ภาพสุดท้าย
ภาพจาก http://www.rferl.org/content/article/1077069.html จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ชีวิตพ่อค้าลูกชิ้นปิ้งของผมกับพี่เปี๊ยกเริ่มเห็นเค้ารางของความซ้ำซากจำเจไม่ต่างจากการเร่ขายหนังสือเก่าสับปะรังเคที่หาดใหญ่ มันแค่ทำให้ความรู้สึกดีกว่าตรงที่เราได้ขายของกันจริงๆ ไม่ได้ลวงโลกเหมือนที่ผ่านมา
แต่มันยังคงเป็นการขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับลมหายใจ !!
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมกับพี่เปี๊ยกไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของลูกชิ้นที่หอมเตะจมูกอยู่แค่เอื้อมแม้แต่ครั้งเดียว
กับข้าวหลักของเราเป็นน้ำพริกค้างถ้วยที่มีผักจิ้มเหี่ยวๆ
หนึ่งจานกับปลาทูตัวเล็กๆ ที่เหลือซากมาจากคนอื่น
กลิ่นลูกชิ้นและเสียงหวูดรถไฟกลายเป็นสิ่งใกล้ตัวแต่ห่างไกลจากสัมผัสเหลือเกินสำหรับผมและพี่เปี๊ยก
ผมอดไม่ได้ที่จะจินตนาการต่อไปถึงอนาคตว่าจะต้องแบกถาดลูกชิ้นขายบนรถไฟนี้ไปอีกนานแค่ไหน หรือว่าจะต้องขายไปจนผมเป็นหนุ่ม จนแก่และตายไปกับลูกชิ้นและเสียงรถหวูดไฟอย่างนั้นหรือ
“ข้าเห็นช่องทางหนีแล้วไอ้บอย”
คำพูดของพี่เปี๊ยกที่กระซิบข้างหูกลางดึกทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความกลัวขึ้นมาในทันที
“น้าณีไม่ยอมให้เราคลาดสายตาเลยแล้วเราจะหนียังไง
?”
ผมกระซิบถาม พี่เปี๊ยกเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบบางอย่างออกมา มันเป็นแผ่นกระดาษที่ถูกพับไว้อย่างดี
“เอ็งเอาไฟฉายๆ ให้หน่อย”
พี่เปี๊ยกกระซิบบอกแล้วรีบเอามือเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาคลุมเราทั้งสองคนเอาไว้
ผมเปิดไฟฉายส่องไปยังแผ่นกระดาษที่พี่เปี๊ยกกำลังคลี่ออก
“เอ็งรู้มั๊ยว่านี่อะไร ?”
พี่เปี๊ยกถามผมในขณะที่มองไปบนแผ่นกระดาษที่มีแต่ตัวเลขซึ่งเขียนด้วยลายมืออันโย้เย้เรียงกันเป็นแถวเต็มไปหมด
“มันคือเลขอะไรล่ะพี่” ผมถาม
“มันคือเวลาที่ขบวนรถไฟเข้าออกที่สถานีไง แถวซ้ายมือคือขบวนขาขึ้น แถวขวามือคือขบวนขาล่อง”
พี่เปี๊ยกอธิบายตัวเลขที่ดูสับสนให้ผมฟังแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจแผนการของแกอยู่ดี รู้แต่ว่าทั้งหมดมันคือความพยายามตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาของพี่เปี๊ยกพี่ทั้งจำและจดการเข้าออกของรถไฟทุกขบวนเอาไว้อย่างละเอียด
แม้ความรู้ในการอ่านและเขียนของเขาจะใช้วิธีแอบฝึกแบบงูๆปลาๆก็ตาม
“เราจะเดินผ่านสถานีไปขึ้นรถไฟได้ยังไงล่ะพี่เปี๊ยก คนของพวกมันเต็มไปหมด”
ผมบอกพี่เปี๊ยกไปตามที่คิด
แต่แผนการที่พี่เปี๊ยกคิดไว้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคิด
“แล้วเอ็งจะผ่านสถานีเข้าไปให้มันรุมกระทืบทำไมเล่า”
พี่เปี๊ยกยิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ไอ้บอยเอ็งเห็นนี่มั๊ย”
พี่เปี๊ยกชี้ไปที่ตัวเลขแถวขวามือบนกระดาษ
“ทุกวันตอนเช้ามืดมันจะมีรถไฟขาล่องมาถึงสถานีประมาณตีห้าครึ่ง”
พี่เปี๊ยกเริ่มอธิบาย
“แล้วไงพี่เราจะไปซื้อตั๋วตอนไหน”
ผมถามออกไปด้วยอาการพาซื่อ
“ไม่ใช่ไอ้บอย”
พี่เปี๊ยกเน้นเสียงแล้วส่ายหน้าเหมือนรำคาญก่อนจะอธิบายต่อ
“เราจะไม่ซื้อตั๋วแต่เราจะกระโดดขึ้น”
พี่เปี๊ยกหยุดพูดแล้วหันมามองหน้าผมเหมือนจะให้แน่ใจว่าจะไม่พูดแทรกแบบโง่ๆ
อีก
“ไอ้รถไฟขบวนนี้ข้าสังเกตทุกวันว่ามันจะเป็นขบวนที่ยาวกว่าเพื่อน
โบกี้สุดท้ายมันจะต่อยาวมาจนเยื้องกับหน้าห้องนี้”
พี่เปี๊ยกหยุดพูดอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
“ข้ากะด้วยสายตาแล้วมันน่าจะห่างจากหน้าห้องนี้ไปประมาณสักห้าช่วงเสาไฟฟ้า เราน่าจะวิ่งไปทันก่อนที่มันจะออกจากสถานี แต่ปัญหาก็คือ.....”
คราวนี้พี่เปี๊ยกหยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ปัญหาอะไรล่ะพี่เปี๊ยก พี่กลัวฉันวิ่งไม่ไหวเหรอ โธ่แค่นี้สบายมาก”
ผมคุยอวดไปก่อนเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า
ตราบใดที่มีมีพี่เปี๊ยกอยู่ถึงจะยากเย็นกว่านี้ก็ต้องทำได้ แต่เหตุผลที่พี่เปี๊ยกตอบกลับมากลับทำให้ความคะนองที่มีหายไปแทบหมดสิ้น
“เอ็งไม่สังเกตเหรอว่า ตอนตีห้าครึ่งนะเรายังเตรียมลูกชิ้นกับน้ำจิ้มกันอยู่หลังบ้าน
กว่าน้าณีจะเปิดประตูให้เอาลูกชิ้นกับของไปวางไว้ที่รถเข็นมันก็หกโมงเช้าทุกที”
จริงอย่างที่พี่เปี๊ยกว่า ตั้งแต่เราถูกพามาอยู่ที่นี่
เราไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนกันเพียงลำพังสองคนพี่น้อง ทุกฝีก้าวที่พ้นออกจากประตูห้องหมายถึงทุกฝีก้าวที่น้าณีจะต้องตามติดไปเหมือนเงา
หรือหากว่าพวกเขาสองคนต้องมีธุระออกไปข้างนอกประตูห้องก็จะถูกใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนา ทิ้งผมกับพี่เปี๊ยกสองคนไว้ข้างในเหมือนนักโทษ
“ถ้าเราไม่ไปกับรถไฟขบวนนี้ให้ได้ เราก็จะไม่มีโอกาสอีกเลย”
พี่เปี๊ยกพูดขึ้นลอยๆ แล้วเอามือกุมขมับเหมือนคิดอะไรไม่ออก
“เราต้องหาเรื่องให้เขาเปิดประตู”
ผมพูดขึ้นบ้าง
แต่คราวนี้พี่เปี๊ยกเห็นด้วย
“ใช่.. เอ็งพูดถูก
แต่จะทำยังไงหล่ะ ?”
“เราบอกว่าลืมของสิ”
ผมออกอุบาย
“เออ.. เข้าท่าดีเหมือนกัน เอาอย่างนี้
วันที่เราจะหนี ข้าจะแอบเอาถุงน้ำตาลไปซ่อนไว้ในรถเข็น”
ก่อนเข้านอนคืนนั้น ผมได้กลิ่นของเสรีภาพโชยเข้ามาเตะจมูก พร้อมๆ กับภาพของพี่สาวสามคนที่ลอยเข้ามาในความคิดคำนึง
@@@@@
เสียงเคาะประตูตอนเช้ามืดปลุกผมกับพี่เปี๊ยกให้ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาเล็กน้อย
คนที่เดินผ่านประตูเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นนายเพิง
“มีอะไรวะเพิงปลุกกันแต่เช้าเชียว”
น้าชดถามแล้วพานายเพิงเดินเข้าไปในบ้าน
“อ๋อ... มันก็ไม่เชิงเรื่องด่วนนักหรอก แต่มันเกี่ยวกับไอ้เด็กสองคนนี่”
คำตอบของนายเพิงทำให้ผมกับพี่เปี๊ยกหันมามองหน้าพร้อมกัน
“ทำไมมันไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”
น้าชดถามด้วยน้ำเสียงที่ราวกับพร้อมที่จะยื่นอาญาสิทธิ์ในการลงโทษให้ทีเดียว
“เปล่าหรอก คือช่วงนี้ตำรวจรถไฟมันออกอาการคุมเข้มตามเจ้านายใหม่ ไอ้พวกเด็กของฉันมันเลยกลายเป็นเป้า
จะขยับตัวทำอะไรก็ลำบาก เลยคิดว่าอยากจะขออนุญาตพี่ชดให้ไอ้เปี๊ยกหรือไอ้บอยมันมาส่งของแทนเด็กฉัน”
ส่งของ !! ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่าส่งของ แต่พี่เปี๊ยกดูเหมือนจะเข้าใจดีกว่า แกขบกรมแน่น
เปลือกตาเต้นระริกด้วยความโกรธ
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่
พวกผมจัดสรรปันส่วนมาทางพี่ด้วย
ถึงจะเป็นพวกรายย่อยแต่ก็ได้ตลอด เงินทองไม่ขาดมือ”
นายเพิงพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าน้าชดเงียบไปเพราะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ให้ไอ้บอยมันทำเหมาะกว่าเพราะมันเด็กที่สุด ว่าแต่จะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ ?”
น้าชดตอบเหมือนพอใจข้อเสนอที่ได้รับ
“พรุ่งนี้เลย !!”
พรุ่งนี้...
ผมกับพี่เปี๊ยกหันมาสบตากันอีกครั้ง
แววตาของพี่เปี๊ยกเป็นกังวลไม่ต่างไปจากผม
“งั้นฉันขอตัวก่อน ว่าแต่ว่าพี่เริ่มงานกับจ่านพหรือยัง
?”
นายเพิงถามพลางขยับเท้าจะเดินออกจากห้อง
“ก็อีกสองวันนี้แหละ”
สิ้นเสียงตอบของน้าชด
นายเพิงก็เดินมาถึงตัวเราสองคนพอดี
“ว่าไงไอ้พี่น้องสองเกลอ
พรุ่งนี้เอ็งกับข้าก็จะได้ร่วมงานกันแล้ว ฮึๆๆๆ”
สายตาที่นายเพิงมองมาที่ผมกับพี่เปี๊ยกให้ความรู้สึกที่น่าสะอิดสะเอียนมากกว่าน่ายินดี
“ต่อไปนี้เอ็งสองคนต้องฟังที่ไอ้เพิงมันสอนทุกอย่างเข้าใจมั๊ย แล้วห้ามตุกติกอะไรทั้งนั้น ไม่งั้นกูยิงไส้แตก”
น้าชดเดินออกมาจากห้องแล้วพูดสำทับขึ้นอีกคน บรรยากาศที่ล้อมรอบตัวผมกับพี่เปี๊ยกตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาป่ากับลูกแกะ
“พี่ชดไม่ต้องห่วง ใครจะไปรู้ โตขึ้นไอ้สองตัวนี้อาจจะเป็นมือระดับพระกาฬเลยก็ได้ ฮ่าๆๆๆ”
ทั้งน้าชดและนายเพิงหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างถูกใจ
แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเสียงหัวเราะบีบคั้นอารมณ์สิ้นดี
แม้ไม่รู้ความหมายที่พวกเขากำลังพูดถึงทั้งหมด แต่สัญชาติญาณมันบอกว่า การหนีครั้งสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
@@@@@
ตลอดทั้งวันผมเดินขายลูกชิ้นบนรถไฟด้วยความรู้สึกที่แปลกแยก
สายตาของเด็กขายของสายนายเพิงที่มองมายังผมเหมือนกำลังจะเค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง
บางครั้งพวกนั้นหันมามองผมแล้วก็รีบกระโดดลงจากรถไฟไปทันทีที่ตำรวจรถไฟเดินขึ้นมา
ผมจะต้องมาส่งของแทนพวกนั้น ของที่หมายถึงคงไม่ใช่ยาดมยาหม่องที่แบกขายกันอยู่ทุกวัน
มันต้องเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กพวกนั้นพากันหลบหน้าตำรวจรถไฟ
หรือผมกับพี่เปี๊ยกกำลังเอาเท้าเข้าไปแหย่ไว้ในคุกแล้วคนละข้าง
!!
พี่เปี๊ยกสังเกตเห็นความกังวลของผมทันทีที่เดินกลับมาเอาลูกชิ้น
“ไอ้บอยเอ็งเป็นอะไรดูเบลอๆ”
พี่เปี๊ยกถาม
โชคดีที่เป็นจังหวะที่น้าณีเดินไปเข้าห้องน้ำพอดี
“ฉันกลัวโดนตำรวจจับ”
ผมตอบเสียงสั่น
“ไม่ต้องกลัวบอย ไม่มีใครมาจับเอ็งหรอก”
พี่เปี๊ยกปลอบใจ
“ก็เราต้องส่งของแทนเด็กพวกนั้น พี่เปี๊ยกรู้ใช่มั๊ยว่ามันคืออะไร ?”
พี่เปี๊ยกพยักหน้ารับช้าๆ
แล้วเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ผม
“ไม่ต้องกลัวหรอก เอ็งก้มลงดูอะไรนี่สิ”
พี่เปี๊ยกชี้ไปที่มุมหนึ่งด้านใต้รถเข็น ผมก้มลงมองตาม
“ถุงน้ำตาลนี่พี่เปี๊ยก”
เสียงที่สั่นเครือของผมเปลี่ยนเป็นลิงโลดในทันที
“เบาๆ ไอ้บอย
เงียบๆ ไว้ น้าณีเดินมาแล้ว”
ทุกอย่างถูกเปลี่ยนกลับมาอยู่ในความนิ่งสงบ
พี่เปี๊ยกพลิกลูกชิ้นไปมาเพื่อเลือกไม้ที่สุกแล้ววางใส่ถาดให้ผม
“ไงไอ้บอย เอ็งก้มๆ เงยๆ ทำอะไร ?”
เสียงน้าณีถามขึ้นทั้งๆ
ที่ยังเดินมาไม่ถึงเราทั้งสองคน
“มันบ่นปวดท้องน่ะ ฉันว่าให้มันนั่งพักก่อนดีกว่านะ”
พี่เปี๊ยกกลบเกลื่อนสถานการณ์ ในขณะที่ผมช่วยตีสีหน้าบูดเบี้ยว
“พักเพิ๊กอะไรขายยังได้ไม่กี่ไม้เลย ปวดท้องแค่นี้มันจะตายหรือไงวะ พวกเอ็งอย่ามารู้มาก จะหาเรื่องเบี้ยวงานของไอ้เพิงพรุ่งนี้ใช่มั๊ย
?”
ผมเกือบลืมไปว่าน้าณีก็อยู่ในขบวนการนี้ด้วยอีกคน
เธอคงไม่ปล่อยให้ผมกับพี่เปี๊ยกทิ้งโอกาสที่จะทำเงินให้เธอกับผัวของเธออย่างแน่นอน
“เอ็งจำไว้นะ ถ้าไม่ทำพวกเอ็งก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกข้าอีก
พวกเอ็งก็คิดเอาเองว่าพี่ชดเขาจะจัดการยังไงกับพวกเอ็ง”
ผมรับลูกชิ้นที่พี่เปี๊ยกวางจนเต็มถาดมาแบกไว้แล้วเดินออกมาโดยไม่สนใจคำพูดของเธอ แม้ว่าจะพยายามสร้างภาพให้ดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม
ตอนนี้ผมสนใจและรับรู้แต่เพียงว่า..... พรุ่งนี้พี่เปี๊ยกจะพาผมออกไปจากชีวิตของเธอและคนพวกนั้น
อาการแปลกแยกที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจางหายไปแล้ว ความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับวันที่พี่นุช
พี่สร้อยและพี่ส้ม เตรียมตัวหนีที่หาดใหญ่
ถึงวันนี้เราจะเหลือกันเพียงสองคน
แต่ผมก็เชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้
“เราต้องหนีได้ เอ็งเชื่อข้า”
พี่เปี๊ยกกระซิบบอกว่าในคืนนั้น
“พอทันทีที่น้าณีเปิดประตู
เอ็งจำไว้นะ
เอ็งต้องวิ่งนำหน้าไปก่อนข้าจะได้ไม่พะวง
ส่วนน้าณีข้าจะจัดการเอง”
พี่เปี๊ยกบอก
“แล้วถ้าน้าณี น้าชดหรือน้าเพิงตามเราทันล่ะ”
นี่คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด
“ไม่มีทางตามเราทันแน่นอน
รถไฟจะจอดที่สถานีประมาณสิบห้านาที
พอเสียงหวูดดังเราจะวิ่งไปให้ทันเวลาที่รถไฟออก เราก็จะรอด”
พี่เปี๊ยกบอกถึงแผนการของเช้ามืดวันรุ่งขึ้น
“เอ็งต้องวิ่งไปข้างหน้าเท่านั้น
ไม่ต้องหันมามองหลัง”
พี่เปี๊ยกย้ำแล้วย้ำอีก
มันเป็นแผนการที่ไม่มีความสลับซับซ้อนเหมือนครั้งก่อน และไม่ต้องการตัวช่วยอะไรนอกจากขาของเราเอง
แต่ถ้าถามผมเรื่องความกลัว ผมกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า !!
@@@@@
น้าณีตื่นขึ้นประมาณตีห้ากว่าๆ แล้วปลุกเราเหมือนเช่นทุกวัน
ต่างกันแต่ว่าวันนี้ผมกับพี่เปี๊ยกลืมตาโพลงรออยู่แล้ว
ช่วงที่เดินไปล้างหน้าแปรงฟันหลังบ้าน ผมเห็นน้าชดยังนอนหลับสนิทเหมือนเคย ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ สถานการณ์ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกคงไม่หนักหนาสาหัสนัก
ผมเดินกลับมาที่หน้าห้องพี่เปี๊ยกกวักมือเรียกให้เข้าไปหาแล้วล้วงนาฬิกาออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“อีกประมาณห้านาทีรถไฟจะมา”
พี่เปี๊ยกกระซิบบอกผมเหมือนเตือนให้เตรียมตัว
“มัวทำอะไรกันอยู่วะไอ้สองคน เดี่ยวก็สายหรอก”
เสียงแห่งความปราณีที่ไม่มีอยู่จริงดังมาจากด้านใน
ผมกับพี่เปี๊ยกรีบเดินไปหลังบ้านเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ
“ไอ้เปี๊ยกวันนี้เอ็งเพิ่มลูกชิ้นสักสามสิบไม้นะ วันนี้วันจันทร์คนใช้รถไฟเยอะน่าจะขายดี”
น้าณีสั่งพี่เปี๊ยกแล้วหันไปเตรียมกับข้าวมื้อเช้าให้น้าชด
ผมหันไปมองหน้าพี่เปี๊ยกเพื่อดูท่าที
พี่เปี๊ยกพยักหน้าให้ผมก่อนจะเปิดฝาลังน้ำแข็งหยิบถุงลูกชิ้นที่แช่เย็นไว้ออกมาวางตรงหน้าแล้วพูดเบาๆ
“ไอ้บอยช่วยพี่เอาลูกชิ้นเสียบไม้หน่อย ไม่นานหรอก”
ผมนั่งลงช่วยพี่เปี๊ยกหยิบลูกชิ้นเสียบไม้ ลูกชิ้นแต่ละลูกที่ถูกหยิบขึ้นมาเหมือนเวลาที่บีบหัวใจของเราสองคน
ลูกชิ้นถูกเสียบไปไม่ถึงสิบไม้ เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้น !!
ผมเหลือบตามองพี่เปี๊ยกที่ค่อยๆ
แอบเอานาฬิกาออกมาดูเวลาแล้วหันมาพยักหน้าให้ผมอีกครั้ง
ลูกชิ้นยังคงถูกเสียบใส่ไม้ทีละลูกราวกับเวลาที่เดินหน้าไปอย่างอ้อยอิ่ง แต่หัวใจของผมกลับเต้นถี่กระชั้นมากขึ้นทุกที
พี่เปี๊ยกละมือจากลูกชิ้นแล้วหันไปหยิบหม้อน้ำจิ้มขึ้นตั้งไฟก่อนจะหันไปบอกน้าณีด้วยเสียงอันดังเหมือนตั้งใจ
“ต้องทำน้ำจิ้มเพิ่มแต่ฉันเผลอหยิบถุงน้ำตาลติดไปกับลูกชิ้นเมื่อวานแล้วลืมไว้ในรถเข็น”
“อะไรกันวะ แล้วเอ็งหยิบมันไปหาวิมานอะไร”
น้าณีกระแทกเสียงพร้อมกับกระแทกตะหลิวลงบนกระทะ
“ฉันขอโทษฉันเผลอไป
แต่น้ำจิ้มจะเดือดแล้วต้องเติมน้ำกับน้ำตาลหน่อยเดี๋ยวไม่พอใช้”
น้ำเสียงของพี่เปี๊ยกฟังดูนิ่งและมั่นคงกว่าทุกครั้ง คงมีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรคืออะไร
“เออๆ เดี๋ยวข้าจะออกไปเอาให้”
น้าณีหรี่แก๊สแล้ววางตะหลิวลงบนกระทะก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู มันเป็นเสี้ยวนาทีที่บีบหัวใจของผมที่สุด ทุกอย่างที่เธอทำล้วนเป็นจังหวะและท่วงทำนองที่ปกติ
แต่ที่ไม่ปกติคือความเร่งเร้าที่เต้นอยู่ข้างในอกของผมและพี่เปี๊ยก
พี่เปี๊ยกหยิบนาฬิกาออกมาดูอีกครั้ง แล้วเสียงคลิ๊กของกุญแจก็ดังขึ้นที่ประตู !!
เหมือนโชคเข้าข้าง
สิ้นเสียงคลิ๊ก
เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นเหมือนเสียงสวรรค์
ผมกับพี่เปี๊ยกวางมือจากทุกอย่างตรงหน้าแล้วค่อยๆ
ย่องไปที่ประตูหน้าบ้าน
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือน้าณีที่กำลังค่อยแย้มบานประตูออก
“ไปเร็วบอย”
เสียงพี่เปี๊ยกให้สัญญาณ ผมตัดสินใจวิ่งผ่านช่องว่างระหว่างตัวน้าณีกับบานประตูออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้บอยเอ็งจะไปไหน !!”
เสียงน้าณีแผดลั่นเหมือนฟ้าถล่ม แต่ไม่ทันที่เธอจะทำอะไรต่อไป พี่เปี๊ยกที่อยู่ด้านหลังก็กระโจนเข้าใส่ร่างเธอเต็มแรงจนล้มทั้งยืน
เสียงที่แผดลั่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงร้องโอยด้วยความเจ็บปวด
“วิ่งไปบอย วิ่งไป”
พี่เปี๊ยกตะโกนไล่หลังผมพร้อมกับอีกเสียงหนึ่งที่แทรกขึ้นมา
“พี่ชด พี่ชด พวกมันกำลังจะหนี โอ๊ย...”
ผมอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง
“วิ่งไปบอย อย่าหันมา
วิ่งไป”
พี่เปี๊ยกตะโกนฝ่าความมืด ผมตัดสินใจหันกลับไปมองเห็นท้ายขบวนรถไฟอยู่เฉียงไปทางขวามืออีกไม่ไกลนัก
แต่เสียงที่ดังไล่หลังมาอีกเสียงหนึ่งทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ !!
“มึงคิดว่ามึงจะหนีกูรอดเหรอ ?”
น้าชดตื่นแล้วสถานการณ์ดูไม่ง่ายเหมือนเมื่อครู่ เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งแล้วมันก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชลาช้าๆ
ผมเร่งฝีเท้าสุดแรงเกิด บันไดท้ายโบกี้อยู่ใกล้แค่ไม่กี่ก้าวแต่รถไฟกลับเคลื่อนตัวเร็วขึ้น
ผมทุ่มแรงที่มีทั้งหมดเพื่อตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนบันไดให้ได้ทั้งๆ
ที่รู้ว่ามันอาจจะพลาด !!
แต่พี่เปี๊ยกก็วิ่งมาทัน สองมือของเขาทั้งดึงและดันผมขึ้นไปบนบันได
“จับราวบันไดให้ได้บอย จับให้ได้”
เสียงพี่เปี๊ยกตะโกนลั่นแข่งกับเสียงหวูดรถไฟและเครื่องจักรที่เริ่มเดินแรงและเร็วขึ้น
ในที่สุดผมก็คว้าราวบันไดไว้ได้ก่อนที่จะถูกแรงดันจากมือของพี่เปี๊ยกที่ทำให้ขาผมแตะกับบันไดขั้นสุดท้าย
“ขึ้นไปบอย ขึ้นไปเร็ว”
มือของใครคนนึงเอื้อมมาจับคอเสื้อแล้วดึงผมขึ้นไปด้านบน ตอนนี้รถไฟเร่งเครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่พี่เปี๊ยกยังคงวิ่งไล่ตามรถไฟอยู่ห่างเพียงไม่กี่คืบ
ผมหันไปมองน้าชดที่วิ่งไล่ตามพี่เปี๊ยกอยู่ด้านหลังห่างออกไปสักสิบเมตร เวลาที่เหลืออยู่น่าจะเพียงพอให้พี่เปี๊ยกกระโดดขึ้นรถไฟได้ แต่สิ่งอยู่ในมือน้าชดต่างหากที่ทำให้ผมหวาดกลัวขึ้นมาในทันที
“พี่เปี๊ยกเร็วๆ มันมีปืน”
ผมตะโกนลั่นบอกพี่เปี๊ยกที่กำลังพยายามเอื้อมมือจับราวบันได
แต่แล้วเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้น
“ปัง !!”
ประกายไฟจากปลายกระบอกปืนมัจจุราชกระบอกนั้นสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัวของรุ่งสาง มือของพี่เปี๊ยกที่คว้าราวบันไดรถไฟไว้ได้แล้วคลายออกพร้อมกับร่างที่ล้มลงกับพื้น
“พี่เปี๊ยก ๆ ๆ”
ผมตะโกนลั่นเหมือนคนเสียสติ น้ำตาของน้องชายพี่เปี๊ยกไหลอาบแก้ม
“ทำใจดีๆ ไว้ไอ้หนู ตำรวจมาแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงที่ปลอบโยนนั่น รู้แต่ว่ารถไฟเร่งความเร็วจนทิ้งร่างของพี่เปี๊ยกที่นอนคว่ำหน้าทาบทับอยู่บนรางรถไฟให้ห่างออกไปทุกที เช่นเดียวกับร่างของไอ้ฆาตกรที่ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น
มันคือภาพสุดท้ายแห่งความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น