บทที่ 5
สู่ความอบอุ่น
ลมฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคมยะเยือกเย็นขึ้นเหมือนต้อนรับสงคราม
แม้ฟ้าจะเปิดเพราะไร้เมฆแต่แสงตะวันก็รีบคล้อยลงลับยอดไม้ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาสิ้นวัน เรือเร็วสีเทาขนาดเล็กสี่ที่นั่งอันเป็นมรดกตกทอดจากหลวงปราบพาร้อยเอกหนุ่มกับทหารคู่ใจแล่นแหวกผิวน้ำออกจากท่าเรือเทเวศน์มุ่งขึ้นเหนือสู่เมืองปทุมธานี
ทั้งสองคนอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารบกที่มีเสื้อโค้ดสวมทับ
ร้อยเอกหนุ่มมีความสุขทุกครั้งที่ได้แล่นเรือลำนี้กลับบ้าน
ไอเย็นจากลำน้ำเจ้าพระยาผสานลมหนาวประพรมความรู้สึกให้ชีวิตมีชีวาขึ้นอย่างประหลาด
ยิ่งได้รู้ว่าเป้าหมายที่จะไปมีใครรออยู่ความเย็นก็กลับกลายเป็นอุ่นอยู่ข้างใน
ร้อยเอกหนุ่มนั่งมองจ่าเมฆพาเรือคู่ใจแล่นเข้าใกล้สะพานพระรามหกขึ้นเป็นระยะ ยิ่งใกล้เข้าไปความคิดของเขายิ่งก่อตัวเหมือนก้อนเมฆที่ม้วนหมุนด้วยแรงพายุ
พระนครวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเจริญและทันสมัยไม่น้อย
น่าเสียดายที่มันกำลังจะกลายเป็นเป้านิ่งของการทำลาย
!!
เรือกำลังจะแล่นพ้นเขตพระนครเข้าสู่คุ้งน้ำนนทบุรีแล้วแต่คำถามในใจยังคงลอยโต้คลื่นอยู่อย่างนั้น
นอกจากเรือโยงเพียงขบวนเดียวที่บรรทุกทรายล่องลงไปทางใต้แล้ว
ร้อยเอกหนุ่มยังไม่เห็นเรือชาวบ้านผ่านมาสักลำ นอกจากคลื่นน้ำที่เกิดจากลมฤดูหนาวแล้วก็มีแต่เพียงคลื่นจากเรือตรวจการของกองทัพเรือที่แล่นสวนมาสองลำ เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าสถานการณ์ที่ประเมินไว้กำลังเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว
หรือความหวาดกลัวกำลังเข้ายึดกุมสยามแม้กระทั่งผืนน้ำอันเยือกเย็น
!!
“จ่าอยู่กับคุณพ่อมากี่ปี”
ร้อยเอกพิชยุทธหันมาถามจ่าเมฆที่กำลังเพ่งมองผืนน้ำเบื้องหน้า
“ก็ประมาณสิบปีได้ครับ ตั้งแต่ยังเป็นกรมจเรช่างทหารบกโน่น ตอนนั้นเพิ่งจะก่อตั้งกองโรงเรียนทหารสื่อสาร
คุณหลวงท่านก็เป็นอาจารย์ด้วยมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ที่เป็นใหญ่เป็นโตกันตอนนี้ก็ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้น
ถ้าท่านยังรับราชการอยู่ผมว่าอย่างน้อยท่านต้องเป็นจเรทหารบกไปแล้ว คิดแล้วก็เสียดาย” น้ำเสียงของจ่าเมฆเต็มไปด้วยอารมณ์ครึ้มเมื่อพูดถึงความหลัง
“แสดงว่าจ่าต้องรู้เรื่องราวที่คุณพ่อต้องผ่านเรื่องร้ายๆมาเป็นอย่างดี”
“ก็รู้ตามฐานะของผมแหละครับผู้กอง ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องหรอก” จ่าเมฆตอบเขาหันไปมองร้อยเอกหนุ่มแวบหนึ่งด้วยแววตาประหลาดใจ
“แต่จ่าคงต้องรู้ว่าทำไมคุณพ่อต้องตัดสินใจลาออกจากราชการ”
คำถามนี้ทำให้จ่าเมฆต้องชะลอความเร็วของเรือลงแล้วหันไปมองนัยน์ตาผู้กองหนุ่ม
“ผู้กองอยากรู้จริงๆ เหรอครับ” อดีตลูกน้องคนสนิทของหลวงปราบเอ่ยถาม
“จริงสิ
หรือต้องเขียนเป็นสำสั่ง”
ร้อยเอกหนุ่มสัพยอก
“โธ่.. ผู้กอง มิได้ครับ แต่ว่า” จ่าเมฆเอ่ยอึกอัก
“แต่อะไรจ่า” ร้อยเอกหนุ่มแกล้งทำเสียงแข็ง
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณหลวง
ผมเองไม่อยากเสียมารยาทถ้าคุณหลวงรู้ท่านจะไม่สบายใจ” จ่าเมฆกล่าวจริงจัง
“แต่ฉันอยากรู้จริงๆ” ร้อยเอกหนุ่มยืนยัน
“เอาอย่างนี้ได้มั๊ยครับ ผมขอให้ผู้กองเรียนถามคุณหลวงตรงๆ ก่อน
ถ้าท่านยินดีเล่าให้ผู้กองฟังผมก็ยินดีที่จะเล่าเรื่องราวในส่วนที่ผมเห็นที่ผมรับรู้มาให้ผู้กองฟังอย่างหมดเปลือกเลย ผมน่ะไม่ได้เกี่ยวข้องในทุกเหตุการณ์หรอกแต่ผมก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อยเหมือนกัน”
คำตอบของจ่าเมฆทำให้ร้อยเอกหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปตอบลูกน้องคนสนิทพร้อมพยักหน้าช้าๆ
“ตกลง ฉันเข้าใจจ่า”
ร้อยเอกหนุ่มไม่เซ้าซี้จ่าเมฆแต่หันไปมองผืนน้ำเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด
เรือเล็กสีเทาแล่นแหวกผืนน้ำต่อไป
ตอนนี้บ้านเรือนริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาย่านปากเกร็ดเริ่มถูกแทนที่ด้วยความเขียวครึ้มของแนวสวน นานๆ
จึงจะเห็นท่าน้ำยื่นออกมาจากบ้านเรือนบางหลัง
ไม่มีเรือสักลำแล่นผ่านมาให้เห็น
หางคลื่นจากท้ายเรือสยายออกเหมือนปีกนกที่ลากริ้วคลื่นไปบนผืนน้ำกว้างมีตะวันดวงโตแตะขอบฟ้ารออยู่เบื้องหน้าเช่นเดียวกับความคิดของคนทั้งสองราวกับนกน้ำที่บินคู่กันไปสู่แสงตะวัน
กว่าชั่วโมงเรือเล็กลำนั้นก็พาสองคนพ้นโค้งน้ำสุดท้าย ตอนนี้ตะวันดวงโตลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือไว้แต่แสงสีทองเรืองอร่ามฉาบขอบฟ้าฟากตะวันตก
แสงไฟจากเรือนไม้ทรงปั้นหยาสีเทาเป็นสัญญาณบอกให้จ่าเมฆเบาเครื่องยนต์แล้วหันหัวเรือเข้าเทียบท่าน้ำหน้าบ้าน
“มากันแล้ว”
ยาวแววหรือน้าแววที่ผู้กองหนุ่มเรียกจนคุ้นปากออกเสียงเดินนำหน้าตาฉ่ำผู้เป็นสามีลงมาที่ท่าน้ำด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ
“สวัสดีน้าแววน้าฉ่ำสบายดีหรือเปล่า
แหมหน้าตาสดใสเหมือนหนุ่มสาวเพิ่งแต่งงานเชียวนะ” ร้อยเอกหนุ่มหยอกทั้งสองคนเหมือนญาติสนิท ตั้งแต่จำความได้นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีสองคนนี้ที่รักใคร่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก ความที่ทั้งสองคนไม่มีลูกเป็นทุนเดิม
ความรักความเอ็นดูจึงทุ่มเทให้ลูกชายเจ้านายคนนี้หมดใจ
“แหม...คิดถึงจังเลย
คุณพิชของแวว”
น้าแววเดินไปเกาะแขนร้อยเอกหนุ่มพร้อมเรียกชื่อสั้นๆ ของเขา
มีเพียงน้าแววกับตาฉ่ำเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้
“คุณโฉมกับคุณหลวงรออยู่บนเรือนค่ะ
ท่านเตรียมอาหารโปรดของคุณพิชไว้เต็มเลย”
น้าแววรายงานด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่ลดอาการดีใจ
“มีเต้าเจี้ยวหลนของน้าแววด้วยหรือเปล่า” ร้อยเอกหนุ่มถามเดา
“มีสิค่ะน้าทำสุดฝีมือเลยนะวันนี้” เธอตอบอย่างภาคภูมิใจ
“สุดยอดเลยน้าแววน่ารักเสมอ” คำพูดของร้อยเอกหนุ่มทำให้คนถูกชมยิ้มแก้มปริ เขาเดินนำหน้าทุกคนขึ้นไปบนเรือน
ที่นั่นทั้งหลวงปราบและคุณโฉมนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตูร้อยเอกหนุ่มก็รีบสาวเท้าเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่
“คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลยครับ”
“จ้า..พ่อผู้กองหนุ่มรูปงาม นึกว่าลืมวันสำคัญของแม่กับคุณพ่อซะแล้ว” คุณโฉมกล่าวหยอกลูกชาย
“ไม่ลืมหรอกครับคุณแม่
แหม..วันสำคัญอย่างนี้ลืมได้ยังไง”
ร้อยเอกหนุ่มผละจากคุณโฉมหันไปก้มกราบที่ตักของหลวงปราบ
“กราบพระนะลูก จริงๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พ่อว่าคุณแม่เขาคิดถึงแล้วหาเรื่องอยากเจอลูกชายมากกว่า
ไอ้วันครบรอบแต่งงานอะไรนี่มันเป็นความทรงจำดีๆของพ่อกับแม่ก็จริง แต่อย่าเอามาเป็นประเพณีอะไรเลย พ่อกับแม่นะรอแต่วันแต่งงานของลูกมากกว่า” หลวงปราบบอกกับลูกชายพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณหลวงนี่ดูพูดเข้า ลูกยังไม่พาว่าที่เจ้าสาวมาบ้านสักครั้งเลยคิดจะตัดกระบอกไม้รอน้ำซะแล้ว” คุณโฉมพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“เจ้าสาวยังไม่เกิดเลยครับ”
คำพูดของร้อยเอกหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ทำให้หลวงปราบหันไปมองตามเสียงแล้วจึงเอ่ยเสียงดัง
“อ้าว....จ่าเมฆก็มาด้วยรึ แล้วไปยืนหลบอยู่ทำไมเงียบๆ” หลวงปราบทักขึ้นทันทีที่เหลือบไปเห็นอดีตทหารคู่ใจ
ผู้ถูกเรียกก้าวออกมาจากด้านหลังแล้วยกสองมือไหว้คุณหลวงอย่างอ่อนน้อม
“ครับ ผมขอผู้กองมาด้วยน่ะครับ ไม่ได้เจอท่านหลายปีอดคิดถึงไม่ได้ ท่านสบายดีนะครับ” จ่าเมฆกล่าวด้วยใบหน้าและแววตาเปื้อนสุข
“ฉันสบายดีขอบใจมากและที่ต้องขอบใจมากไปกว่านั้นที่จ่าเมฆดูแลรับใช้ลูกชายฉันเป็นอย่างดีตั้งแต่เขารับราชการเหมือนตอนที่ฉันยังอยู่ไม่มีผิด”
น้ำเสียงของหลวงปราบฟังดูอบอุ่นทุกครั้งเมื่อพูดกับอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้
“มาๆ
มาทานข้าวกันเดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
หลวงปราบตัดบท
“ไม่เป็นไรครับท่านผมขอตัวไปทานกับตาฉ่ำดีกว่าไม่เจอกันนานคงต้องก๊งกันสักหน่อย”
จ่าเมฆพูดพลางหันไปทางตาฉ่ำที่ยืนพยักพะเยิดอยู่ข้างๆ
“ตามใจ
ตามสบายนะจ่าเมฆไม่ต้องเกรงใจที่นี่ต้อนรับจ่าเมฆเสมอตลอดเวลา ไม่มีจ่าเมฆก็คงไม่มีฉันวันนี้”
คำพูดของหลวงปราบเปลี่ยนบรรยากาศการสนทนาขึ้นอย่างกระทันหัน ทุกคนนิ่งเงียบกับประโยคสุดท้ายของเขานั่นยิ่งทำให้ร้อยเอกหนุ่มหันมามองจ่าเมฆด้วยแววตาประหลาดใจ
“ไปกันเถอะพวกเราเดี๋ยวคุณพิชกับคุณท่านจะหิว” ตาฉ่ำตัดบทอย่างได้จังหวะพร้อมเอี้ยวตัวหันลงเรือนทำให้สองคนที่เหลือรีบลาออกมาจากตรงนั้น
ปล่อยครอบครัวบุรินทร์นรเศรษฐไว้กับบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความสุขจากมื้ออาหารพิเศษบนเรือน
เมื่ออยู่พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูกความชัดเจนก็ปรากฏให้เห็น ร้อยเอกพิชยุทธได้ความสูงโปร่ง
ผิวสีเข้มและแววตาคมมาจากหลวงปราบ
รูปหน้าคิ้วคางงดงามเหมือนคุณโฉมส่งความภูมิฐานและหล่อเหลาให้โดดเด่นไม่แพ้ผู้เป็นพ่อเมื่อครั้งยังหนุ่ม
รูปสมบัติที่เห็นมาพร้อมกับความเฉียบคมและปราดเปรื่องของสติปัญญาที่ได้มาจากหลวงปราบราวกับสำเนาต้นฉบับ ในขณะที่ความอ่อนไหวอ่อนโยนที่ได้มาจากผู้เป็นแม่ถูกเก็บในส่วนที่ลึกที่สุดของชายชาติทหาร
“แม่ขอตัวไปดูห้องหับของลูกก่อนนะ
เมื่อบ่ายให้แววเอาที่นอนกับหมอนออกมาตากแดดไม่รู้ว่าเอาไปจัดเตรียมเรียบร้อยหรือยัง”
คุณโฉมเอ่ยกับสองพ่อลูกหลังจากมื้ออาหารที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขกำลังจะเสร็จสิ้น
“งั้นเราไปคุยกันที่ท่าน้ำกันดีกว่าคุณผู้กอง” หลวงปราบเอ่ยบอกลูกชาย
ความเงียบคืบคลานมาสมทบกับความมืดที่ศาลาท่าน้ำ
มีเพียงดวงไฟกลมใต้โคมกระเบื้องเท่านั้นที่กำลังให้แสงอย่างโดดเดี่ยว
แต่แรงเทียนของมันก็เพียงพอและเผื่อแผ่ไปถึงผิวน้ำเบื้องหน้าแลเห็นริ้วคลื่นไหวกระเพื่อมอยู่ในความมืด
“หลังจากรัฐบาลลงนามกับญี่ปุ่นแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดสังเกตมั๊ยยุทธ” หลวงปราบเอ่ยถามคำถามแรกกับลูกชาย
“ตอนนี้ทหารญี่ปุ่นเต็มพระนครไปหมด
ส่วนราชการหลายแห่งกลายเป็นที่ตั้งหน่วยทหารญี่ปุ่น
ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวสงครามไม่เป็นอันทำมาหากิน ผมเห็นแล้วอดเป็นกังวลไม่ได้ครับ” ร้อยเอกหนุ่มตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ
“แล้วที่หน่วยของลูกเป็นไงบ้างมีอะไรเคลื่อนไหวหรือเปล่า” หลวงปราบหันไปมองลูกชายด้วยแววตาจริงจัง
“มีครับก็เรื่องนี้แหละที่ผมอยากปรึกษาคุณพ่อ” ร้อยเอกหนุ่มมองหน้าหลวงปราบ
ด้วยวัยหกสิบสามปีเขายังดูแข็งแรงด้วยบุคลิกของอดีตนายทหารใหญ่แม้ผมจะแซมสีดอกเลาไปแล้วไม่น้อย
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือบางมุมของแววตาที่หม่นช้ำเหมือนแบกรับความทรงจำบางอย่างเอาไว้
“หวังว่าไม่ใช่เรื่องโดนโยกย้ายนะ” หลวงปราบเปรย
“ไม่ใช่ครับหลวงฤทธิรงค์มอบหมายให้ผมรับผิดชอบตั้งศูนยืวิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น แต่ผม....”
ร้อยเอกหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่
“ถ้าจะให้พ่อเดาลูกคงอึดอัดที่จะทำงานร่วมกับทหารญี่ปุ่น
หรือไม่ก็ตะขิดตะขวงใจเพราะไม่รู้ว่าไปอยู่ข้างที่จะชนะหรือแพ้สงครามใช่มั๊ย”
หลวงปราบเดาใจลูกชาย
“มิได้ครับ” ร้อยเอกหนุ่มตอบ
“แล้วปัญหาคืออะไร” หลวงปราบถาม
“ผมคิดว่าคำสั่งในการตั้งศูนย์เฉพาะกิจมันดูแปลกๆ
เพราะกำหนดให้หลวงฤทธิรงค์รายงานตรงกับท่านผู้นำแต่มีเงื่อนไขสำคัญว่าถ้าทางญี่ปุ่นต้องการปฏิบัติการดักฟังลับสุดยอดก็ให้มีหลวงฤทธิรงค์เท่านั้นที่รับรู้ได้
ทหารนายอื่นรวมทั้งผมไม่มีอำนาจเกี่ยวข้อง”
ร้อยเอกหนุ่มอธิบายขณะที่หลวงปราบพยักหน้ารับเนิบช้า
เขายกมือขึ้นมาลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบ
“ก็เป็นเรื่องที่ผิดสังเกตความจริงเรื่องนี้อย่างน้อยต้องผ่านท่านแม่ทัพบก เป็นไปได้มั๊ยว่าหลวงฤทธิรงค์ขออนุมัติจากท่านผู้นำเป็นกรณีพิเศษ หรือไม่ก็.......” หลวงปราบนิ่งไปชั่วครู่
“หรือไม่อะไรครับ” ร้อยเอกหนุ่มถามด้วยแววตากระตือรือร้น
“อาจจะเป็นคำสั่งของท่านผู้นำเอง”
หลวงปราบเอ่ยพร้อมอาการครุ่นคิด
“ก็เป็นไปได้ครับแต่ท่านจะทำอย่างนั้นไปทำไม”
“ลูกอย่าลืมว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ยุ่งยากมากสำหรับท่านผู้นำทั้งศึกนอกศึกในทำให้เขาไม่ไว้วางใจใครได้ง่ายๆ
การเข้ามาของกองทัพญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่จะต้องแบกรับกับสัญญาประชาคม แต่คนอย่างเขาพ่อเชื่อว่าต้องมีความคิดที่ซับซ้อนกว่านั้นเพียงแต่ว่าตอนนี้เรายังมองไม่ออก
แต่ไม่นานพ่อเชื่อว่าเมื่อลูกเข้าไปอยู่ตรงนั้น ลูกจะได้เห็นหมากกลที่ซ่อนไว้ไม่ช้าก็เร็ว”
ลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยาลอยมาปะใบหน้าร้อยเอกหนุ่มเหมือนกระตุ้นเตือนให้เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามคุณพ่อมานานแล้ว”
หลวงปราบหันมามองหน้าลูกชายผู้เป็นเหมือนกระจกเงาของตัวเองก่อนที่คำถามสำคัญจะถูกเอ่ยขึ้น
“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณพ่อถึงลาออกจากราชการทหารทั้งๆ
ที่เป็นงานที่คุณพ่อรักมากที่สุด
โดยเฉพาะการได้เป็นทหารสื่อสาร”
ลมเย็นจากแม่น้ำโชยมาอีกครั้ง
คราวนี้มันพัดพาความเงียบมาแทรกกลางระหว่างพ่อลูกทั้งสอง
“พ่อคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
สักวันหนึ่งลูกจะต้องถามคำถามนี้และถ้าพ่อจะเก็บมันไว้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรมีแต่จะหนักอึ้งอยู่ในความรู้สึกของพ่อเอง ความจริงก็คือความจริงแต่ขอให้ความจริงที่พ่อจะเล่านี้เป็นแสงเทียนส่องทางสำหรับชีวิตของลูก”
ผืนน้ำยามค่ำเล่นลมกระทบบันไดท่าน้ำด้วยริ้วคลื่นเบาๆ
เป็นระยะ
เช่นเดียวกับเรื่องราวที่หลุดลอยออกมาจากความทรงจำของอดีตนายทหารใหญ่อย่างหลวงปราบเป็นระลอก ความจริงที่ซ่อนเร้นค่อยๆ เผยตัวออกมาอย่างน่าสะเทือนใจ ร้อยเอกหนุ่มนิ่งฟังเรื่องราวจากผู้เป็นพ่อด้วยอาการสงบ
บางจังหวะเขากลับไปคิดถึงประโยคแรกของผู้เป็นพ่อที่ว่า
ความจริงเหล่านี้จะเป็นแสงเทียนส่องทางชีวิต
ความหวังของนายทหารหนุ่มก็กลับมาอยู่ในความรู้สึกเหมือนขวัญกำลังใจที่เพิ่มพูน
............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น