมาที่นี่ ข้าเลยต้องรีบมาดักรอเสือหลงซะหน่อย ไม่งั้นมันจะจับเหยื่อที่นี่ไปกินซะหมด”
เสียงของเขาหนักแน่นและนิ่งเย็นพอๆ
กับแววตา
“มิบังอาจจ่านพ ฉันมันก็แค่เสือลำบากตัวนึงเท่านั้นแหละ”
เสียงหัวเราะร่วนดังตามมาเมื่อสิ้นเสียงสัพยอก ดูจากรูปการแล้วทุกคนต่างกริ่งเกรงคนที่ชื่อจ่านพคนนี้ไม่น้อยทีเดียว
“แล้วนี่พี่เชิดไปซื้ออะไรมาเยอะแยะ”
คนชื่อเพิงถามพลางชะโงกหน้าไปดูของบนรถ
“ไปซื้ออุปกรณ์จะให้ไอ้สองตัวนี่มันขายลูกชิ้นปิ้ง”
พ่อตอบแล้วชี้มาทางผมกับพี่เปี๊ยก
“ดีเลย
ถ้างั้นก็ไปขายที่สถานีรถไฟนั่นแหละเดี๋ยวฉันเคลียร์ทางกับนายสถานีให้เอง รับรองไม่มีปัญหาที่นี่ถิ่นฉัน แต่ตอนนี้เราเข้าไปเข้าไปคุยธุระเราในห้องฉันก่อนดีกว่า เรื่องเตรียมขายของปล่อยให้พี่ณีเขาจัดการเถอะ”
คนชื่อเพิงพูดเสร็จก็เดินหันหลังไปเปิดประตูห้อง
“ไปไอ้เชิดข้ามีงานสำคัญจะให้เอ็งทำ”
จ่านพพูดพลางเอามือโอบไหล่พ่อเดินตามเข้าไปในห้องนายเพิง
@@@@@
ของที่ซื้อมาทั้งหมดถูกเอาไปวางไว้หลังบ้าน
ผมกับพี่เปี๊ยกถูกสั่งให้เตรียมทุกอย่างตั้งแต่ติดเตา ล้างอุปกรณ์
เสียบลูกชิ้นใส่ไม้ โขลกพริกทำน้ำจิ้ม
เธอชี้นิ้วสั่งโดยไม่คิดจะแตะต้องของพวกนั้นไม่แต่น้อยและไม่แม้แต่จะถามผมกับพี่เปี๊ยกว่าเต็มใจที่จะทำงานนี้หรือเปล่า
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เอ็งสองคนมีหน้าที่เตรียมของทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วเข็นลูกชิ้นไปขายที่สถานีรถไฟ
ลูกชิ้นทั้งหมดมีสองร้อยไม้
พวกเอ็งต้องขายให้หมด
ถ้าไม่หมดข้าจะให้เอ็งกินข้าวกับน้ำจิ้มลูกชิ้นนี่แหละ”
เสียงของเธอยิ่งฟังดูไร้ความปราณีมากขึ้นทุกที พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผมเหมือนจะบอกว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้นไม่ผิดไปจากความจริงสักนิด
“ไอ้บอย เอ็งไม่ใช่เด็กแล้วต่อไปนี้เอ็งต้องเอาลูกชิ้นใส่ถาดเข้าไปเดินขายในสถานีและบนรถไฟ ส่วนไอ้บอยเอ็งรู้มากนัก
เอ็งไม่ต้องไปไหนข้าจะให้ยืนปิ้งลูกชิ้นเฝ้ารถเข็นอยู่ข้างหน้าสถานีนั่นแหละ
ไม่ต้องห่วงหรอกข้าจะเฝ้าพวกเอ็งอยู่ที่นั่นทั้งวัน”
เธอแจกแจงแบ่งงานให้ผมกับพี่เปี๊ยกที่กำลังก้มหน้าก้มตาช่วยกันเสียบลูกชิ้นใส่ไม้ ในขณะที่ความหวาดกลัวที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนานกำลังก่อตัวเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในความเงียบลึกข้างใน
!!
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรต่อเสียงหัวเราะก็ดังมาจากห้องข้างๆ
ครืนใหญ่
แต่ดูเหมือนมันจะกลายเป็นเสียงสนับสนุนให้เธอพูดต่อ
“แล้วเอ็งสองคนก็ไม่ต้องคิดหนีเหมือนอีสามตัวนั่นหล่ะ เอ็งก็เห็นใช่มั๊ยว่าที่นี่มันถิ่นของใคร ตอนนี้สายตาของพี่ชดเป็นสัปปะรด มันไม่ง่ายเหมือนที่หาดใหญ่นะโว๊ย”
เธอพูดพลางเอาปลายนิ้วชิ้วไปที่กลางหน้าผากของพี่เปี๊ยกจนหน้าหงาย ผมเห็นพี่เปี๊ยกก้มหน้ากัดฟันกรอด
ความจริงเราปฏิเสธสิ่งที่เธอพูดไม่ได้ ตอนนี้สภาพของผมกับพี่เปี๊ยกไม่ต่างอะไรกับเหยื่ออันโอชะ
ที่ตกอยู่ในวงล้อมของซาตาน !!
คำขู่ของเธอถูกตัดบทด้วยเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาในห้องเสียก่อน
“เสร็จกันหรือยังหละ” คนชื่อเพิงถาม
“อีกนิดเดียวจ๊ะเหลือทำน้ำจิ้มอีกหน่อย” แม่ตอบ
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะล่วงหน้าที่คุยกับนายสถานี ถ้าเสร็จแล้วก็เข็นไปที่นั่นได้เลยฉันจะรออยู่”
นายเพิงหันหลังกลับออกไปเหลือแต่พ่อซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกเขาว่านายชด ส่วนเธออีกคนผมจะเรียกว่าน้าณี
มันสุภาพและพอฟังได้ที่สุดแล้วกับความรู้สึกจริงๆ
ที่ผมมี !!
@@@@@
พี่เปี๊ยกจูงรถเข็นขายลูกชิ้นโดยมีผมเดินเกาะไปด้วย ส่วนน้าณีเธอเดินตัวเปล่าคุมเราอยู่ด้านหลัง มีเพียงเข็มขัดกระเป๋าที่เตรียมไว้ใช้ทอนเงินรัดเอวเท่านั้น
จากห้องเช่าผมเดินนับเสาไฟฟ้ามาถึงสถานีรถไฟได้แปดเสา
ใช้เวลาเดินไม่เกินสิบนาทีเราก็มาหยุดยืนอยู่หน้าสถานีที่เต็มไปด้วยรถสองแถวและผู้คนที่กำลังเดินทาง
เสียงประชาสัมพันธ์จากเครื่องขยายเสียงดังขึ้นเป็นระยะพอจับใจความได้ว่า ขบวนรถจะมีทั้งขึ้นและล่อง ปลายทางขาขึ้นคือจังหวัดเชียงใหม่ ปลายทางขาลงคือกรุงเทพฯ
ผมจะขึ้นหรือล่องดีล่ะ ?
“ไอ้บอยมัวแต่เหม่ออะไรวะ จัดลูกชิ้นใส่ถาดซิ”
เสียงน้าณีตะกอกใส่ผมจะสะดุ้ง
“มาพอดีเลยแม่ณีนี่พี่เกียรติ์ ผู้ช่วยนายสถานีที่นี่”
นายเพิงเดินมาตอนไหนผมไม่ได้ทันเห็น เขาแนะนำคนๆ หนึ่งที่ใส่เครื่องแบบสีกากีให้น้าณีรู้จัก
“ก็ช่วยๆ
ผมหน่อยอย่าขายให้เกะกะก็แล้วกัน บางทีนายจากเขตมาตรวจเดี่ยวจะซวยกันหมด”
คนชื่อเกียรติ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“จ๊ะคุณผู้ช่วย
แหมขอบคุณมากนะค่ะแล้วฉันจะให้ไอ้บอยเอาลูกชิ้นไปฝากทุกวันเลย”
น้าณีออกอาการประจบออกนอกหน้า
“อ้อ..
คุณผู้ช่วยฉันขอฝากรบกวนสักเรื่องได้มั๊ยค่ะ”
น้าณีถาม
“คือไอ้บอยลูกคนเล็กฉันมันเกเรมาก ชอบหนีไปเที่ยวบ่อยๆ
ถ้ารถไฟจะออกแล้วมันไม่ยอมลงจากขบวนรถ
ช่วยให้ใครไล่มันลงเลยนะจ๊ะไม่ต้องเกรงใจ
ถ้ามันดื้อก็ตีมันเลย”
คำพูดของน้าณีทำให้ผมเจ็บแปลบไปในความรู้สึก
“ก็ได้”
คนในเครื่องแบบรับปากแล้วเดินกลับไป
“ไอ้หนูเอ็งเกเรจริงๆ
เหรอวะ?”
คนชื่อเพิงถามผมแต่น้าณีชิงตอบแทน
“เพราะพวกมันนี่แหละฉันกับพี่ชดถึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาที่นี่ไง ไอ้พวกนี้มันแสบต้องกำราบมันไว้พี่เพิง”
เธอพูดเหมือนยกความผิดทั้งหมดมาให้ผมกับพี่เปี๊ยก แต่ก็ดูเหมือนได้ผลเพราะคำพูดของนายเพิงที่ย้อนกลับมาบ่งบอกในทันทีว่าเขาเป็นคนอันตรายที่ผมกับพี่เปี๊ยกต้องอยู่ห่างๆ
เข้าไว้
“ไอ้หนูเอ็งอยู่ที่นี่ซ่าส์ไม่ได้หรอกโว๊ย
เอ็งรู้ไว้ด้วยว่าเด็กที่ขายของในสถานีรถไฟนี่คนของข้าทั้งนั้น แค่เอ็งขยับนิดเดียวเท่านั้น มันจะมารุมฉีกเนื้อเอ็งเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือน”
นายเพิงพูดพลางจ้องมองเขม็งเข้ามาในตาผม มันเหมือนแววตาของซาตานที่กำลังจ้องเหยื่อ !!
.........................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น