วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 15)

ภาพสุดท้าย



ภาพจาก http://www.rferl.org/content/article/1077069.html                                   จีรวัฒน์ ครองแก้ว

                ชีวิตพ่อค้าลูกชิ้นปิ้งของผมกับพี่เปี๊ยกเริ่มเห็นเค้ารางของความซ้ำซากจำเจไม่ต่างจากการเร่ขายหนังสือเก่าสับปะรังเคที่หาดใหญ่  มันแค่ทำให้ความรู้สึกดีกว่าตรงที่เราได้ขายของกันจริงๆ  ไม่ได้ลวงโลกเหมือนที่ผ่านมา
          แต่มันยังคงเป็นการขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับลมหายใจ !!
          ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมกับพี่เปี๊ยกไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของลูกชิ้นที่หอมเตะจมูกอยู่แค่เอื้อมแม้แต่ครั้งเดียว  กับข้าวหลักของเราเป็นน้ำพริกค้างถ้วยที่มีผักจิ้มเหี่ยวๆ หนึ่งจานกับปลาทูตัวเล็กๆ ที่เหลือซากมาจากคนอื่น
            กลิ่นลูกชิ้นและเสียงหวูดรถไฟกลายเป็นสิ่งใกล้ตัวแต่ห่างไกลจากสัมผัสเหลือเกินสำหรับผมและพี่เปี๊ยก  ผมอดไม่ได้ที่จะจินตนาการต่อไปถึงอนาคตว่าจะต้องแบกถาดลูกชิ้นขายบนรถไฟนี้ไปอีกนานแค่ไหน  หรือว่าจะต้องขายไปจนผมเป็นหนุ่ม  จนแก่และตายไปกับลูกชิ้นและเสียงรถหวูดไฟอย่างนั้นหรือ
            “ข้าเห็นช่องทางหนีแล้วไอ้บอย” 
            คำพูดของพี่เปี๊ยกที่กระซิบข้างหูกลางดึกทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความกลัวขึ้นมาในทันที
            “น้าณีไม่ยอมให้เราคลาดสายตาเลยแล้วเราจะหนียังไง ?” 
ผมกระซิบถาม  พี่เปี๊ยกเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบบางอย่างออกมา  มันเป็นแผ่นกระดาษที่ถูกพับไว้อย่างดี
“เอ็งเอาไฟฉายๆ ให้หน่อย” 
พี่เปี๊ยกกระซิบบอกแล้วรีบเอามือเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาคลุมเราทั้งสองคนเอาไว้  ผมเปิดไฟฉายส่องไปยังแผ่นกระดาษที่พี่เปี๊ยกกำลังคลี่ออก
“เอ็งรู้มั๊ยว่านี่อะไร ?”
พี่เปี๊ยกถามผมในขณะที่มองไปบนแผ่นกระดาษที่มีแต่ตัวเลขซึ่งเขียนด้วยลายมืออันโย้เย้เรียงกันเป็นแถวเต็มไปหมด 
“มันคือเลขอะไรล่ะพี่”  ผมถาม
“มันคือเวลาที่ขบวนรถไฟเข้าออกที่สถานีไง  แถวซ้ายมือคือขบวนขาขึ้น  แถวขวามือคือขบวนขาล่อง” 
พี่เปี๊ยกอธิบายตัวเลขที่ดูสับสนให้ผมฟังแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจแผนการของแกอยู่ดี  รู้แต่ว่าทั้งหมดมันคือความพยายามตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาของพี่เปี๊ยกพี่ทั้งจำและจดการเข้าออกของรถไฟทุกขบวนเอาไว้อย่างละเอียด  แม้ความรู้ในการอ่านและเขียนของเขาจะใช้วิธีแอบฝึกแบบงูๆปลาๆก็ตาม 
“เราจะเดินผ่านสถานีไปขึ้นรถไฟได้ยังไงล่ะพี่เปี๊ยก  คนของพวกมันเต็มไปหมด” 
ผมบอกพี่เปี๊ยกไปตามที่คิด  แต่แผนการที่พี่เปี๊ยกคิดไว้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคิด
“แล้วเอ็งจะผ่านสถานีเข้าไปให้มันรุมกระทืบทำไมเล่า”
พี่เปี๊ยกยิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ไอ้บอยเอ็งเห็นนี่มั๊ย”
พี่เปี๊ยกชี้ไปที่ตัวเลขแถวขวามือบนกระดาษ
“ทุกวันตอนเช้ามืดมันจะมีรถไฟขาล่องมาถึงสถานีประมาณตีห้าครึ่ง”
พี่เปี๊ยกเริ่มอธิบาย
“แล้วไงพี่เราจะไปซื้อตั๋วตอนไหน”
ผมถามออกไปด้วยอาการพาซื่อ
“ไม่ใช่ไอ้บอย”
พี่เปี๊ยกเน้นเสียงแล้วส่ายหน้าเหมือนรำคาญก่อนจะอธิบายต่อ
“เราจะไม่ซื้อตั๋วแต่เราจะกระโดดขึ้น”
พี่เปี๊ยกหยุดพูดแล้วหันมามองหน้าผมเหมือนจะให้แน่ใจว่าจะไม่พูดแทรกแบบโง่ๆ อีก
“ไอ้รถไฟขบวนนี้ข้าสังเกตทุกวันว่ามันจะเป็นขบวนที่ยาวกว่าเพื่อน  โบกี้สุดท้ายมันจะต่อยาวมาจนเยื้องกับหน้าห้องนี้”
พี่เปี๊ยกหยุดพูดอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
“ข้ากะด้วยสายตาแล้วมันน่าจะห่างจากหน้าห้องนี้ไปประมาณสักห้าช่วงเสาไฟฟ้า   เราน่าจะวิ่งไปทันก่อนที่มันจะออกจากสถานี  แต่ปัญหาก็คือ.....” 
คราวนี้พี่เปี๊ยกหยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่
            “ปัญหาอะไรล่ะพี่เปี๊ยก พี่กลัวฉันวิ่งไม่ไหวเหรอ  โธ่แค่นี้สบายมาก”
            ผมคุยอวดไปก่อนเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า  ตราบใดที่มีมีพี่เปี๊ยกอยู่ถึงจะยากเย็นกว่านี้ก็ต้องทำได้  แต่เหตุผลที่พี่เปี๊ยกตอบกลับมากลับทำให้ความคะนองที่มีหายไปแทบหมดสิ้น
            “เอ็งไม่สังเกตเหรอว่า  ตอนตีห้าครึ่งนะเรายังเตรียมลูกชิ้นกับน้ำจิ้มกันอยู่หลังบ้าน  กว่าน้าณีจะเปิดประตูให้เอาลูกชิ้นกับของไปวางไว้ที่รถเข็นมันก็หกโมงเช้าทุกที”
            จริงอย่างที่พี่เปี๊ยกว่า  ตั้งแต่เราถูกพามาอยู่ที่นี่  เราไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนกันเพียงลำพังสองคนพี่น้อง  ทุกฝีก้าวที่พ้นออกจากประตูห้องหมายถึงทุกฝีก้าวที่น้าณีจะต้องตามติดไปเหมือนเงา  หรือหากว่าพวกเขาสองคนต้องมีธุระออกไปข้างนอกประตูห้องก็จะถูกใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนา  ทิ้งผมกับพี่เปี๊ยกสองคนไว้ข้างในเหมือนนักโทษ
          “ถ้าเราไม่ไปกับรถไฟขบวนนี้ให้ได้  เราก็จะไม่มีโอกาสอีกเลย” 
            พี่เปี๊ยกพูดขึ้นลอยๆ  แล้วเอามือกุมขมับเหมือนคิดอะไรไม่ออก
            “เราต้องหาเรื่องให้เขาเปิดประตู”
            ผมพูดขึ้นบ้าง แต่คราวนี้พี่เปี๊ยกเห็นด้วย
            “ใช่..  เอ็งพูดถูก  แต่จะทำยังไงหล่ะ ?”
            “เราบอกว่าลืมของสิ” 
            ผมออกอุบาย
            “เออ.. เข้าท่าดีเหมือนกัน  เอาอย่างนี้  วันที่เราจะหนี  ข้าจะแอบเอาถุงน้ำตาลไปซ่อนไว้ในรถเข็น”
            ก่อนเข้านอนคืนนั้น  ผมได้กลิ่นของเสรีภาพโชยเข้ามาเตะจมูก  พร้อมๆ กับภาพของพี่สาวสามคนที่ลอยเข้ามาในความคิดคำนึง
@@@@@

            เสียงเคาะประตูตอนเช้ามืดปลุกผมกับพี่เปี๊ยกให้ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาเล็กน้อย  คนที่เดินผ่านประตูเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นนายเพิง 
            “มีอะไรวะเพิงปลุกกันแต่เช้าเชียว” 
            น้าชดถามแล้วพานายเพิงเดินเข้าไปในบ้าน 
            “อ๋อ... มันก็ไม่เชิงเรื่องด่วนนักหรอก  แต่มันเกี่ยวกับไอ้เด็กสองคนนี่”
คำตอบของนายเพิงทำให้ผมกับพี่เปี๊ยกหันมามองหน้าพร้อมกัน
“ทำไมมันไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า ?” 
น้าชดถามด้วยน้ำเสียงที่ราวกับพร้อมที่จะยื่นอาญาสิทธิ์ในการลงโทษให้ทีเดียว
“เปล่าหรอก  คือช่วงนี้ตำรวจรถไฟมันออกอาการคุมเข้มตามเจ้านายใหม่  ไอ้พวกเด็กของฉันมันเลยกลายเป็นเป้า จะขยับตัวทำอะไรก็ลำบาก  เลยคิดว่าอยากจะขออนุญาตพี่ชดให้ไอ้เปี๊ยกหรือไอ้บอยมันมาส่งของแทนเด็กฉัน”
ส่งของ !! ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่าส่งของ  แต่พี่เปี๊ยกดูเหมือนจะเข้าใจดีกว่า  แกขบกรมแน่น  เปลือกตาเต้นระริกด้วยความโกรธ
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่  พวกผมจัดสรรปันส่วนมาทางพี่ด้วย  ถึงจะเป็นพวกรายย่อยแต่ก็ได้ตลอด  เงินทองไม่ขาดมือ” 
นายเพิงพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าน้าชดเงียบไปเพราะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง 
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ให้ไอ้บอยมันทำเหมาะกว่าเพราะมันเด็กที่สุด  ว่าแต่จะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ ?”
น้าชดตอบเหมือนพอใจข้อเสนอที่ได้รับ
“พรุ่งนี้เลย !!
พรุ่งนี้...  ผมกับพี่เปี๊ยกหันมาสบตากันอีกครั้ง  แววตาของพี่เปี๊ยกเป็นกังวลไม่ต่างไปจากผม
“งั้นฉันขอตัวก่อน  ว่าแต่ว่าพี่เริ่มงานกับจ่านพหรือยัง ?”
นายเพิงถามพลางขยับเท้าจะเดินออกจากห้อง 
“ก็อีกสองวันนี้แหละ” 
สิ้นเสียงตอบของน้าชด  นายเพิงก็เดินมาถึงตัวเราสองคนพอดี
“ว่าไงไอ้พี่น้องสองเกลอ  พรุ่งนี้เอ็งกับข้าก็จะได้ร่วมงานกันแล้ว ฮึๆๆๆ”
สายตาที่นายเพิงมองมาที่ผมกับพี่เปี๊ยกให้ความรู้สึกที่น่าสะอิดสะเอียนมากกว่าน่ายินดี
“ต่อไปนี้เอ็งสองคนต้องฟังที่ไอ้เพิงมันสอนทุกอย่างเข้าใจมั๊ย   แล้วห้ามตุกติกอะไรทั้งนั้น  ไม่งั้นกูยิงไส้แตก”
น้าชดเดินออกมาจากห้องแล้วพูดสำทับขึ้นอีกคน  บรรยากาศที่ล้อมรอบตัวผมกับพี่เปี๊ยกตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาป่ากับลูกแกะ
“พี่ชดไม่ต้องห่วง  ใครจะไปรู้  โตขึ้นไอ้สองตัวนี้อาจจะเป็นมือระดับพระกาฬเลยก็ได้  ฮ่าๆๆๆ” 
ทั้งน้าชดและนายเพิงหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างถูกใจ  แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเสียงหัวเราะบีบคั้นอารมณ์สิ้นดี 
แม้ไม่รู้ความหมายที่พวกเขากำลังพูดถึงทั้งหมด  แต่สัญชาติญาณมันบอกว่า  การหนีครั้งสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
@@@@@

          ตลอดทั้งวันผมเดินขายลูกชิ้นบนรถไฟด้วยความรู้สึกที่แปลกแยก  สายตาของเด็กขายของสายนายเพิงที่มองมายังผมเหมือนกำลังจะเค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง 
            บางครั้งพวกนั้นหันมามองผมแล้วก็รีบกระโดดลงจากรถไฟไปทันทีที่ตำรวจรถไฟเดินขึ้นมา 
            ผมจะต้องมาส่งของแทนพวกนั้น  ของที่หมายถึงคงไม่ใช่ยาดมยาหม่องที่แบกขายกันอยู่ทุกวัน  มันต้องเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กพวกนั้นพากันหลบหน้าตำรวจรถไฟ
            หรือผมกับพี่เปี๊ยกกำลังเอาเท้าเข้าไปแหย่ไว้ในคุกแล้วคนละข้าง !!
          พี่เปี๊ยกสังเกตเห็นความกังวลของผมทันทีที่เดินกลับมาเอาลูกชิ้น
            “ไอ้บอยเอ็งเป็นอะไรดูเบลอๆ” 
          พี่เปี๊ยกถาม  โชคดีที่เป็นจังหวะที่น้าณีเดินไปเข้าห้องน้ำพอดี
            “ฉันกลัวโดนตำรวจจับ” 
            ผมตอบเสียงสั่น
            “ไม่ต้องกลัวบอย  ไม่มีใครมาจับเอ็งหรอก”
            พี่เปี๊ยกปลอบใจ
            “ก็เราต้องส่งของแทนเด็กพวกนั้น  พี่เปี๊ยกรู้ใช่มั๊ยว่ามันคืออะไร ?”
            พี่เปี๊ยกพยักหน้ารับช้าๆ แล้วเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ผม
            “ไม่ต้องกลัวหรอก  เอ็งก้มลงดูอะไรนี่สิ”
            พี่เปี๊ยกชี้ไปที่มุมหนึ่งด้านใต้รถเข็น  ผมก้มลงมองตาม
            “ถุงน้ำตาลนี่พี่เปี๊ยก”
            เสียงที่สั่นเครือของผมเปลี่ยนเป็นลิงโลดในทันที
            “เบาๆ  ไอ้บอย  เงียบๆ ไว้  น้าณีเดินมาแล้ว” 
            ทุกอย่างถูกเปลี่ยนกลับมาอยู่ในความนิ่งสงบ  พี่เปี๊ยกพลิกลูกชิ้นไปมาเพื่อเลือกไม้ที่สุกแล้ววางใส่ถาดให้ผม
            “ไงไอ้บอย  เอ็งก้มๆ เงยๆ ทำอะไร ?” 
            เสียงน้าณีถามขึ้นทั้งๆ ที่ยังเดินมาไม่ถึงเราทั้งสองคน
            “มันบ่นปวดท้องน่ะ  ฉันว่าให้มันนั่งพักก่อนดีกว่านะ”
            พี่เปี๊ยกกลบเกลื่อนสถานการณ์  ในขณะที่ผมช่วยตีสีหน้าบูดเบี้ยว
            “พักเพิ๊กอะไรขายยังได้ไม่กี่ไม้เลย  ปวดท้องแค่นี้มันจะตายหรือไงวะ  พวกเอ็งอย่ามารู้มาก  จะหาเรื่องเบี้ยวงานของไอ้เพิงพรุ่งนี้ใช่มั๊ย ?”
            ผมเกือบลืมไปว่าน้าณีก็อยู่ในขบวนการนี้ด้วยอีกคน  เธอคงไม่ปล่อยให้ผมกับพี่เปี๊ยกทิ้งโอกาสที่จะทำเงินให้เธอกับผัวของเธออย่างแน่นอน
            “เอ็งจำไว้นะ  ถ้าไม่ทำพวกเอ็งก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกข้าอีก  พวกเอ็งก็คิดเอาเองว่าพี่ชดเขาจะจัดการยังไงกับพวกเอ็ง” 
            ผมรับลูกชิ้นที่พี่เปี๊ยกวางจนเต็มถาดมาแบกไว้แล้วเดินออกมาโดยไม่สนใจคำพูดของเธอ  แม้ว่าจะพยายามสร้างภาพให้ดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม
ตอนนี้ผมสนใจและรับรู้แต่เพียงว่า.....                                                                                   พรุ่งนี้พี่เปี๊ยกจะพาผมออกไปจากชีวิตของเธอและคนพวกนั้น
อาการแปลกแยกที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจางหายไปแล้ว  ความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับวันที่พี่นุช พี่สร้อยและพี่ส้ม เตรียมตัวหนีที่หาดใหญ่
ถึงวันนี้เราจะเหลือกันเพียงสองคน  แต่ผมก็เชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้
“เราต้องหนีได้  เอ็งเชื่อข้า”
พี่เปี๊ยกกระซิบบอกว่าในคืนนั้น
“พอทันทีที่น้าณีเปิดประตู  เอ็งจำไว้นะ  เอ็งต้องวิ่งนำหน้าไปก่อนข้าจะได้ไม่พะวง  ส่วนน้าณีข้าจะจัดการเอง”
พี่เปี๊ยกบอก
“แล้วถ้าน้าณี น้าชดหรือน้าเพิงตามเราทันล่ะ”
นี่คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด
“ไม่มีทางตามเราทันแน่นอน  รถไฟจะจอดที่สถานีประมาณสิบห้านาที  พอเสียงหวูดดังเราจะวิ่งไปให้ทันเวลาที่รถไฟออก  เราก็จะรอด”
พี่เปี๊ยกบอกถึงแผนการของเช้ามืดวันรุ่งขึ้น 
“เอ็งต้องวิ่งไปข้างหน้าเท่านั้น  ไม่ต้องหันมามองหลัง”
พี่เปี๊ยกย้ำแล้วย้ำอีก
มันเป็นแผนการที่ไม่มีความสลับซับซ้อนเหมือนครั้งก่อน  และไม่ต้องการตัวช่วยอะไรนอกจากขาของเราเอง
แต่ถ้าถามผมเรื่องความกลัว  ผมกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า !!

@@@@@

            น้าณีตื่นขึ้นประมาณตีห้ากว่าๆ แล้วปลุกเราเหมือนเช่นทุกวัน  ต่างกันแต่ว่าวันนี้ผมกับพี่เปี๊ยกลืมตาโพลงรออยู่แล้ว
          ช่วงที่เดินไปล้างหน้าแปรงฟันหลังบ้าน  ผมเห็นน้าชดยังนอนหลับสนิทเหมือนเคย  ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้  สถานการณ์ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกคงไม่หนักหนาสาหัสนัก
            ผมเดินกลับมาที่หน้าห้องพี่เปี๊ยกกวักมือเรียกให้เข้าไปหาแล้วล้วงนาฬิกาออกมาจากกระเป๋ากางเกง 
            “อีกประมาณห้านาทีรถไฟจะมา”
            พี่เปี๊ยกกระซิบบอกผมเหมือนเตือนให้เตรียมตัว
            “มัวทำอะไรกันอยู่วะไอ้สองคน  เดี่ยวก็สายหรอก”
            เสียงแห่งความปราณีที่ไม่มีอยู่จริงดังมาจากด้านใน  ผมกับพี่เปี๊ยกรีบเดินไปหลังบ้านเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ
            “ไอ้เปี๊ยกวันนี้เอ็งเพิ่มลูกชิ้นสักสามสิบไม้นะ  วันนี้วันจันทร์คนใช้รถไฟเยอะน่าจะขายดี”
            น้าณีสั่งพี่เปี๊ยกแล้วหันไปเตรียมกับข้าวมื้อเช้าให้น้าชด
            ผมหันไปมองหน้าพี่เปี๊ยกเพื่อดูท่าที  พี่เปี๊ยกพยักหน้าให้ผมก่อนจะเปิดฝาลังน้ำแข็งหยิบถุงลูกชิ้นที่แช่เย็นไว้ออกมาวางตรงหน้าแล้วพูดเบาๆ
            “ไอ้บอยช่วยพี่เอาลูกชิ้นเสียบไม้หน่อย  ไม่นานหรอก” 
            ผมนั่งลงช่วยพี่เปี๊ยกหยิบลูกชิ้นเสียบไม้  ลูกชิ้นแต่ละลูกที่ถูกหยิบขึ้นมาเหมือนเวลาที่บีบหัวใจของเราสองคน
            ลูกชิ้นถูกเสียบไปไม่ถึงสิบไม้  เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้น !!
          ผมเหลือบตามองพี่เปี๊ยกที่ค่อยๆ แอบเอานาฬิกาออกมาดูเวลาแล้วหันมาพยักหน้าให้ผมอีกครั้ง 
            ลูกชิ้นยังคงถูกเสียบใส่ไม้ทีละลูกราวกับเวลาที่เดินหน้าไปอย่างอ้อยอิ่ง  แต่หัวใจของผมกลับเต้นถี่กระชั้นมากขึ้นทุกที
            พี่เปี๊ยกละมือจากลูกชิ้นแล้วหันไปหยิบหม้อน้ำจิ้มขึ้นตั้งไฟก่อนจะหันไปบอกน้าณีด้วยเสียงอันดังเหมือนตั้งใจ
            “ต้องทำน้ำจิ้มเพิ่มแต่ฉันเผลอหยิบถุงน้ำตาลติดไปกับลูกชิ้นเมื่อวานแล้วลืมไว้ในรถเข็น” 
            “อะไรกันวะ  แล้วเอ็งหยิบมันไปหาวิมานอะไร” 
            น้าณีกระแทกเสียงพร้อมกับกระแทกตะหลิวลงบนกระทะ
            “ฉันขอโทษฉันเผลอไป  แต่น้ำจิ้มจะเดือดแล้วต้องเติมน้ำกับน้ำตาลหน่อยเดี๋ยวไม่พอใช้”
            น้ำเสียงของพี่เปี๊ยกฟังดูนิ่งและมั่นคงกว่าทุกครั้ง  คงมีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรคืออะไร
            “เออๆ  เดี๋ยวข้าจะออกไปเอาให้”
            น้าณีหรี่แก๊สแล้ววางตะหลิวลงบนกระทะก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู   มันเป็นเสี้ยวนาทีที่บีบหัวใจของผมที่สุด  ทุกอย่างที่เธอทำล้วนเป็นจังหวะและท่วงทำนองที่ปกติ  แต่ที่ไม่ปกติคือความเร่งเร้าที่เต้นอยู่ข้างในอกของผมและพี่เปี๊ยก
            พี่เปี๊ยกหยิบนาฬิกาออกมาดูอีกครั้ง  แล้วเสียงคลิ๊กของกุญแจก็ดังขึ้นที่ประตู !!
          เหมือนโชคเข้าข้าง  สิ้นเสียงคลิ๊ก  เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นเหมือนเสียงสวรรค์
            ผมกับพี่เปี๊ยกวางมือจากทุกอย่างตรงหน้าแล้วค่อยๆ ย่องไปที่ประตูหน้าบ้าน  ภาพที่เห็นตรงหน้าคือน้าณีที่กำลังค่อยแย้มบานประตูออก
            “ไปเร็วบอย” 
            เสียงพี่เปี๊ยกให้สัญญาณ  ผมตัดสินใจวิ่งผ่านช่องว่างระหว่างตัวน้าณีกับบานประตูออกไปอย่างรวดเร็ว
            “ไอ้บอยเอ็งจะไปไหน  !!
            เสียงน้าณีแผดลั่นเหมือนฟ้าถล่ม  แต่ไม่ทันที่เธอจะทำอะไรต่อไป  พี่เปี๊ยกที่อยู่ด้านหลังก็กระโจนเข้าใส่ร่างเธอเต็มแรงจนล้มทั้งยืน  เสียงที่แผดลั่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงร้องโอยด้วยความเจ็บปวด
            “วิ่งไปบอย  วิ่งไป” 
            พี่เปี๊ยกตะโกนไล่หลังผมพร้อมกับอีกเสียงหนึ่งที่แทรกขึ้นมา
            “พี่ชด  พี่ชด พวกมันกำลังจะหนี  โอ๊ย...” 
            ผมอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง
            “วิ่งไปบอย  อย่าหันมา  วิ่งไป”
            พี่เปี๊ยกตะโกนฝ่าความมืด  ผมตัดสินใจหันกลับไปมองเห็นท้ายขบวนรถไฟอยู่เฉียงไปทางขวามืออีกไม่ไกลนัก 
แต่เสียงที่ดังไล่หลังมาอีกเสียงหนึ่งทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ !!
            “มึงคิดว่ามึงจะหนีกูรอดเหรอ ?” 
        น้าชดตื่นแล้วสถานการณ์ดูไม่ง่ายเหมือนเมื่อครู่ เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งแล้วมันก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชลาช้าๆ 
            ผมเร่งฝีเท้าสุดแรงเกิด  บันไดท้ายโบกี้อยู่ใกล้แค่ไม่กี่ก้าวแต่รถไฟกลับเคลื่อนตัวเร็วขึ้น
            ผมทุ่มแรงที่มีทั้งหมดเพื่อตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนบันไดให้ได้ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอาจจะพลาด !!
          แต่พี่เปี๊ยกก็วิ่งมาทัน  สองมือของเขาทั้งดึงและดันผมขึ้นไปบนบันได
            “จับราวบันไดให้ได้บอย  จับให้ได้” 
            เสียงพี่เปี๊ยกตะโกนลั่นแข่งกับเสียงหวูดรถไฟและเครื่องจักรที่เริ่มเดินแรงและเร็วขึ้น 
ในที่สุดผมก็คว้าราวบันไดไว้ได้ก่อนที่จะถูกแรงดันจากมือของพี่เปี๊ยกที่ทำให้ขาผมแตะกับบันไดขั้นสุดท้าย 
“ขึ้นไปบอย  ขึ้นไปเร็ว” 
            มือของใครคนนึงเอื้อมมาจับคอเสื้อแล้วดึงผมขึ้นไปด้านบน  ตอนนี้รถไฟเร่งเครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  แต่พี่เปี๊ยกยังคงวิ่งไล่ตามรถไฟอยู่ห่างเพียงไม่กี่คืบ
            ผมหันไปมองน้าชดที่วิ่งไล่ตามพี่เปี๊ยกอยู่ด้านหลังห่างออกไปสักสิบเมตร  เวลาที่เหลืออยู่น่าจะเพียงพอให้พี่เปี๊ยกกระโดดขึ้นรถไฟได้  แต่สิ่งอยู่ในมือน้าชดต่างหากที่ทำให้ผมหวาดกลัวขึ้นมาในทันที
            “พี่เปี๊ยกเร็วๆ  มันมีปืน”
            ผมตะโกนลั่นบอกพี่เปี๊ยกที่กำลังพยายามเอื้อมมือจับราวบันได
แต่แล้วเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้น
            “ปัง !!
          ประกายไฟจากปลายกระบอกปืนมัจจุราชกระบอกนั้นสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัวของรุ่งสาง  มือของพี่เปี๊ยกที่คว้าราวบันไดรถไฟไว้ได้แล้วคลายออกพร้อมกับร่างที่ล้มลงกับพื้น
            “พี่เปี๊ยก  ๆ  ๆ”
            ผมตะโกนลั่นเหมือนคนเสียสติ  น้ำตาของน้องชายพี่เปี๊ยกไหลอาบแก้ม
            “ทำใจดีๆ ไว้ไอ้หนู ตำรวจมาแล้ว” 
            ผมไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงที่ปลอบโยนนั่น  รู้แต่ว่ารถไฟเร่งความเร็วจนทิ้งร่างของพี่เปี๊ยกที่นอนคว่ำหน้าทาบทับอยู่บนรางรถไฟให้ห่างออกไปทุกที  เช่นเดียวกับร่างของไอ้ฆาตกรที่ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น 
            มันคือภาพสุดท้ายแห่งความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น