วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563

ดอกไม้ในตะวัน 5



บทที่ 5
สู่ความอบอุ่น


            ลมฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคมยะเยือกเย็นขึ้นเหมือนต้อนรับสงคราม   แม้ฟ้าจะเปิดเพราะไร้เมฆแต่แสงตะวันก็รีบคล้อยลงลับยอดไม้ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาสิ้นวัน   เรือเร็วสีเทาขนาดเล็กสี่ที่นั่งอันเป็นมรดกตกทอดจากหลวงปราบพาร้อยเอกหนุ่มกับทหารคู่ใจแล่นแหวกผิวน้ำออกจากท่าเรือเทเวศน์มุ่งขึ้นเหนือสู่เมืองปทุมธานี    ทั้งสองคนอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารบกที่มีเสื้อโค้ดสวมทับ 
ร้อยเอกหนุ่มมีความสุขทุกครั้งที่ได้แล่นเรือลำนี้กลับบ้าน   ไอเย็นจากลำน้ำเจ้าพระยาผสานลมหนาวประพรมความรู้สึกให้ชีวิตมีชีวาขึ้นอย่างประหลาด   ยิ่งได้รู้ว่าเป้าหมายที่จะไปมีใครรออยู่ความเย็นก็กลับกลายเป็นอุ่นอยู่ข้างใน 
ร้อยเอกหนุ่มนั่งมองจ่าเมฆพาเรือคู่ใจแล่นเข้าใกล้สะพานพระรามหกขึ้นเป็นระยะ  ยิ่งใกล้เข้าไปความคิดของเขายิ่งก่อตัวเหมือนก้อนเมฆที่ม้วนหมุนด้วยแรงพายุ  พระนครวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเจริญและทันสมัยไม่น้อย 
น่าเสียดายที่มันกำลังจะกลายเป็นเป้านิ่งของการทำลาย !!
เรือกำลังจะแล่นพ้นเขตพระนครเข้าสู่คุ้งน้ำนนทบุรีแล้วแต่คำถามในใจยังคงลอยโต้คลื่นอยู่อย่างนั้น   นอกจากเรือโยงเพียงขบวนเดียวที่บรรทุกทรายล่องลงไปทางใต้แล้ว   ร้อยเอกหนุ่มยังไม่เห็นเรือชาวบ้านผ่านมาสักลำ  นอกจากคลื่นน้ำที่เกิดจากลมฤดูหนาวแล้วก็มีแต่เพียงคลื่นจากเรือตรวจการของกองทัพเรือที่แล่นสวนมาสองลำ  เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าสถานการณ์ที่ประเมินไว้กำลังเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว 
หรือความหวาดกลัวกำลังเข้ายึดกุมสยามแม้กระทั่งผืนน้ำอันเยือกเย็น !!
“จ่าอยู่กับคุณพ่อมากี่ปี”  ร้อยเอกพิชยุทธหันมาถามจ่าเมฆที่กำลังเพ่งมองผืนน้ำเบื้องหน้า
“ก็ประมาณสิบปีได้ครับ  ตั้งแต่ยังเป็นกรมจเรช่างทหารบกโน่น  ตอนนั้นเพิ่งจะก่อตั้งกองโรงเรียนทหารสื่อสาร  คุณหลวงท่านก็เป็นอาจารย์ด้วยมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย  ที่เป็นใหญ่เป็นโตกันตอนนี้ก็ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้น  ถ้าท่านยังรับราชการอยู่ผมว่าอย่างน้อยท่านต้องเป็นจเรทหารบกไปแล้ว  คิดแล้วก็เสียดาย”  น้ำเสียงของจ่าเมฆเต็มไปด้วยอารมณ์ครึ้มเมื่อพูดถึงความหลัง
“แสดงว่าจ่าต้องรู้เรื่องราวที่คุณพ่อต้องผ่านเรื่องร้ายๆมาเป็นอย่างดี” 
“ก็รู้ตามฐานะของผมแหละครับผู้กอง  ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องหรอก”  จ่าเมฆตอบเขาหันไปมองร้อยเอกหนุ่มแวบหนึ่งด้วยแววตาประหลาดใจ
“แต่จ่าคงต้องรู้ว่าทำไมคุณพ่อต้องตัดสินใจลาออกจากราชการ”    คำถามนี้ทำให้จ่าเมฆต้องชะลอความเร็วของเรือลงแล้วหันไปมองนัยน์ตาผู้กองหนุ่ม
“ผู้กองอยากรู้จริงๆ เหรอครับ”  อดีตลูกน้องคนสนิทของหลวงปราบเอ่ยถาม
“จริงสิ หรือต้องเขียนเป็นสำสั่ง”  ร้อยเอกหนุ่มสัพยอก
“โธ่.. ผู้กอง  มิได้ครับ แต่ว่า” จ่าเมฆเอ่ยอึกอัก
“แต่อะไรจ่า”  ร้อยเอกหนุ่มแกล้งทำเสียงแข็ง
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณหลวง  ผมเองไม่อยากเสียมารยาทถ้าคุณหลวงรู้ท่านจะไม่สบายใจ”  จ่าเมฆกล่าวจริงจัง
“แต่ฉันอยากรู้จริงๆ”  ร้อยเอกหนุ่มยืนยัน
“เอาอย่างนี้ได้มั๊ยครับ  ผมขอให้ผู้กองเรียนถามคุณหลวงตรงๆ ก่อน  ถ้าท่านยินดีเล่าให้ผู้กองฟังผมก็ยินดีที่จะเล่าเรื่องราวในส่วนที่ผมเห็นที่ผมรับรู้มาให้ผู้กองฟังอย่างหมดเปลือกเลย  ผมน่ะไม่ได้เกี่ยวข้องในทุกเหตุการณ์หรอกแต่ผมก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อยเหมือนกัน”  คำตอบของจ่าเมฆทำให้ร้อยเอกหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปตอบลูกน้องคนสนิทพร้อมพยักหน้าช้าๆ
“ตกลง  ฉันเข้าใจจ่า” ร้อยเอกหนุ่มไม่เซ้าซี้จ่าเมฆแต่หันไปมองผืนน้ำเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด
เรือเล็กสีเทาแล่นแหวกผืนน้ำต่อไป  ตอนนี้บ้านเรือนริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาย่านปากเกร็ดเริ่มถูกแทนที่ด้วยความเขียวครึ้มของแนวสวน  นานๆ จึงจะเห็นท่าน้ำยื่นออกมาจากบ้านเรือนบางหลัง   ไม่มีเรือสักลำแล่นผ่านมาให้เห็น   หางคลื่นจากท้ายเรือสยายออกเหมือนปีกนกที่ลากริ้วคลื่นไปบนผืนน้ำกว้างมีตะวันดวงโตแตะขอบฟ้ารออยู่เบื้องหน้าเช่นเดียวกับความคิดของคนทั้งสองราวกับนกน้ำที่บินคู่กันไปสู่แสงตะวัน

กว่าชั่วโมงเรือเล็กลำนั้นก็พาสองคนพ้นโค้งน้ำสุดท้าย  ตอนนี้ตะวันดวงโตลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือไว้แต่แสงสีทองเรืองอร่ามฉาบขอบฟ้าฟากตะวันตก  แสงไฟจากเรือนไม้ทรงปั้นหยาสีเทาเป็นสัญญาณบอกให้จ่าเมฆเบาเครื่องยนต์แล้วหันหัวเรือเข้าเทียบท่าน้ำหน้าบ้าน
“มากันแล้ว”  ยาวแววหรือน้าแววที่ผู้กองหนุ่มเรียกจนคุ้นปากออกเสียงเดินนำหน้าตาฉ่ำผู้เป็นสามีลงมาที่ท่าน้ำด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ
“สวัสดีน้าแววน้าฉ่ำสบายดีหรือเปล่า  แหมหน้าตาสดใสเหมือนหนุ่มสาวเพิ่งแต่งงานเชียวนะ”  ร้อยเอกหนุ่มหยอกทั้งสองคนเหมือนญาติสนิท  ตั้งแต่จำความได้นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีสองคนนี้ที่รักใคร่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก  ความที่ทั้งสองคนไม่มีลูกเป็นทุนเดิม  ความรักความเอ็นดูจึงทุ่มเทให้ลูกชายเจ้านายคนนี้หมดใจ
“แหม...คิดถึงจังเลย คุณพิชของแวว”  น้าแววเดินไปเกาะแขนร้อยเอกหนุ่มพร้อมเรียกชื่อสั้นๆ ของเขา มีเพียงน้าแววกับตาฉ่ำเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้
“คุณโฉมกับคุณหลวงรออยู่บนเรือนค่ะ ท่านเตรียมอาหารโปรดของคุณพิชไว้เต็มเลย”  น้าแววรายงานด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่ลดอาการดีใจ
“มีเต้าเจี้ยวหลนของน้าแววด้วยหรือเปล่า”  ร้อยเอกหนุ่มถามเดา
“มีสิค่ะน้าทำสุดฝีมือเลยนะวันนี้”  เธอตอบอย่างภาคภูมิใจ
“สุดยอดเลยน้าแววน่ารักเสมอ”  คำพูดของร้อยเอกหนุ่มทำให้คนถูกชมยิ้มแก้มปริ  เขาเดินนำหน้าทุกคนขึ้นไปบนเรือน  ที่นั่นทั้งหลวงปราบและคุณโฉมนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร  ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตูร้อยเอกหนุ่มก็รีบสาวเท้าเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่
“คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลยครับ” 
“จ้า..พ่อผู้กองหนุ่มรูปงาม  นึกว่าลืมวันสำคัญของแม่กับคุณพ่อซะแล้ว”  คุณโฉมกล่าวหยอกลูกชาย
“ไม่ลืมหรอกครับคุณแม่ แหม..วันสำคัญอย่างนี้ลืมได้ยังไง”  ร้อยเอกหนุ่มผละจากคุณโฉมหันไปก้มกราบที่ตักของหลวงปราบ
“กราบพระนะลูก  จริงๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก  พ่อว่าคุณแม่เขาคิดถึงแล้วหาเรื่องอยากเจอลูกชายมากกว่า  ไอ้วันครบรอบแต่งงานอะไรนี่มันเป็นความทรงจำดีๆของพ่อกับแม่ก็จริง  แต่อย่าเอามาเป็นประเพณีอะไรเลย   พ่อกับแม่นะรอแต่วันแต่งงานของลูกมากกว่า”  หลวงปราบบอกกับลูกชายพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณหลวงนี่ดูพูดเข้า  ลูกยังไม่พาว่าที่เจ้าสาวมาบ้านสักครั้งเลยคิดจะตัดกระบอกไม้รอน้ำซะแล้ว”  คุณโฉมพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“เจ้าสาวยังไม่เกิดเลยครับ”  คำพูดของร้อยเอกหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ทำให้หลวงปราบหันไปมองตามเสียงแล้วจึงเอ่ยเสียงดัง
“อ้าว....จ่าเมฆก็มาด้วยรึ  แล้วไปยืนหลบอยู่ทำไมเงียบๆ”  หลวงปราบทักขึ้นทันทีที่เหลือบไปเห็นอดีตทหารคู่ใจ  ผู้ถูกเรียกก้าวออกมาจากด้านหลังแล้วยกสองมือไหว้คุณหลวงอย่างอ่อนน้อม
“ครับ  ผมขอผู้กองมาด้วยน่ะครับ  ไม่ได้เจอท่านหลายปีอดคิดถึงไม่ได้  ท่านสบายดีนะครับ”  จ่าเมฆกล่าวด้วยใบหน้าและแววตาเปื้อนสุข
“ฉันสบายดีขอบใจมากและที่ต้องขอบใจมากไปกว่านั้นที่จ่าเมฆดูแลรับใช้ลูกชายฉันเป็นอย่างดีตั้งแต่เขารับราชการเหมือนตอนที่ฉันยังอยู่ไม่มีผิด”  น้ำเสียงของหลวงปราบฟังดูอบอุ่นทุกครั้งเมื่อพูดกับอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้
“มาๆ มาทานข้าวกันเดี๋ยวจะเย็นซะหมด”  หลวงปราบตัดบท
“ไม่เป็นไรครับท่านผมขอตัวไปทานกับตาฉ่ำดีกว่าไม่เจอกันนานคงต้องก๊งกันสักหน่อย”  จ่าเมฆพูดพลางหันไปทางตาฉ่ำที่ยืนพยักพะเยิดอยู่ข้างๆ
“ตามใจ  ตามสบายนะจ่าเมฆไม่ต้องเกรงใจที่นี่ต้อนรับจ่าเมฆเสมอตลอดเวลา   ไม่มีจ่าเมฆก็คงไม่มีฉันวันนี้”    คำพูดของหลวงปราบเปลี่ยนบรรยากาศการสนทนาขึ้นอย่างกระทันหัน  ทุกคนนิ่งเงียบกับประโยคสุดท้ายของเขานั่นยิ่งทำให้ร้อยเอกหนุ่มหันมามองจ่าเมฆด้วยแววตาประหลาดใจ
“ไปกันเถอะพวกเราเดี๋ยวคุณพิชกับคุณท่านจะหิว”  ตาฉ่ำตัดบทอย่างได้จังหวะพร้อมเอี้ยวตัวหันลงเรือนทำให้สองคนที่เหลือรีบลาออกมาจากตรงนั้น   ปล่อยครอบครัวบุรินทร์นรเศรษฐไว้กับบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความสุขจากมื้ออาหารพิเศษบนเรือน
เมื่ออยู่พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูกความชัดเจนก็ปรากฏให้เห็น  ร้อยเอกพิชยุทธได้ความสูงโปร่ง ผิวสีเข้มและแววตาคมมาจากหลวงปราบ  รูปหน้าคิ้วคางงดงามเหมือนคุณโฉมส่งความภูมิฐานและหล่อเหลาให้โดดเด่นไม่แพ้ผู้เป็นพ่อเมื่อครั้งยังหนุ่ม  รูปสมบัติที่เห็นมาพร้อมกับความเฉียบคมและปราดเปรื่องของสติปัญญาที่ได้มาจากหลวงปราบราวกับสำเนาต้นฉบับ   ในขณะที่ความอ่อนไหวอ่อนโยนที่ได้มาจากผู้เป็นแม่ถูกเก็บในส่วนที่ลึกที่สุดของชายชาติทหาร
“แม่ขอตัวไปดูห้องหับของลูกก่อนนะ เมื่อบ่ายให้แววเอาที่นอนกับหมอนออกมาตากแดดไม่รู้ว่าเอาไปจัดเตรียมเรียบร้อยหรือยัง”  คุณโฉมเอ่ยกับสองพ่อลูกหลังจากมื้ออาหารที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขกำลังจะเสร็จสิ้น
“งั้นเราไปคุยกันที่ท่าน้ำกันดีกว่าคุณผู้กอง”  หลวงปราบเอ่ยบอกลูกชาย
ความเงียบคืบคลานมาสมทบกับความมืดที่ศาลาท่าน้ำ  มีเพียงดวงไฟกลมใต้โคมกระเบื้องเท่านั้นที่กำลังให้แสงอย่างโดดเดี่ยว   แต่แรงเทียนของมันก็เพียงพอและเผื่อแผ่ไปถึงผิวน้ำเบื้องหน้าแลเห็นริ้วคลื่นไหวกระเพื่อมอยู่ในความมืด
“หลังจากรัฐบาลลงนามกับญี่ปุ่นแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดสังเกตมั๊ยยุทธ”  หลวงปราบเอ่ยถามคำถามแรกกับลูกชาย
“ตอนนี้ทหารญี่ปุ่นเต็มพระนครไปหมด ส่วนราชการหลายแห่งกลายเป็นที่ตั้งหน่วยทหารญี่ปุ่น ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวสงครามไม่เป็นอันทำมาหากิน ผมเห็นแล้วอดเป็นกังวลไม่ได้ครับ”  ร้อยเอกหนุ่มตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ
“แล้วที่หน่วยของลูกเป็นไงบ้างมีอะไรเคลื่อนไหวหรือเปล่า”  หลวงปราบหันไปมองลูกชายด้วยแววตาจริงจัง
“มีครับก็เรื่องนี้แหละที่ผมอยากปรึกษาคุณพ่อ”  ร้อยเอกหนุ่มมองหน้าหลวงปราบ  ด้วยวัยหกสิบสามปีเขายังดูแข็งแรงด้วยบุคลิกของอดีตนายทหารใหญ่แม้ผมจะแซมสีดอกเลาไปแล้วไม่น้อย  แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือบางมุมของแววตาที่หม่นช้ำเหมือนแบกรับความทรงจำบางอย่างเอาไว้
“หวังว่าไม่ใช่เรื่องโดนโยกย้ายนะ”  หลวงปราบเปรย
“ไม่ใช่ครับหลวงฤทธิรงค์มอบหมายให้ผมรับผิดชอบตั้งศูนยืวิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น  แต่ผม....”  ร้อยเอกหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่
“ถ้าจะให้พ่อเดาลูกคงอึดอัดที่จะทำงานร่วมกับทหารญี่ปุ่น  หรือไม่ก็ตะขิดตะขวงใจเพราะไม่รู้ว่าไปอยู่ข้างที่จะชนะหรือแพ้สงครามใช่มั๊ย”  หลวงปราบเดาใจลูกชาย
“มิได้ครับ”  ร้อยเอกหนุ่มตอบ
“แล้วปัญหาคืออะไร” หลวงปราบถาม
“ผมคิดว่าคำสั่งในการตั้งศูนย์เฉพาะกิจมันดูแปลกๆ เพราะกำหนดให้หลวงฤทธิรงค์รายงานตรงกับท่านผู้นำแต่มีเงื่อนไขสำคัญว่าถ้าทางญี่ปุ่นต้องการปฏิบัติการดักฟังลับสุดยอดก็ให้มีหลวงฤทธิรงค์เท่านั้นที่รับรู้ได้  ทหารนายอื่นรวมทั้งผมไม่มีอำนาจเกี่ยวข้อง”  ร้อยเอกหนุ่มอธิบายขณะที่หลวงปราบพยักหน้ารับเนิบช้า เขายกมือขึ้นมาลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบ
“ก็เป็นเรื่องที่ผิดสังเกตความจริงเรื่องนี้อย่างน้อยต้องผ่านท่านแม่ทัพบก  เป็นไปได้มั๊ยว่าหลวงฤทธิรงค์ขออนุมัติจากท่านผู้นำเป็นกรณีพิเศษ  หรือไม่ก็.......”  หลวงปราบนิ่งไปชั่วครู่
“หรือไม่อะไรครับ”  ร้อยเอกหนุ่มถามด้วยแววตากระตือรือร้น
“อาจจะเป็นคำสั่งของท่านผู้นำเอง” หลวงปราบเอ่ยพร้อมอาการครุ่นคิด
“ก็เป็นไปได้ครับแต่ท่านจะทำอย่างนั้นไปทำไม”
“ลูกอย่าลืมว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ยุ่งยากมากสำหรับท่านผู้นำทั้งศึกนอกศึกในทำให้เขาไม่ไว้วางใจใครได้ง่ายๆ การเข้ามาของกองทัพญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่จะต้องแบกรับกับสัญญาประชาคม  แต่คนอย่างเขาพ่อเชื่อว่าต้องมีความคิดที่ซับซ้อนกว่านั้นเพียงแต่ว่าตอนนี้เรายังมองไม่ออก  แต่ไม่นานพ่อเชื่อว่าเมื่อลูกเข้าไปอยู่ตรงนั้น  ลูกจะได้เห็นหมากกลที่ซ่อนไว้ไม่ช้าก็เร็ว”  ลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยาลอยมาปะใบหน้าร้อยเอกหนุ่มเหมือนกระตุ้นเตือนให้เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ  มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามคุณพ่อมานานแล้ว”  หลวงปราบหันมามองหน้าลูกชายผู้เป็นเหมือนกระจกเงาของตัวเองก่อนที่คำถามสำคัญจะถูกเอ่ยขึ้น
“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณพ่อถึงลาออกจากราชการทหารทั้งๆ ที่เป็นงานที่คุณพ่อรักมากที่สุด  โดยเฉพาะการได้เป็นทหารสื่อสาร”  ลมเย็นจากแม่น้ำโชยมาอีกครั้ง คราวนี้มันพัดพาความเงียบมาแทรกกลางระหว่างพ่อลูกทั้งสอง
“พ่อคิดอยู่ตลอดเวลาว่า สักวันหนึ่งลูกจะต้องถามคำถามนี้และถ้าพ่อจะเก็บมันไว้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรมีแต่จะหนักอึ้งอยู่ในความรู้สึกของพ่อเอง  ความจริงก็คือความจริงแต่ขอให้ความจริงที่พ่อจะเล่านี้เป็นแสงเทียนส่องทางสำหรับชีวิตของลูก”  
ผืนน้ำยามค่ำเล่นลมกระทบบันไดท่าน้ำด้วยริ้วคลื่นเบาๆ เป็นระยะ  เช่นเดียวกับเรื่องราวที่หลุดลอยออกมาจากความทรงจำของอดีตนายทหารใหญ่อย่างหลวงปราบเป็นระลอก  ความจริงที่ซ่อนเร้นค่อยๆ เผยตัวออกมาอย่างน่าสะเทือนใจ  ร้อยเอกหนุ่มนิ่งฟังเรื่องราวจากผู้เป็นพ่อด้วยอาการสงบ  บางจังหวะเขากลับไปคิดถึงประโยคแรกของผู้เป็นพ่อที่ว่า  ความจริงเหล่านี้จะเป็นแสงเทียนส่องทางชีวิต  ความหวังของนายทหารหนุ่มก็กลับมาอยู่ในความรู้สึกเหมือนขวัญกำลังใจที่เพิ่มพูน
............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น