ดอกไม้ในตะวัน
บทที่ 1
สัญญาณสงคราม
ผ่านพ้นไปไม่ถึงสองสัปดาห์ ข่าวลือเรื่องสงครามครั้งใหม่แพร่สะพัดจากหัวเมืองใต้สู่พระนครจากพระนครออกไปทุกพื้นที่เหมือนไฟลามทุ่ง ข่าวสารที่ส่งต่อถูกขยายความด้วยความรู้สึกอันร้อนเร้นของผู้คน ทิศทางของมันแผ่วงกว้างออกจากศูนย์กลางราวหินก้อนใหญ่ที่ตกกระแทกผืนน้ำ
แต่ทว่า...ท่ามเปลวไฟแห่งข่าวสารกำลังถูกกระพือโหมกลับมีบางอย่างแตกต่างไปจากข่าวรบพุ่งกับอริต่างแดนทุกครั้งที่ผ่านมา
ข่าวลือครั้งนี้มีสิ่งที่มองไม่เห็นซึมซ่อนไปกับความรู้สึกของผู้คน บ้างก็ว่ายุวชนทหารที่เป็นลูกหลานชาวชุมพรเสียชีวิตและบาดเจ็บนับสิบ บ้างก็ว่าตายไปไม่กี่นายพร้อมกับนายทหารผู้บังคับบัญชาของพวกเขา
แต่ไม่ว่าจะมีการสูญเสียเกิดขึ้นสักเท่าไหร่ มันย่อมเป็นเรื่องที่หดหู่เกินไปสำหรับเพื่อนร่วมแผ่นดินที่ต้องมาเห็นและรับรู้ว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวต้องมาจบชีวิตลงด้วยสงครามที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ
ในสายตาของใครบางคนนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาจะได้เห็นในชีวิตนี้
!
และแล้วข่าวลือที่สำทับกับข่าวของรัฐบาลซึ่งกระจายเสียงผ่านสถานีวิทยุของกรมโฆษณาการยิ่งทำให้เค้ารางของสงครามแจ่มชัดยิ่งขึ้น
โฆษกสถานีอ่านประกาศทุกวันเนื้อความวนเวียนและตอกย้ำว่าขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับการยกพลขึ้นบกของกองทหารญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นหลายจุดตลอดแนวชายฝั่งภาคใต้และชายแดนด้านตะวันออก
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามทำกลับกลายเป็นเชื้อปะทุแห่งความสงสัย !!
ประชาชนเริ่มจับสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของท่านผู้นำที่มีต่อสถานการณ์ในวันนี้แตกต่างไปจากปฏิบัติการเพื่อช่วงชิงดินแดนสี่จังหวัดด้านตะวันออกคืนจากประเทศฝรั่งเศสเมื่อไม่ถึงขวบปีที่ผ่านมา
สมาชิกสภากาแฟแทบทุกแห่งเฝ้าถอดรหัสคำประกาศอย่างเข้มแข็งแต่แฝงอาการลังเลอยู่ในเนื้อความราวกับรู้ว่ากำลังเผชิญกับสิ่งที่ยากเกินกว่าจะรับมือ
การจับกลุ่มพูดคุยคาดเดาท่าทีและการตัดสินใจของรัฐบาลจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้คนทั่วทั้งพระนครและหัวเมือง
ก้อนเมฆแห่งความรู้สึกกำลังก่อตัวมืดทมึนกระจายไปทั่วผืนฟ้า
แน่นอนว่าในพระนครข่าวลือนี้ดูเหมือนจะเข้มข้นยิ่งกว่าตามหัวเมือง ชาวบางกอกเริ่มเห็นทหารและเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเข้าออกตามสถานที่ราชการสำคัญมานานนับเดือน หน่วยงานราชการบางแห่งต้องย้ายเจ้าหน้าที่ของตัวเองไปอาศัยทำงานกับส่วนราชการอื่นเพื่อเปิดทางให้ทหารญี่ปุ่นใช้เป็นกองบัญชาการหลักไปเสียแล้ว
ข้าราชการชั้นผู้น้อยของหน่วยงานที่โดนยึดกลายเป็นเจ้ากรมข่าวลือเพียงชั่วข้ามคืน แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องพูดกับญาติหรือผู้คนตามสภากาแฟจากภาพที่ได้เห็นด้วยสีสันที่จัดจ้านกว่าความเป็นจริง
“ทหารญี่ปุ่นบุกยึดสถานที่ราชการไว้หมดแล้ว !!”
เช้าตรู่ของวันที่ 21
ธันวาคมพุทธศักราช 2484 ปลุกชาวพระนครและธนบุรีให้ตื่นขึ้นด้วยความร้อนรน ผู้คนหลายพันทิ้งภารกิจและปากท้องมุ่งตรงไปยังถนนราชดำเนินและทุ่งพระสุเมรุ อีกจำนวนมากที่ข้ามเรือมาจากฝั่งธนบุรีเพื่อรอฟังข่าวสำคัญที่หน้าพระบรมมหาราชวังอย่างเนืองแน่น
มีฝูงชนแออัดกันตลอดแนวทุ่งพระสุเมรุไปจนถึงหน้ากระทรวงกลาโหม
เสียงพูดคุยอื้ออึงของผู้คนกลบเสียงสัญญาณบอกเวลาแปดนาฬิกาที่ดังมาจากกระทรวงไปเสียสิ้น
ฝูงชนถูกกันออกเป็นแนวสองฝั่งเพื่อเปิดเป็นทางเชื่อมระหว่างกระทรวงกลาโหมกับประตูสวัสดิโสภาของพระบรมมหาราชวัง หลังจากเทียบเวลาแปดนาฬิกาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีขบวนรถจี๊บทหารบกสามคันก็เคลื่อนตัวออกมาจากกระทรวงกลาโหม
ทันใดนั้นเองเสียงของฝูงชนทั้งสองฝั่งก็ดังก้องขึ้นทันที
“ท่านผู้นำสู้ๆ” เสียงของใครบางคนตะโกนนำ
“ท่านผู้นำสู้ๆ
ๆ ๆ” เสียงรับต่อกันเป็นทอดดังกระหึ่มขึ้นในขณะที่บุคคลที่ถูกเรียกนั่งอยู่ในรถจี๊บคันที่สองยกมือขึ้นโบกรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ไม่กี่อึดใจขบวนรถได้เคลื่อนเข้าไปจอดภายในพระบรมมหาราชวัง
ประชาชนที่ชะเง้อคอมองพอเห็นได้ว่าท่านผู้นำของพวกเขาลงจากรถแล้วเดินนำคณะทั้งหมดตรงเข้าไปในพระอุโบสถ
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจพวกเขาคงนั่งอยู่เบื้องหน้าองค์พระแก้วมรกตแล้ว
////////////////////////
อีกฟากหนึ่งของถนนราชดำเนินที่เคยเงียบเหงาปรากฏผู้คนจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นระยะทั้งสองฟากทางตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ สะพานผ่านภิภพลีลาถึงทุ่งพระสุเมรุมีทหารยืนเป็นแนวคุมสถานการณ์อยู่ไม่ขาด
จุดที่เป็นสะพานและแยกสำคัญมีการนำรถถังทหารบกมาจอดไว้พร้อมกองกำลังทหารหนึ่งหมู่รวมแล้วไม่น้อยกว่าสิบจุด
นี่เป็นการนำกำลังทหารออกมาควบคุมสถานการณ์ในพระนครมากที่สุดเป็นครั้งแรกนับแต่อภิวัฒน์
2475 เป็นต้นมา
รถทุกคันที่วิ่งมาจากถนนรองถูกกันให้ไปใช้เส้นทางอื่นหรือไม่ก็ให้หยุดรอเสียก่อนถึงแยก ความว่างเปล่าของถนนราชดำเนินที่ทอดยาวจากพระที่นั่งอานันตสมาคมผ่านวัดราชนัดดา
ผ่านทุ่งพระสุเมรุมุ่งไปสู่พระบรมมหาราชวังกลายเป็นเส้นทางที่กำลังนำไปสู่การค้นหาคำตอบบางอย่าง
ผู้คนนับพันรอคอยเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยใจระทึก
เมื่อแดดอุ่นเคลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์มาจนได้เวลาสายของวัน
เสียงเครื่องยนต์นับสิบคันเริ่มคำรามตัดแนวต้นมะขามมาจากด้านกระทรวงเกษตราธิการชัดเจนขึ้นทีละน้อย ไม่กี่อึดใจหัวขบวนจึงปรากฏให้เห็นโดยเคลื่อนตัวผ่านวัดราชนัดดาด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก
คันแรกคือรถมอเตอร์ไซต์ทหารแบบมีพ่วงข้างนำขบวนมองเห็นธงประจำชาติญี่ปุ่นติดอยู่หน้ารถปลิวมาแต่ไกล นี่เป็นครั้งแรกที่ชาวพระนครได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมแดงบนผืนผ้าขาวโบกสะบัดอยู่กลางถนนราชดำเนิน
ห่างออกไปทั้งซ้ายและขวาไม่ไกลนักมีรถประเภทเดียวกันอีกฝั่งละคันแล่นขนาบข้าง รถพ่วงข้างแต่ละคันมีทหารนั่งอยู่กับปืนกลกระบอกเขื่องท่าทางขึงขัง
ถัดไปจากนั้นกลางขบวนเป็นรถยนต์สีเทาที่มีซุ้มล้อโตอีกสามคันแล่นตามมา ทุกคันติดธงชาติญี่ปุ่นผืนเล็กไว้ข้างหน้ามองเห็นนายทหารญี่ปุ่นนั่งอยู่ในรถคันแรกและคันที่สามชัดเจนยกเว้นแต่รถคันกลางซึ่งมีผ้าม่านปิดทึบ จากนั้นขบวนถูกปิดท้ายด้วยรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างติดปืนกลอีกสองคัน สายตาของผู้คนริมสองฝั่งถนนราชดำเนินต่างจับจ้องไปที่รถยนต์
คันกลางเหมือนต้องการให้ผ้าม่านในรถรูดออก
“ท่านทูตญี่ปุ่น” เสียงใครบางคนพูดแทรกออกมาจากฝูงชน
ขบวนรถของเอกอัครทูตญี่ปุ่นได้รับการคุ้มกันแน่นหนาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อขบวนแล่นข้ามสะพานผ่านภิภพลีลาเข้าสู่แนวถนนหน้าพระลานเลียบทุ่งพระสุเมรุ ผู้คนที่จับกลุ่มอยู่ริมถนนต่างกรูกันวิ่งตาม ทั้งขบวนรถและฝูงชนต่างมุ่งตรงไปยังประตูสวัสดิโกศลของพระบรมมหาราชวังอันเป็นเป้าหมายข้างหน้า แต่เมื่อขบวนรถมาถึงก็เลี้ยวเข้าพระบรมมหาราชวังทันที ทิ้งฝูงชนทั้งหมดให้ถูกกั้นอยู่ตรงนั้น
จำนวนฝูงชนที่มาสมทบยิ่งทำให้พื้นที่โดยรอบหน้ากระทรวงกลาโหมและหน้าประตูสวัสดิโกศลคลาคล่ำจนแทบไม่มีที่ยืน ไม่นานนักนายทหารหนุ่มยศร้อยตรีนายหนึ่งเดินออกมาจากด้านในก่อนจะหยุดยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนแล้วทำสัญญาณมือด้วยการยกแขนเหนือหัวเหยียดขึ้นตรง
มันเป็นสัญญาณที่ได้ผล
ผู้คนโดยรอบเงียบเสียงลงก่อนที่นายทหารหนุ่มจะประกาศด้วยเสียงอันดัง
“ขอให้พี่น้องอยู่ในความสงบ
ขณะนี้ท่านผู้นำกำลังเจรจากับท่านทูตทสุโบกามิในฐานะตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศเรามากที่สุด”
นายทหารหนุ่มพูดจบจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในพระบรมมหาราชวังทันทีโดยไม่สนใจปฎิกริยาของผู้คนที่คราคร่ำอยู่เบื้องหน้า ทหารยามสองนายเคลื่อนประตูสวัสดิโสภาปิดทันทีปล่อยให้เสียงของฝูงชนด้านนอกกลับมาอื้ออึงอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้ก็แค่การรอคอย
ความจริงแล้วการรอคอยนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นที่เชิงสะพานท่านางสังข์จังหวัดชุมพรเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน
///////////////////
ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง ประตูสวัสดิโสภาถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องของฝูงชน ขบวนรถของท่านทูตญี่ปุ่นเคลื่อนออกมาเป็นขบวนแรก
เสียงของฝูงชนเปลี่ยนไปพร้อมท่าทีที่ไม่ใคร่ยินดีนัก หลายคนยกมือขึ้นโบกไล่พร้อมเสียงโห่ร้องทำให้เกิดปฎิกริยารับกันเป็นทอดๆ แต่ทหารและทุกคนในขบวนรถดูเหมือนไม่ให้ความใส่ใจนัก
เมื่อขบวนรถเคลื่อนพ้นศาลาหลักเมืองความสนใจของผู้คนก็ถูกดึงกลับมาที่ประตูสวัสดิโกศลอีกครั้ง
ไม่นานนักขบวนรถจี๊บของท่านผู้นำจึงเคลื่อนออกมา
คราวนี้ฝูงชนทั้งสองฝั่งพยายามขยับข้ามแนวกั้นของทหารเพื่อเข้าไปใกล้รถของท่านผู้นำมากขึ้นจึงทำให้เกิดการโกลาหลกันเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไรฝูงชนก็ไม่อาจต้านแนวทหารเข้าไปประชิดได้
“ท่านผู้นำสู้ๆ” เสียงตะโกนถ้อยคำเดิมดังกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมเสียงขานรับของผู้คนกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
ขบวนรถของท่านผู้นำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือชะลอลงและครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ยกมือทักทายประชาชนเหมือนเดิมนอกจากนั่งตัวตรงมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าและแววตาที่เครียดเข้ม ประชาชนบางคนพยายามจะวิ่งกรูตามท้ายขบวนรถเข้าไปในเขตกระทรวงกลาโหมแต่ก็ถูแนวทหารกั้นไว้ห่างจากนางพญาตาณีไม่มากนัก
“พี่น้องที่รักทั้งหลาย” เสียงของร้อยตรีหนุ่มคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ฝูงชนที่หน้ากระทรวงกลาโหมต่างหันหน้ากลับมายังหน้าประตูสวัสดิโกศลเกือบจะพร้อมๆ
กันทันที
ภาพที่เห็นคือร้อยตรีหนุ่มถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ
เมื่อทุกอย่างสงบลงนายทหารหนุ่มจึงเริ่มอ่านแถลงการณ์
“ขอให้พี่น้องอยู่ในความสงบ ผมกำลังจะอ่านแถลงการณ์”
นายทหารหนุ่มยกมือที่ถือกระดาษขึ้นเหนือหัวเพื่อให้ทุกคนได้เห็นและหันกลับมาสนใจ
แล้วกระดาษแผ่นเดียวก็สามารถหยุดความสับสนอลหม่านเบื้องหน้าอย่างได้ผล เมื่อทุกอย่างสงบลงนายทหารหนุ่มจึงเริ่มอ่านแถลงการณ์
“ผลการเจรจาระหว่างท่านทูตญี่ปุ่นในฐานะตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่นและท่านผู้นำในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทยและปวงชนชาวไทยได้ข้อยุติดังนี้” ร้อยตรีหนุ่มขยับกระดาษเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันสั่นไปตามมือของเขา
“รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นได้ลงนามร่วมกันในสัญญาเป็นพันธมิตรสงครามบนเงื่อนไขสำคัญว่าจะไม่มีการรุกรานหรือใช้กำลังทหารต่อกัน
รัฐบาลไทยและพลเมืองไทยยินดีที่จะให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนผ่านดินแดนไทยไปเพื่อปฏิบัติภารกิจทางทหารยังประเทศที่สามได้โดยไม่มีการต่อต้านอันใด
ในขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นยินดีให้การสนับสนุนแก่รัฐบาลไทยหากมีการร้องขอ
เพื่อประโยชน์แก่บูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย” ร้อยตรีหนุ่มขยับกระดาษในมืออีกครั้ง
ตอนนี้เหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าคมเข้มภายใต้หมวกทรงหม้อตาลเริ่มปรากฏให้เห็น เขาเหลือบตามองไปยังฝูงชนที่เงียบกริบเบื้องหน้าชั่วอึดใจเหมือนจะดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก่อนจะอ่านแถลงการณ์ต่อไป
“ท่านผู้นำในฐานะของตัวแทนรัฐบาลไทยขอยืนยันว่า
ได้ตัดสินใจอย่างดีที่สุดโดยยึดมั่นอยู่บนผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นและอยู่ในความสงบ
รัฐบาลโดยท่านผู้นำจะประคับประคองสถานการณ์ข้างหน้าให้ดีที่สุด
ขอให้ติดตามและรับฟังคำประกาศสำคัญจากรัฐบาลเป็นระยะต่อจากนี้ ขอให้พี่น้องวางใจ”
จบแถลงการณ์ร้อยตรีหนุ่มยกมือขึ้นทำวันทยาหัตต่อฝูงชนเบื้องหน้าก่อนจะหันหลังกลับเข้าประตูสวัสดิโกศลพร้อมกับเสียงโห่ฮาของฝูงชนที่ไล่หลังไปในทันที
“ไม่เอา
ไม่เอา เราไม่เอาญี่ปุ่น” ใครบางคนปลุกเร้าฝูงชนขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เอาญี่ปุ่น ไม่เอาญี่ปุ่น”
เพีงแค่อึดใจเสียงฝูงชนก็ตอบรับกันเป็นทอดจากหน้ากระทรวงกลาโหมอื้ออึงต่อเนื่องไปถึงทุ่งพระสุเมรุและตลอดแนวถนนหน้าพระลาน
ร้อยตรีนันทภักดิ์ได้ยินเสียงที่ไล่หลังนั้นได้อย่างชัดเจน
ในขณะที่เขาเดินกลับเข้าไปในบริเวณหน้าพระอุโบสถ มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่สองนายยืนสนทนากันอย่างเคร่งเครียดอยู่ตรงนั้น
หนึ่งในนั้นหันมาทางร้อยตรีหนุ่มที่กำลังเดินตรงไปหา
“เรียบร้อยดีมั๊ยผู้หมวด” นายทหารยศพันเอกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาล
“เรียบร้อย..ครับผม” ร้อยตรีหนุ่มชิดเท้าทำความเคารพก่อนจะตอบทีท่าอันดูเหมือนจะซ่อนความจริงเอาไว้ไม่มิด
“เสียงที่ผมได้ยินดูเหมือนจะเรียบร้อยมากสิน่ะผู้หมวด” คำพูดของนายทหารใหญ่ทำให้ร้อยตรีหนุ่มเหลือบตาลงต่ำฟเหมือนจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงนัยตำหนิและเย้ยหยันอยู่ในที
ทุกคนเริ่มรู้ดีว่าปฏิกิริยาของประชาชนในครั้งนี้เป็นไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลได้ตัดสินใจทำไปเท่าไหร่นัก
“ท่านครับ”
นายทหารอีกคนที่ยืนสนทนาอยู่ก่อนหน้านี้ขยับร่างค่อนข้างท้วมของเขาเข้ามาระหว่างร้อยตรีหนุ่มกับพันเอกฤทธิรงค์
“ผู้พันมีอะไร” พันเอกฤทธิรงค์เอ่ยถามขณะที่ปากของเขายังคาบซิก้ามวนโต เสียงดีดฝาไฟแช็คดังขึ้นพร้อมวงควันที่ลอยม้วนตัวขึ้นด้านบน
นายทหารใหญ่คีบซิก้าออกจากปากพลางหันมาทางนายทหารคนนั้น
“เรื่องที่เราต้องตั้งศูนย์วิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น ท่านคิดว่า...” ยังไม่ทันสิ้นคำนายทหารใหญ่ยกมือขึ้นปรามแล้วชิงพูดขึ้นในทันที
“ผมรู้แล้วผู้พัน ผมคิดไว้แล้วว่าจะต้องทำยังไง” พันเอกฤทธิรงค์กล่าวด้วยความมั่นใจก่อนจะจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของคู่สนทนาแล้วเอ่ยต่อ “ผู้พันรีบกลับไปที่กรมแล้วแจ้งให้ผู้กองพิชยุทธไปพบผมที่ห้องทำงานพรุ่งนี้เช้า บอกว่าผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา”
“เอ่อ... “ นายทหารผู้ต่ำอาวุโสกว่ารอจนร้อยตรีหนุ่มเดินพ้นไปจากมุมพระอุโบสถก่อนจะพูดต่ออย่างยากลำบาก
“ท่านคิดดีแล้วเหรอครับ
?”
“ผู้พันวิชาญภพ” ชื่อของพันตรีร่างท้วมถูกขานขึ้นด้วยเสียงที่ลากยาวเจืออารมณ์ขุ่นเข้ม
“ถึงเขาจะเป็นลูกน้องโดยตรงในแผนกของผู้พัน
แต่อย่าลืมว่าผมได้รับคำสั่งสำคัญ
เมื่อกี้คุณก็ได้ยินเต็มสองหูว่าท่านผู้นำกำชับให้ผมทำเรื่องนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว” นายทหารใหญ่กล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เอ่อ....ผมคิดว่า
ท่านอาจจะรายงานท่านผู้นำให้ทราบเรื่องนี้เสียก่อน” พันตรีวิชาญภพแอบมองนัยตาของนายทหารใหญ่ในเสี้ยววินาที แม้ว่าเขาจะพยายามพูดต่อด้วยความระมัดระวังคำสำคัญก็หลุดออกมาจากปากของพันเอกฤทธิรงค์ในที่สุด
“ทำไม
ผู้พันเกรงใจหลวงปราบนักรึ ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นครับ” พันตรีวิชาญภพตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาพยายามเก็บอาการบางอย่างไว้ในขณะที่อีกฝ่ายไม่เป็นเช่นนั้น
“ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลวงปราบ ในสถานการณ์อย่างนี้ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องเก่ามารื้อฟื้น” นายทหารใหญ่เงียบไปชั่วครู่แต่ไม่ละสายตาที่จ้องมองเข้าไปในแววตาของพันตรีวิชาญภพเขม็งก่อนจะผ่อนเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“ผู้พันอย่าลืมสิว่า
ผู้กองพิชยุทธ์คือนายทหารมือดีที่เชี่ยวชาญเรื่องสื่อสารมากที่สุดที่เรามีอยู่ในตอนนี้และเขาก็ไม่เคยเกี่ยวพันกับเรื่องเก่าๆ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเรื่องนี้ผมรับผิดชอบเอง”
พันเอกฤทธิรงค์เพ่งมองคู่สนทนานิ่งเหมือนต้องการให้ทุกอย่างจบลงเพียงแค่นี้แต่อีกฝ่ายยังเอ่ยต่อ
“หวังว่าจะเป็นอย่างที่ท่านพูด”
พันตรีวิชาญภพเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แข็งขึ้นไม่แพ้กัน
“ผู้พันคุณกำลังก้าวล่วงผมหรือเปล่า” นายทหารใหญ่ขึ้นเสียงเช้มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“มิได้ครับผมคงไม่มีอะไรจะทัดทานท่าน”
พันตรีวิชาญภพยกมือทำความเคารพแล้วเดินจากไปทันที
การสนทนาจบลงอย่างไม่สิ้นกระแสความ ต่างฝ่ายต่างทิ้งร่องรอยของความคิดบางอย่างเอาไว้พันเอกฤทธิรงค์ยืนมองพันตรีวิชาญภพที่เดินเข้าไปพระอุโบสถอย่างไม่ละสายตาก่อนที่จะหมุนตัวเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่
ตอนนี้ในความคิดของเขามีภาพของพันโทหลวงปราบ บุรินทร์นรเศรษฐ์ บิดาของร้อยเอกพิชยุทธ
บุรินทร์นรเศรษฐ์ ปรากฏขึ้นมาอย่างแจ่มชัด
พันตรีวิชาญภพสลัดความคิดเก่าๆ
ออกไปจากหัวเมื่อเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในพระอุโบสถ ซึ่งตอนนี้ภายในดูเงียบสงัด เจ้าหน้าที่และทหารทุกคนกลับออกไปหมดแล้ว นายทหารร่างท้วมในเครื่องแบบเต็มยศพถอดหมวกออกก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์พระแก้วมรกต
เขายกมือขึ้นหว่างอกแล้วเพ่งมองไปที่พระพุทธรูปที่ได้ชื่อว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองเบื้องหน้า
ไม่มีใครล่วงรู้ว่านายทหารที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกำลังอธิษฐานอะไร
ฝูงชนทยอยกลับสู่เคหสถานไปแล้ว ถนนหน้ากระทรวงกลาโหม
ถนนหน้าพระลานและถนนราชดำเนินเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติเหลือเพียงชายฉกรรจ์ไม่กี่คนจับกลุ่มพูดคุยกันตามพุ่มมะขาม ทหารรักษาการณ์ตามจุดสำคัญเริ่มถอนกำลังกลับ หน้ากระทรวงกลาโหมเหลือเพียงทหารเวรไม่กี่นายในขณะที่ประตูสวัสดิโกศลบัดนี้ได้ถูกลงกลอนปิดสนิท
ลมยามบ่ายของเดือนธันวาคมพัดเอื่อยมาอีกครั้งอย่างเคยชิน
ถนนราชดำเนินเสร็จสิ้นภารกิจของการค้นหาคำตอบที่ถูกคาดเดามานานนับสัปดาห์
แต่ภารกิจของใครบางคนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น!!
...............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น