บทที่
4
ค้นหาคำตอบ
ร้อยเอกพิชยุทธสืบเท้าลงบันไดเรือนพักนายทหารตรงไปที่รถจี๊บคู่ใจก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องขับออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว สองข้างทางที่เงียบเหงาชวนให้หวนคิดถึงความวุ่นวายโกลาหลที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ร้อยเอกหนุ่มเริ่มตระหนักว่าเวลาที่จะต้องจัดการทุกอย่างนั้นเหลือน้อยลงเต็มที เพราะเมื่อถึงวันนั้นหลายๆ
อย่างก็อาจจะสายเกินไป แม้ว่านายทหารหนุ่มอย่างเขาจะเพิ่งผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือดกับฝรั่งเศสที่ชายแดนไทยลาวมาแล้วหมาดๆ
แต่กลิ่นดินปืนที่ยังไม่จางหายกลับก้องเตือนอยู่ในสำนึกว่า
ประชาชนไม่ควรจะตกอยู่ในวงล้อมของสงครามที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ
รถจี๊บคู่ใจแล่นเลยทางเข้าแผนกสื่อสารที่เขาประจำการโดยไม่เลี้ยวเข้าไปเหมือนทุกวัน
ร้อยเอกหนุ่มใช้เส้นทางมุ่งตรงสู่ทุ่งพระสุเมรุพร้อมกับคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาเพื่อเตรียมหาคำตอบจากใครบางคน
ไม่นานนักรถจิ๊ปคันนั้นก็พาเขามาหยุดอยู่หน้าอาคารขนาดใหญ่ ส่วนกลางของอาคารโดดเด่นด้วยยอดโดมอยู่ด้านบน
ร้อยเอกหนุ่มรีบลงจากรถเดินขึ้นไปบนอาคารแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องประตูไม้สีเข้ม
หน้าห้องติดป้ายชื่อไว้ว่า “หลวงวิเทศน์
บูรพานุกิจ”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
“เชิญครับ”
เสียงจากด้านในอนุญาตให้ร้อยเอกหนุ่มผลักประตูเข้าไป
“อ้อ...ผู้กองนั่นเอง เชิญนั่งสิ” เจ้าของเสียงผายมือเชิญผู้กองหนุ่ม
“ผมมารบกวนเวลางานอาจารย์หรือเปล่าครับ” ร้อยเอกหนุ่มกล่าวพร้อมค้อมตัวอย่างอ่อนน้อม
“รบกวนอะไรกัน
เรามันคนกันเอง
นั่งลงเถอะฉันรู้ว่าผู้กองร้อนใจ”
หลวงวิเทศน์มองลอดแว่นไปที่ผู้กองหนุ่มด้วยสายตายินดี
หลวงวิเทศน์ บูรพานุกิจในวัยห้าสิบปลายยังดูกระฉับกระเฉงและกระตือรือร้น แม้ผมจะแซมขาวบอกช่วงวัยแต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยประกายอันแวววาวอยู่ตลอดเวลา
ชุดสากลสีขาวกับแว่นตาเหลี่ยมกรอบดำยิ่งขับราศีของนักวิชาการผู้ทรงภูมิให้ดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนทุนจากเมืองไทยยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่กี่ปี
เป็นแนวร่วมของคณะราษฎรในปีกของพลเรือนอีกคนที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด ที่สำคัญเขาเป็นอดีตนักเรียนเก่าอังกฤษเช่นเดียวกับหลวงปราบซึ่งเคยใช้ชีวิตที่นั่นร่วมกันอยู่หลายปี จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ร้อยเอกพิชยุทธ์จะแวะมาหาคำอธิบายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองที่นี่
“ผู้กองคงกังวลกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่น้อยเลย” หลวงวิเทศน์เปิดการสนทนา
“ใช่ครับอาจารย์ ผมมองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะยืดเยื้อ ยิ่งยืดเยื้อคนไทยก็ยิ่งลำบาก
เราเคยแต่ทำสงครามรอบบ้าน แต่ครั้งนี้สงครามมันเข้ามาหาเราถึงในบ้านเลย” ร้อยเอกหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ไอ้ยืดเยื้อน่ะยืดเยื้อแน่
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบแบบไหน” หลวงวิเทศน์พูดพลางส่ายหน้า
“อาจารย์วิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้อย่างไรครับ” ร้อยเอกหนุ่มพาหลวงวิเทศน์เข้าสู่ประเด็นสำคัญ
“คืออย่างนี้ผู้กอง ถ้ามองจากสายตาของนักรัฐศาสตร์อย่างผม
ผมมองว่าความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องการเมือง แต่สิ่งที่ยากในการวิเคราะห์คือมันมีการเมืองซ้อนการเมืองอยู่มากในจังหวะเวลาแบบนี้”
“หมายความว่ายังไงครับอาจารย์” ผู้กองหนุ่มสงสัยในขณะที่อีกฝ่ายเม้มปากครุ่นคิดก่อนจะตอบคำถามด้วยความระมัดระวัง
“ต้องยอมรับว่าสงครามโลกมันจะเกิดได้ก็เพราะปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่พัฒนาขยายตัวมาถึงจุดแตกหักและจุดแตกหักสำคัญก็อยู่ญี่ปุ่นตัดสินใจโจมตีอ่าวเพิร์ล แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดเดาของนักวิชาการอย่างผมก็คือ
รุ่งขึ้นเพียงวันเดียวญี่ปุ่นก็ตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่บ้านเราทันที
แสดงว่าญี่ปุ่นมีแนวคิดทางการทหารและการเมืองเชิงรุกที่น่ากลัวอย่างมาก”
“แล้วที่อาจารย์ว่ามีการเมืองซ้อนการเมืองนั้นหมายความว่ายังไงครับ” ร้อยเอกหนุ่มรอที่จะให้หลวงวิเทศน์อธิบายต่อไม่ไหว
“การเมืองอีกชั้นที่ซ้อนกันอยู่ก็คือการเมืองในบ้านเราไงผู้กอง
อย่าลืมสิว่ารัฐบาลนี้ก็บริหารประเทศด้วยความไม่มั่นคงนักเพราะอะไรก็รู้ๆ
กันอยู่
สิ่งที่ดูเหมือนว่ามันมั่นคงก็เพราะการพยายามใช้นโยบายชาตินิยมมากดโครงสร้างส่วนล่างไว้เท่านั้น ผมว่าผู้กองก็ต้องสัมผัสได้ในเรื่องนี้
ยังไม่นับถึงความขัดแย้งระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มที่ปะทุมาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
มันดูเหมือนมาขมวดปมอย่างเข้มข้นในช่วงสงครามนี้พอดี”
หลวงวิเทศน์มองหน้าผู้กองหนุ่มนิ่งเหมือนจะเชื้อเชิญให้ออกความเห็น
“อาจารย์ให้ภาพที่ชัดเจนขึ้นมากครับ
ความรู้สึกที่ผมอึดอัดก็เพราะเราอธิบายมันไม่ได้นี่เองและผมก็คิดว่าคนไทยไม่น้อยก็มีความรู้สึกแบบนี้ พวกเขาจึง...”
ไม่ทันที่ร้อยเอกหนุ่มจะพูดต่อหลวงเทศน์ก็เสริมขึ้นในทันที
“จึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว”
“ใช่ครับอาจารย์”
“ไม่แปลกหรอกผู้กองเพราะนี่คือปรากฏการณ์แรกและอาจจะเป็นปรากฏการณ์เดียวในชีวิตของคนรุ่นเราที่จะได้พบได้เจอกับคำว่าสงครามโลก
อย่าลืมว่าประเทศไทยน่ะมันเล็กนิดเดียวในโครงสร้างอำนาจของโลกตอนนี้” หลวงวิเทศน์อธิบายอีกหลายฉากหลายประเด็น สุดท้ายจึงมาถึงคำถามที่สำคัญที่สุดของการสนทนา
“อาจารย์คิดยังไงที่ท่านผู้นำตัดสินใจลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
?”
“จะให้ผมตอบในฐานะอะไรล่ะ ในฐานะนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์หรืออดีตนักเรียนเก่าจากประเทศอังกฤษเหมือนกับคุณพ่อของผู้กอง
ฮ่ะๆๆ”
หลวงวิเทศน์สัพยอกพร้อมหัวเราะให้ผู้กองหนุ่มเล็กน้อย
“ในฐานะคนไทยคนนึงครับ” ร้อยเอกหนุ่มกล่าวจริงจัง
“ดีมากผู้กอง
อย่างที่ผมบอกไว้แต่แรกนั่นแหละมันเป็นการเมืองซ้อนการเมือง
คนที่เติบโตทางการศึกษามาจากยุโรปอย่างผมอย่างผู้กองหรือแม้แต่ .....” หลวงวิเทศน์หยุดพูดเสียกระทันหัน !!
“แม้แต่คุณพ่อของผม” ร้อยเอกหนุ่มตอบแทน
“ใช่... พวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ
ทุกคนต่างตั้งคำถามกับนโยบายชาตินิยมที่เป็นอยู่ว่ามันจะพาชาติเราไปสู่อะไร มันเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องการจริงๆ
หรือเพียงแค่เพราะมันมีพลังเพียงพอที่จะพยุงให้ใครบางคนอยู่ในอำนาจได้โดยไม่ใครกล้าทัดทาน”
ร้อยเอกหนุ่มพยักหน้ารับก่อนที่หลวงวิเทศน์จะกล่าวต่อไป
“และเมื่อความคิดแบบชาตินิยมของผู้นำไทยมาผนวกกับความคิดแบบชาตินิยมของญี่ปุ่น
ผู้กองลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างถ้าเราชนะสงคราม หรือถ้าเราแพ้สงคราม ผมถึงไม่แปลกใจเลยที่ญี่ปุ่นเสนอเงื่อนไขกลายๆ
ว่าจะช่วยรัฐบาลนี้ผนวกดินแดนที่เราเคยมีอิทธิพลเก่าๆ กลับมา”
ถึงตอนนี้สีหน้าของหลวงวิเทศน์ดูเครียดเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะการสู้รบที่ยืดเยื้อย่อมทำให้คนไทยต้องอยู่ภายใต้การกดดันจากสองอำนาจนี้อย่างอึดอัดที่สุด”
ร้อยเอกพิชยุทธสรุปความสิ่งที่หลวงวิเทศน์พูดมาทั้งหมด แต่ยังไม่ทันที่จะกล่าวอะไรต่อไป
หลวงวิเทศน์ยกมือขึ้นให้สัญญาณให้ร้อยเอกหนุ่มหยุดพูดขึ้นมากระทันหัน
“นั่นเสียงอะไรผู้กอง
!!”
ทั้งสองเงียบฟังเสียงของวัตถุคล้ายเครื่องยนต์ที่ค่อยๆ
ดังใกล้เข้ามาทีละน้อย
ไม่กี่อึดใจเสียงของมันเริ่มใกล้จนกระหึ่มดังอยู่ไม่ไกลจากหลังคาของอาคารแห่งนี้ ร้อยเอกหนุ่มผุดลุกขึ้นเกือบจะพร้อมกับหลวงวิเทศน์ ทั้งคู่รีบผลุนผลันไปที่หน้าต่างเพื่อชะโงกหน้าขึ้นไปมองอาคันตุกะเจ้าของเสียงที่แผดคำรามอยู่บนฟ้า
ทั้งสองชะเง้อมองไปยังที่มาของเสียง ภาพที่เห็นคือเครื่องบินรบมิซซูบิชิ ด็อกไฟเตอร์ ของกองทัพญี่ปุ่นห้าลำกำลังบินตรงใกล้เข้ามาเหนือหลังคาอาคาร เสียงแผดก้องของมันกระหึ่มดังราวมัจจุราชใต้ตะวัน ผู้คนในอาคารต่างแตกตื่นโกลาหล
ทุกคนออกจากห้องทำงานมายืนมองอาคันตุกะบนน่านฟ้ากันเนืองแน่น
เสียงแผดก้องของเครื่องบินรบแผ่วห่างออกไปทั้งสองคนจึงกลับมานั่งที่เดิม
ความเงียบแทรกตัวเข้ามาเพียงครู่ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะเอ่ยขึ้น
“พวกนั้นมากันแล้ว
นักฆ่าจากอ่าวเพิร์ล
อาจารย์คงไม่ทราบว่านักบินที่เป็นทหารหนุ่มบางส่วนของกองทัพญี่ปุ่นไม่เคยเป็นนักบินมาก่อน พวกเขาถูกฝึกให้เอาเครื่องขึ้นบินได้แต่ไม่ได้ฝึกให้เอาเครื่องลง ทุกลำบินไปเพื่อถล่มเป้าหมายด้วยการพุ่งชน”
“ผู้กองหมายถึงการพลีชีพอย่างนั้นเหรอ” หลวงวิเทศน์อุทาน
“ครับ...นี่คือประสบการณ์ใหม่ของสงครามที่หลายประเทศจะได้เจอ” ผู้กองหนุ่มผินหน้าไปทางหน้าต่างพร้อมถอนหายใจ
“มันเริ่มต้นแล้วผู้กองเรากำลังอยู่ในชะตากรรมที่มีคนเพียงหยิบมือนึงหยิบยื่นให้
ผมและผู้กองต้องเลือกด้วยสำนึกของตัวเองแล้วว่าเราพอจะทำอะไรได้บ้าง” หลวงวิเทศน์พูดเป็นนัย
“ขอบคุณอาจารย์มากครับสำหรับความคิดดีๆ
ผมคงต้องขอตัวก่อน ” ร้อยเอกหนุ่มลุกขึ้นพร้อมชิดเท้าโค้งคำนับกล่าวลา
“โชคดีผู้กอง
ผมเชื่อว่าเราอยู่ในความหวังเดียวกันอย่างเพิ่งหมดหวังกับไอ้สงครามบ้าๆ นี่
แล้วผมจะส่งข่าวให้ทันทีที่มีการเคลื่อนไหว”
หลวงวิเทศน์กล่าวประโยคสุดท้ายก่อนที่ร้อยเอกหนุ่มจะหันหลังเดินลับลงบันไดไป
ร้อยเอกพิชยุทธขับรถออกจากอาคารหลังนั้นด้วยจิตใจที่นิ่งสงบมากขึ้น
เขาเริ่มรับรู้และเข้าใจว่าอย่างน้อยก็มีคนที่เห็นในสิ่งที่เขาเห็น คิดในสิ่งที่เขาคิด
ทว่าสิ่งที่เห็นและความคิดเหล่านี้อยู่ในสำนึกของกลุ่มคนที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนออกมาได้ นี่คือความยากลำบากที่ต้องเผชิญข้างหน้าเขาหวนกลับไปคิดถึงคำสำคัญในประโยคสุดท้ายของหลวงวิเทศน์
“เราอยู่ในความหวังเดียวกัน”
ออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ร้อยเอกหนุ่มตัดสินใช้เส้นทางที่ไม่ตัดตรงไปยังกรมทหารสื่อสาร
แต่ตั้งใจอ้อมพระนครเพื่อต้องการตระเวณดูบรรยากาศทั่วๆ ไปของพระนคร ร้อยเอกหนุ่มเลือกเส้นทางจากถนนราชดำเนินกลางตัดผ่านชุมชนวัดแคนางเลิ้ง
เมื่อใกล้เข้าไปจึงเห็นชาวบ้านมุงดูอะไรสักอย่าง
ยิ่งใกล้เข้าเสียงเอะอะโวยวายก็ดังมากระทบหู ไม่กี่อึดใจชายหญิงสองคนยื้อยุดอะไรบางอย่างก็ปรากฏให้เห็น
“มึงต้องไป
ต้องไปเดี๋ยวนี้” เสียงฝ่ายชายอายุประมาณสักสามสิบตะคอกใส่อีกฝ่ายที่เป็นหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน
“กูไม่ไป
ไปแล้วกูจะเอาอะไรกิน”
ฝ่ายหญิงตะวาดกลับ
“หรือมึงอยากตายอยู่ที่นี่”
ฝ่ายชายตะคอกถามพร้อมกับมือที่พยายามยื้อกระชากฝ่ายหญิง
ร้อยเอกหนุ่มจอดรถแล้วก้าวลงไปใกล้ผู้คนที่มุงดูอยู่ก่อนจะเอ่ยปากถามชายคนหนึ่ง
“เขามีปัญหาอะไรกันหรือครับ”
ร้อยเอกหนุ่มเอ่ยถามชาวบ้านคนนึงที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ก่อน
“ผัวมันจะให้เมียขนของมันไปอยู่ชลบุรีบ้านพ่อมัน แต่เมียมันไม่ยอม” ชายคนนั้นตอบ
“ก็น่าจะคุยกันดีๆ ได้นี่” ร้อยเอกหนุ่มเปรย
“ผัวมันกลัวเครื่องบินทิ้งระเบิดน่ะ เมื่อกี้เครื่องบินญี่ปุ่นบินผ่านมา
มันกลัวเหมือนเห็นผีพาลสติแตกเก็บข้าวของยื้อกระชากเมียมันอย่างที่เห็นนี่แหละ” คำตอบนั้นทำเอาร้อยเอกหนุ่มถึงสะอึกก่อนจะมีใครคนหนึ่งตะโกนออกมา
“นั่นไงทหารมาแล้วนั่น เอ็งถามทหารเขาสิว่าจะมีระเบิดมาลงมั๊ย” ฝ่ายหญิงคู่กรณีหันมาถาม
“มีระเบิดมั๊ย ๆๆ” มีคนถามซ้ำขึ้นมาอีกสองสามคน ดูเหมือนตอนนี้เพียงคำถามเดียวได้กลายเป็นคำถามของทุกคนไปแล้ว
“ว่ายังไงเล่าคุณทหาร” ชายผู้เป็นสามีย้อมกลับมาถามร้อยเอกหนุ่ม
ร้อยเอกพิชยุทธยืนนิ่งไปชั่วครู่ เช่นเดียวกับสองผัวเมียที่ปล่อยมือออกจากกัน เขารู้ได้ในเสี้ยววินาทีว่ามันเป็นคำถามที่สำคัญมากสำหรับพวกเขา
นับสิบชีวิตเพ่งสายตามาที่ร้อยเอกหนุ่มเป็นจุดเดียว
แล้วนายทหารเช่นเขาจะตอบอย่างไร ?
“คืออย่างนี้นะครับ
ผมคงไปตอบในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้วางใจ การเตรียมตัวเตรียมพร้อมเป็นเรื่องที่ควรทำ
แต่ขอให้ทุกคนทำอย่างมีสติด้วยความระมัดระวัง” ร้อยเอกหนุ่มพยายามเรียบเรียงเนื้อความที่เขาหวังว่าจะดีที่สุด แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น !!
“แล้วยังไงเล่าคุณทหาร มันจะทิ้งระเบิดเมื่อไหร่ ปัทโธ่”
ชายที่ฉุดกระฉากลากแขนเมียถามอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็เป็นคำถามที่แทนใจใครอีกหลายคน
“เอ่อ....คือ”
ร้อยเอกหนุ่มอึกอัก
“ว่าไงคุณทหาร
เป็นทหารแล้วไม่รู้ได้ไง
มันจะมีระเบิดมาลงหลังคาบ้านฉันมั๊ย
ฉันกับแม่และลูกจะอยู่กันยังไง”
เสียงหญิงสูงวัยคนหนึ่งตะโกนมาจากในกลุ่ม ร้อยเอกหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ คราวนี้เขาตัดสินใจตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ขอให้ติดตามข่าวจากทางการอย่างใกล้ชิด เมื่อไหร่ที่รัฐบาลประกาศสงคราม เมื่อนั้นเรากำลังอยู่ในภาวะอันตรายและฝ่ายสัมพันธมิตรหรือฝรั่งจะต้องส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในพระนครอย่างแน่นอน” พูดเสร็จร้อยเอกหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาเดินกลับมาขึ้นรถพร้อมกับเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของชาวบ้านที่ดังไล่หลัง แต่ละคนมีแต่คำว่าสงครามและสงคราม ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด ความหวาดกลัวได้เดินทางมาไกลเสียแล้ว
เหตุการณ์ช่วงสั้นๆ
ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ต่อเติมความคิดของร้อยเอกหนุ่มให้เตลิดไปไกล
กลิ่นของสงครามโชยมาใกล้แค่ปลายจมูก
ความยุ่งยากซับซ้อนของการเมืองกำลังแจ่มชัดขึ้นตามคำของหลวงวิเทศน์ นายทหารยศเพียงร้อยเอกอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้าง
นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดของนายทหารหนุ่ม
หรือคำว่าสงครามมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะต้านทาน
ร้อยเอกพิชยุทธเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านข้างของแผนกสื่อสารก่อนจะรีบเดินเข้าไปที่ห้องทำงาน
ไม่ทันที่เขาจะหย่อนกายลงนั่งเสียงเร่งจังหวะฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องทำให้เขาต้องเงยหน้าไปมอง เขาเห็นจ่าเมฆเดินมาหยุดยืนชิดเท้าอยู่ตรงหน้า
“นายครับ ท่านผบ.ให้มาเรียนว่า
อีกสองวันทางกองทัพญี่ปุ่นจะส่งนายทหารที่จะมาประจำศูนย์วิทยุมาพบครับ”
“ขอบใจมากจ่า
ช่วยเรียนท่านว่าผมรับทราบแล้วและจะเตรียมตัวพบพวกเขา” ร้อยเอกหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะหย่อนกายลงนั่งแต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้อ...จ่าเมฆ
เรือผมเรียบร้อยมั๊ย” ร้อยเอกหนุ่มเอ่ยถาม
“อ๋อ...เรียบร้อยครับ
ผมเช็คเครื่องเติมน้ำมันเต็มถังแล้วครับ”
“ดีมาก งั้นจ่าไปเถอะ”
ร้อยเอกหนุ่มบอกลูกน้องคนสนิทแต่จ่าเมฆยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
ร้อยเอกหนุ่มกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะก่อนจะเหลือบขึ้นมาเห็นจ่าเมฆยังยืนอยู่ตรงนั้น
“อ้าว...มีอะไรอีกหรือเปล่าจ่า”
“คือ..เอ่อ...คือ” จ่าเมฆอึกอัก
“มัวแต่อึกอักอยู่นั่น มีอะไรก็ว่ามา” ร้อยเอกหนุ่มเสียงเข้มขึ้น
“อยากจะขออนุญาตผู้กอง ขอไปปทุมด้วยนะครับ” น้ำเสียงจ่าเมฆแผ่วลงเหมือนวิงวอน
“ทำไมรึ
จะไปหาสาวเมืองปทุมเหรอ”
ร้อยเอกหนุ่มสัพยอก
“ปะ
ปะปล่าวครับ ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ ไม่เจอท่านนานมากแล้ว” แม้จะละล่ำละลักแต่น้ำเสียงของจ่าเมฆดูจริงจัง ร้อยเอกหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“จริงสินะ
จ่าอยู่กับคุณพ่อมานานกว่าอยู่กับผมเสียอีก
ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้ไม่ต้องขับเรือให้เมื่อย”
“ขอบคุณมากครับผู้กอง งั้นตอนเย็นผมไปรอผู้กองที่เรือเลยนะครับ” น้ำเสียงของจ่าเมฆลิงโลดก่อนเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
จ่าเมฆหรือ
จ่าสิบเอกพยับเมฆ พันทวน
คนนี้เป็นอดีตทหารคนสนิทของหลวงปราบมาตั้งแต่ยังครองยศร้อยเอก ตั้งแต่จ่าเมฆยังเป็นเพียงสิบตรีบรรจุใหม่ ร่วมเป็นร่วมตายและอยู่ในสถานการณ์สำคัญกับหลวงปราบมาหลายครั้ง โดยเฉพาะเหตุการณ์กบฏบวรเดชที่ทหารตัวเล็กๆ
คนนี้เก็บงำความลับบางอย่างเอาไว้
‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น