วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563

ดอกไม้ในตะวัน บทที่ 1


ดอกไม้ในตะวัน
บทที่ 1

สัญญาณสงคราม

          ผ่านพ้นไปไม่ถึงสองสัปดาห์  ข่าวลือเรื่องสงครามครั้งใหม่แพร่สะพัดจากหัวเมืองใต้สู่พระนครจากพระนครออกไปทุกพื้นที่เหมือนไฟลามทุ่ง  ข่าวสารที่ส่งต่อถูกขยายความด้วยความรู้สึกอันร้อนเร้นของผู้คน  ทิศทางของมันแผ่วงกว้างออกจากศูนย์กลางราวหินก้อนใหญ่ที่ตกกระแทกผืนน้ำ 

แต่ทว่า...ท่ามเปลวไฟแห่งข่าวสารกำลังถูกกระพือโหมกลับมีบางอย่างแตกต่างไปจากข่าวรบพุ่งกับอริต่างแดนทุกครั้งที่ผ่านมา 

ข่าวลือครั้งนี้มีสิ่งที่มองไม่เห็นซึมซ่อนไปกับความรู้สึกของผู้คน   บ้างก็ว่ายุวชนทหารที่เป็นลูกหลานชาวชุมพรเสียชีวิตและบาดเจ็บนับสิบ  บ้างก็ว่าตายไปไม่กี่นายพร้อมกับนายทหารผู้บังคับบัญชาของพวกเขา  แต่ไม่ว่าจะมีการสูญเสียเกิดขึ้นสักเท่าไหร่  มันย่อมเป็นเรื่องที่หดหู่เกินไปสำหรับเพื่อนร่วมแผ่นดินที่ต้องมาเห็นและรับรู้ว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวต้องมาจบชีวิตลงด้วยสงครามที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ 

ในสายตาของใครบางคนนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาจะได้เห็นในชีวิตนี้ !

            และแล้วข่าวลือที่สำทับกับข่าวของรัฐบาลซึ่งกระจายเสียงผ่านสถานีวิทยุของกรมโฆษณาการยิ่งทำให้เค้ารางของสงครามแจ่มชัดยิ่งขึ้น   โฆษกสถานีอ่านประกาศทุกวันเนื้อความวนเวียนและตอกย้ำว่าขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับการยกพลขึ้นบกของกองทหารญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นหลายจุดตลอดแนวชายฝั่งภาคใต้และชายแดนด้านตะวันออก 

แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามทำกลับกลายเป็นเชื้อปะทุแห่งความสงสัย !!

ประชาชนเริ่มจับสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของท่านผู้นำที่มีต่อสถานการณ์ในวันนี้แตกต่างไปจากปฏิบัติการเพื่อช่วงชิงดินแดนสี่จังหวัดด้านตะวันออกคืนจากประเทศฝรั่งเศสเมื่อไม่ถึงขวบปีที่ผ่านมา  สมาชิกสภากาแฟแทบทุกแห่งเฝ้าถอดรหัสคำประกาศอย่างเข้มแข็งแต่แฝงอาการลังเลอยู่ในเนื้อความราวกับรู้ว่ากำลังเผชิญกับสิ่งที่ยากเกินกว่าจะรับมือ  การจับกลุ่มพูดคุยคาดเดาท่าทีและการตัดสินใจของรัฐบาลจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้คนทั่วทั้งพระนครและหัวเมือง

ก้อนเมฆแห่งความรู้สึกกำลังก่อตัวมืดทมึนกระจายไปทั่วผืนฟ้า

            แน่นอนว่าในพระนครข่าวลือนี้ดูเหมือนจะเข้มข้นยิ่งกว่าตามหัวเมือง  ชาวบางกอกเริ่มเห็นทหารและเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเข้าออกตามสถานที่ราชการสำคัญมานานนับเดือน  หน่วยงานราชการบางแห่งต้องย้ายเจ้าหน้าที่ของตัวเองไปอาศัยทำงานกับส่วนราชการอื่นเพื่อเปิดทางให้ทหารญี่ปุ่นใช้เป็นกองบัญชาการหลักไปเสียแล้ว 

ข้าราชการชั้นผู้น้อยของหน่วยงานที่โดนยึดกลายเป็นเจ้ากรมข่าวลือเพียงชั่วข้ามคืน  แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องพูดกับญาติหรือผู้คนตามสภากาแฟจากภาพที่ได้เห็นด้วยสีสันที่จัดจ้านกว่าความเป็นจริง 

“ทหารญี่ปุ่นบุกยึดสถานที่ราชการไว้หมดแล้ว !!

เช้าตรู่ของวันที่ 21 ธันวาคมพุทธศักราช 2484  ปลุกชาวพระนครและธนบุรีให้ตื่นขึ้นด้วยความร้อนรน  ผู้คนหลายพันทิ้งภารกิจและปากท้องมุ่งตรงไปยังถนนราชดำเนินและทุ่งพระสุเมรุ   อีกจำนวนมากที่ข้ามเรือมาจากฝั่งธนบุรีเพื่อรอฟังข่าวสำคัญที่หน้าพระบรมมหาราชวังอย่างเนืองแน่น  มีฝูงชนแออัดกันตลอดแนวทุ่งพระสุเมรุไปจนถึงหน้ากระทรวงกลาโหม   

เสียงพูดคุยอื้ออึงของผู้คนกลบเสียงสัญญาณบอกเวลาแปดนาฬิกาที่ดังมาจากกระทรวงไปเสียสิ้น  ฝูงชนถูกกันออกเป็นแนวสองฝั่งเพื่อเปิดเป็นทางเชื่อมระหว่างกระทรวงกลาโหมกับประตูสวัสดิโสภาของพระบรมมหาราชวัง   หลังจากเทียบเวลาแปดนาฬิกาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีขบวนรถจี๊บทหารบกสามคันก็เคลื่อนตัวออกมาจากกระทรวงกลาโหม ทันใดนั้นเองเสียงของฝูงชนทั้งสองฝั่งก็ดังก้องขึ้นทันที

“ท่านผู้นำสู้ๆ”  เสียงของใครบางคนตะโกนนำ

ท่านผู้นำสู้ๆ ๆ ๆเสียงรับต่อกันเป็นทอดดังกระหึ่มขึ้นในขณะที่บุคคลที่ถูกเรียกนั่งอยู่ในรถจี๊บคันที่สองยกมือขึ้นโบกรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย   ไม่กี่อึดใจขบวนรถได้เคลื่อนเข้าไปจอดภายในพระบรมมหาราชวัง ประชาชนที่ชะเง้อคอมองพอเห็นได้ว่าท่านผู้นำของพวกเขาลงจากรถแล้วเดินนำคณะทั้งหมดตรงเข้าไปในพระอุโบสถ

ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจพวกเขาคงนั่งอยู่เบื้องหน้าองค์พระแก้วมรกตแล้ว

////////////////////////

            อีกฟากหนึ่งของถนนราชดำเนินที่เคยเงียบเหงาปรากฏผู้คนจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นระยะทั้งสองฟากทางตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์   สะพานผ่านฟ้าลีลาศ  สะพานผ่านภิภพลีลาถึงทุ่งพระสุเมรุมีทหารยืนเป็นแนวคุมสถานการณ์อยู่ไม่ขาด  จุดที่เป็นสะพานและแยกสำคัญมีการนำรถถังทหารบกมาจอดไว้พร้อมกองกำลังทหารหนึ่งหมู่รวมแล้วไม่น้อยกว่าสิบจุด  นี่เป็นการนำกำลังทหารออกมาควบคุมสถานการณ์ในพระนครมากที่สุดเป็นครั้งแรกนับแต่อภิวัฒน์ 2475 เป็นต้นมา 

รถทุกคันที่วิ่งมาจากถนนรองถูกกันให้ไปใช้เส้นทางอื่นหรือไม่ก็ให้หยุดรอเสียก่อนถึงแยก  ความว่างเปล่าของถนนราชดำเนินที่ทอดยาวจากพระที่นั่งอานันตสมาคมผ่านวัดราชนัดดา ผ่านทุ่งพระสุเมรุมุ่งไปสู่พระบรมมหาราชวังกลายเป็นเส้นทางที่กำลังนำไปสู่การค้นหาคำตอบบางอย่าง 

ผู้คนนับพันรอคอยเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยใจระทึก

เมื่อแดดอุ่นเคลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์มาจนได้เวลาสายของวัน   เสียงเครื่องยนต์นับสิบคันเริ่มคำรามตัดแนวต้นมะขามมาจากด้านกระทรวงเกษตราธิการชัดเจนขึ้นทีละน้อย   ไม่กี่อึดใจหัวขบวนจึงปรากฏให้เห็นโดยเคลื่อนตัวผ่านวัดราชนัดดาด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก  คันแรกคือรถมอเตอร์ไซต์ทหารแบบมีพ่วงข้างนำขบวนมองเห็นธงประจำชาติญี่ปุ่นติดอยู่หน้ารถปลิวมาแต่ไกล  นี่เป็นครั้งแรกที่ชาวพระนครได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมแดงบนผืนผ้าขาวโบกสะบัดอยู่กลางถนนราชดำเนิน

ห่างออกไปทั้งซ้ายและขวาไม่ไกลนักมีรถประเภทเดียวกันอีกฝั่งละคันแล่นขนาบข้าง  รถพ่วงข้างแต่ละคันมีทหารนั่งอยู่กับปืนกลกระบอกเขื่องท่าทางขึงขัง  ถัดไปจากนั้นกลางขบวนเป็นรถยนต์สีเทาที่มีซุ้มล้อโตอีกสามคันแล่นตามมา  ทุกคันติดธงชาติญี่ปุ่นผืนเล็กไว้ข้างหน้ามองเห็นนายทหารญี่ปุ่นนั่งอยู่ในรถคันแรกและคันที่สามชัดเจนยกเว้นแต่รถคันกลางซึ่งมีผ้าม่านปิดทึบ  จากนั้นขบวนถูกปิดท้ายด้วยรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างติดปืนกลอีกสองคัน  สายตาของผู้คนริมสองฝั่งถนนราชดำเนินต่างจับจ้องไปที่รถยนต์ คันกลางเหมือนต้องการให้ผ้าม่านในรถรูดออก 

 “ท่านทูตญี่ปุ่น”  เสียงใครบางคนพูดแทรกออกมาจากฝูงชน

ขบวนรถของเอกอัครทูตญี่ปุ่นได้รับการคุ้มกันแน่นหนาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  เมื่อขบวนแล่นข้ามสะพานผ่านภิภพลีลาเข้าสู่แนวถนนหน้าพระลานเลียบทุ่งพระสุเมรุ  ผู้คนที่จับกลุ่มอยู่ริมถนนต่างกรูกันวิ่งตาม  ทั้งขบวนรถและฝูงชนต่างมุ่งตรงไปยังประตูสวัสดิโกศลของพระบรมมหาราชวังอันเป็นเป้าหมายข้างหน้า  แต่เมื่อขบวนรถมาถึงก็เลี้ยวเข้าพระบรมมหาราชวังทันที  ทิ้งฝูงชนทั้งหมดให้ถูกกั้นอยู่ตรงนั้น 

จำนวนฝูงชนที่มาสมทบยิ่งทำให้พื้นที่โดยรอบหน้ากระทรวงกลาโหมและหน้าประตูสวัสดิโกศลคลาคล่ำจนแทบไม่มีที่ยืน  ไม่นานนักนายทหารหนุ่มยศร้อยตรีนายหนึ่งเดินออกมาจากด้านในก่อนจะหยุดยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนแล้วทำสัญญาณมือด้วยการยกแขนเหนือหัวเหยียดขึ้นตรง  มันเป็นสัญญาณที่ได้ผล  ผู้คนโดยรอบเงียบเสียงลงก่อนที่นายทหารหนุ่มจะประกาศด้วยเสียงอันดัง

“ขอให้พี่น้องอยู่ในความสงบ  ขณะนี้ท่านผู้นำกำลังเจรจากับท่านทูตทสุโบกามิในฐานะตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศเรามากที่สุด”

นายทหารหนุ่มพูดจบจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในพระบรมมหาราชวังทันทีโดยไม่สนใจปฎิกริยาของผู้คนที่คราคร่ำอยู่เบื้องหน้า  ทหารยามสองนายเคลื่อนประตูสวัสดิโสภาปิดทันทีปล่อยให้เสียงของฝูงชนด้านนอกกลับมาอื้ออึงอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้ก็แค่การรอคอย

ความจริงแล้วการรอคอยนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นที่เชิงสะพานท่านางสังข์จังหวัดชุมพรเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน

///////////////////

            ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง  ประตูสวัสดิโสภาถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องของฝูงชน  ขบวนรถของท่านทูตญี่ปุ่นเคลื่อนออกมาเป็นขบวนแรก เสียงของฝูงชนเปลี่ยนไปพร้อมท่าทีที่ไม่ใคร่ยินดีนัก  หลายคนยกมือขึ้นโบกไล่พร้อมเสียงโห่ร้องทำให้เกิดปฎิกริยารับกันเป็นทอดๆ  แต่ทหารและทุกคนในขบวนรถดูเหมือนไม่ให้ความใส่ใจนัก  เมื่อขบวนรถเคลื่อนพ้นศาลาหลักเมืองความสนใจของผู้คนก็ถูกดึงกลับมาที่ประตูสวัสดิโกศลอีกครั้ง

            ไม่นานนักขบวนรถจี๊บของท่านผู้นำจึงเคลื่อนออกมา คราวนี้ฝูงชนทั้งสองฝั่งพยายามขยับข้ามแนวกั้นของทหารเพื่อเข้าไปใกล้รถของท่านผู้นำมากขึ้นจึงทำให้เกิดการโกลาหลกันเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรฝูงชนก็ไม่อาจต้านแนวทหารเข้าไปประชิดได้ 

            “ท่านผู้นำสู้ๆ”  เสียงตะโกนถ้อยคำเดิมดังกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมเสียงขานรับของผู้คนกระหึ่มไปทั่วบริเวณ 

ขบวนรถของท่านผู้นำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือชะลอลงและครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ยกมือทักทายประชาชนเหมือนเดิมนอกจากนั่งตัวตรงมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าและแววตาที่เครียดเข้ม  ประชาชนบางคนพยายามจะวิ่งกรูตามท้ายขบวนรถเข้าไปในเขตกระทรวงกลาโหมแต่ก็ถูแนวทหารกั้นไว้ห่างจากนางพญาตาณีไม่มากนัก

            “พี่น้องที่รักทั้งหลาย”  เสียงของร้อยตรีหนุ่มคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง  ฝูงชนที่หน้ากระทรวงกลาโหมต่างหันหน้ากลับมายังหน้าประตูสวัสดิโกศลเกือบจะพร้อมๆ กันทันที  ภาพที่เห็นคือร้อยตรีหนุ่มถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ เมื่อทุกอย่างสงบลงนายทหารหนุ่มจึงเริ่มอ่านแถลงการณ์

“ขอให้พี่น้องอยู่ในความสงบ   ผมกำลังจะอ่านแถลงการณ์”  นายทหารหนุ่มยกมือที่ถือกระดาษขึ้นเหนือหัวเพื่อให้ทุกคนได้เห็นและหันกลับมาสนใจ แล้วกระดาษแผ่นเดียวก็สามารถหยุดความสับสนอลหม่านเบื้องหน้าอย่างได้ผล เมื่อทุกอย่างสงบลงนายทหารหนุ่มจึงเริ่มอ่านแถลงการณ์

            “ผลการเจรจาระหว่างท่านทูตญี่ปุ่นในฐานะตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่นและท่านผู้นำในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทยและปวงชนชาวไทยได้ข้อยุติดังนี้”  ร้อยตรีหนุ่มขยับกระดาษเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันสั่นไปตามมือของเขา

            “รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นได้ลงนามร่วมกันในสัญญาเป็นพันธมิตรสงครามบนเงื่อนไขสำคัญว่าจะไม่มีการรุกรานหรือใช้กำลังทหารต่อกัน  รัฐบาลไทยและพลเมืองไทยยินดีที่จะให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนผ่านดินแดนไทยไปเพื่อปฏิบัติภารกิจทางทหารยังประเทศที่สามได้โดยไม่มีการต่อต้านอันใด  ในขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นยินดีให้การสนับสนุนแก่รัฐบาลไทยหากมีการร้องขอ  เพื่อประโยชน์แก่บูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย”  ร้อยตรีหนุ่มขยับกระดาษในมืออีกครั้ง   ตอนนี้เหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าคมเข้มภายใต้หมวกทรงหม้อตาลเริ่มปรากฏให้เห็น  เขาเหลือบตามองไปยังฝูงชนที่เงียบกริบเบื้องหน้าชั่วอึดใจเหมือนจะดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก่อนจะอ่านแถลงการณ์ต่อไป

            “ท่านผู้นำในฐานะของตัวแทนรัฐบาลไทยขอยืนยันว่า  ได้ตัดสินใจอย่างดีที่สุดโดยยึดมั่นอยู่บนผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง  ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นและอยู่ในความสงบ  รัฐบาลโดยท่านผู้นำจะประคับประคองสถานการณ์ข้างหน้าให้ดีที่สุด  ขอให้ติดตามและรับฟังคำประกาศสำคัญจากรัฐบาลเป็นระยะต่อจากนี้  ขอให้พี่น้องวางใจ”

            จบแถลงการณ์ร้อยตรีหนุ่มยกมือขึ้นทำวันทยาหัตต่อฝูงชนเบื้องหน้าก่อนจะหันหลังกลับเข้าประตูสวัสดิโกศลพร้อมกับเสียงโห่ฮาของฝูงชนที่ไล่หลังไปในทันที

            “ไม่เอา ไม่เอา  เราไม่เอาญี่ปุ่น”  ใครบางคนปลุกเร้าฝูงชนขึ้นมาอีกครั้ง

            “ไม่เอาญี่ปุ่น ไม่เอาญี่ปุ่น”  เพีงแค่อึดใจเสียงฝูงชนก็ตอบรับกันเป็นทอดจากหน้ากระทรวงกลาโหมอื้ออึงต่อเนื่องไปถึงทุ่งพระสุเมรุและตลอดแนวถนนหน้าพระลาน 

            ร้อยตรีนันทภักดิ์ได้ยินเสียงที่ไล่หลังนั้นได้อย่างชัดเจน  ในขณะที่เขาเดินกลับเข้าไปในบริเวณหน้าพระอุโบสถ  มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่สองนายยืนสนทนากันอย่างเคร่งเครียดอยู่ตรงนั้น  หนึ่งในนั้นหันมาทางร้อยตรีหนุ่มที่กำลังเดินตรงไปหา

            “เรียบร้อยดีมั๊ยผู้หมวด”  นายทหารยศพันเอกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาล

            “เรียบร้อย..ครับผม”  ร้อยตรีหนุ่มชิดเท้าทำความเคารพก่อนจะตอบทีท่าอันดูเหมือนจะซ่อนความจริงเอาไว้ไม่มิด

            “เสียงที่ผมได้ยินดูเหมือนจะเรียบร้อยมากสิน่ะผู้หมวด”  คำพูดของนายทหารใหญ่ทำให้ร้อยตรีหนุ่มเหลือบตาลงต่ำฟเหมือนจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงนัยตำหนิและเย้ยหยันอยู่ในที  ทุกคนเริ่มรู้ดีว่าปฏิกิริยาของประชาชนในครั้งนี้เป็นไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลได้ตัดสินใจทำไปเท่าไหร่นัก 

            “ท่านครับ”  นายทหารอีกคนที่ยืนสนทนาอยู่ก่อนหน้านี้ขยับร่างค่อนข้างท้วมของเขาเข้ามาระหว่างร้อยตรีหนุ่มกับพันเอกฤทธิรงค์

            “ผู้พันมีอะไร”  พันเอกฤทธิรงค์เอ่ยถามขณะที่ปากของเขายังคาบซิก้ามวนโต  เสียงดีดฝาไฟแช็คดังขึ้นพร้อมวงควันที่ลอยม้วนตัวขึ้นด้านบน  นายทหารใหญ่คีบซิก้าออกจากปากพลางหันมาทางนายทหารคนนั้น

            “เรื่องที่เราต้องตั้งศูนย์วิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น  ท่านคิดว่า...”  ยังไม่ทันสิ้นคำนายทหารใหญ่ยกมือขึ้นปรามแล้วชิงพูดขึ้นในทันที 

            “ผมรู้แล้วผู้พัน  ผมคิดไว้แล้วว่าจะต้องทำยังไง”  พันเอกฤทธิรงค์กล่าวด้วยความมั่นใจก่อนจะจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของคู่สนทนาแล้วเอ่ยต่อ   “ผู้พันรีบกลับไปที่กรมแล้วแจ้งให้ผู้กองพิชยุทธไปพบผมที่ห้องทำงานพรุ่งนี้เช้า  บอกว่าผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา” 

            “เอ่อ... “ นายทหารผู้ต่ำอาวุโสกว่ารอจนร้อยตรีหนุ่มเดินพ้นไปจากมุมพระอุโบสถก่อนจะพูดต่ออย่างยากลำบาก

            “ท่านคิดดีแล้วเหรอครับ ?”

            “ผู้พันวิชาญภพ” ชื่อของพันตรีร่างท้วมถูกขานขึ้นด้วยเสียงที่ลากยาวเจืออารมณ์ขุ่นเข้ม

“ถึงเขาจะเป็นลูกน้องโดยตรงในแผนกของผู้พัน แต่อย่าลืมว่าผมได้รับคำสั่งสำคัญ เมื่อกี้คุณก็ได้ยินเต็มสองหูว่าท่านผู้นำกำชับให้ผมทำเรื่องนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว”  นายทหารใหญ่กล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

            “เอ่อ....ผมคิดว่า ท่านอาจจะรายงานท่านผู้นำให้ทราบเรื่องนี้เสียก่อน”   พันตรีวิชาญภพแอบมองนัยตาของนายทหารใหญ่ในเสี้ยววินาที   แม้ว่าเขาจะพยายามพูดต่อด้วยความระมัดระวังคำสำคัญก็หลุดออกมาจากปากของพันเอกฤทธิรงค์ในที่สุด

            “ทำไม ผู้พันเกรงใจหลวงปราบนักรึ ?

            “ไม่ใช่เช่นนั้นครับ”  พันตรีวิชาญภพตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย  เขาพยายามเก็บอาการบางอย่างไว้ในขณะที่อีกฝ่ายไม่เป็นเช่นนั้น

            “ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลวงปราบ  ในสถานการณ์อย่างนี้ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องเก่ามารื้อฟื้น”  นายทหารใหญ่เงียบไปชั่วครู่แต่ไม่ละสายตาที่จ้องมองเข้าไปในแววตาของพันตรีวิชาญภพเขม็งก่อนจะผ่อนเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

            “ผู้พันอย่าลืมสิว่า  ผู้กองพิชยุทธ์คือนายทหารมือดีที่เชี่ยวชาญเรื่องสื่อสารมากที่สุดที่เรามีอยู่ในตอนนี้และเขาก็ไม่เคยเกี่ยวพันกับเรื่องเก่าๆ  แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเรื่องนี้ผมรับผิดชอบเอง” พันเอกฤทธิรงค์เพ่งมองคู่สนทนานิ่งเหมือนต้องการให้ทุกอย่างจบลงเพียงแค่นี้แต่อีกฝ่ายยังเอ่ยต่อ

            “หวังว่าจะเป็นอย่างที่ท่านพูด”  พันตรีวิชาญภพเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แข็งขึ้นไม่แพ้กัน

            “ผู้พันคุณกำลังก้าวล่วงผมหรือเปล่า”  นายทหารใหญ่ขึ้นเสียงเช้มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

            “มิได้ครับผมคงไม่มีอะไรจะทัดทานท่าน”  พันตรีวิชาญภพยกมือทำความเคารพแล้วเดินจากไปทันที

            การสนทนาจบลงอย่างไม่สิ้นกระแสความ  ต่างฝ่ายต่างทิ้งร่องรอยของความคิดบางอย่างเอาไว้พันเอกฤทธิรงค์ยืนมองพันตรีวิชาญภพที่เดินเข้าไปพระอุโบสถอย่างไม่ละสายตาก่อนที่จะหมุนตัวเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่  ตอนนี้ในความคิดของเขามีภาพของพันโทหลวงปราบ  บุรินทร์นรเศรษฐ์ บิดาของร้อยเอกพิชยุทธ บุรินทร์นรเศรษฐ์ ปรากฏขึ้นมาอย่างแจ่มชัด

            พันตรีวิชาญภพสลัดความคิดเก่าๆ ออกไปจากหัวเมื่อเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในพระอุโบสถ ซึ่งตอนนี้ภายในดูเงียบสงัด  เจ้าหน้าที่และทหารทุกคนกลับออกไปหมดแล้ว  นายทหารร่างท้วมในเครื่องแบบเต็มยศพถอดหมวกออกก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์พระแก้วมรกต 

            เขายกมือขึ้นหว่างอกแล้วเพ่งมองไปที่พระพุทธรูปที่ได้ชื่อว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองเบื้องหน้า  ไม่มีใครล่วงรู้ว่านายทหารที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกำลังอธิษฐานอะไร

            ฝูงชนทยอยกลับสู่เคหสถานไปแล้ว  ถนนหน้ากระทรวงกลาโหม ถนนหน้าพระลานและถนนราชดำเนินเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติเหลือเพียงชายฉกรรจ์ไม่กี่คนจับกลุ่มพูดคุยกันตามพุ่มมะขาม  ทหารรักษาการณ์ตามจุดสำคัญเริ่มถอนกำลังกลับ  หน้ากระทรวงกลาโหมเหลือเพียงทหารเวรไม่กี่นายในขณะที่ประตูสวัสดิโกศลบัดนี้ได้ถูกลงกลอนปิดสนิท

            ลมยามบ่ายของเดือนธันวาคมพัดเอื่อยมาอีกครั้งอย่างเคยชิน  ถนนราชดำเนินเสร็จสิ้นภารกิจของการค้นหาคำตอบที่ถูกคาดเดามานานนับสัปดาห์

            แต่ภารกิจของใครบางคนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น!!



...............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น