วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

ดอกไม้ในตะวัน 4


บทที่  4
ค้นหาคำตอบ

            ร้อยเอกพิชยุทธสืบเท้าลงบันไดเรือนพักนายทหารตรงไปที่รถจี๊บคู่ใจก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องขับออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว   สองข้างทางที่เงียบเหงาชวนให้หวนคิดถึงความวุ่นวายโกลาหลที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ร้อยเอกหนุ่มเริ่มตระหนักว่าเวลาที่จะต้องจัดการทุกอย่างนั้นเหลือน้อยลงเต็มที  เพราะเมื่อถึงวันนั้นหลายๆ อย่างก็อาจจะสายเกินไป  แม้ว่านายทหารหนุ่มอย่างเขาจะเพิ่งผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือดกับฝรั่งเศสที่ชายแดนไทยลาวมาแล้วหมาดๆ  แต่กลิ่นดินปืนที่ยังไม่จางหายกลับก้องเตือนอยู่ในสำนึกว่า 
ประชาชนไม่ควรจะตกอยู่ในวงล้อมของสงครามที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ
            รถจี๊บคู่ใจแล่นเลยทางเข้าแผนกสื่อสารที่เขาประจำการโดยไม่เลี้ยวเข้าไปเหมือนทุกวัน  ร้อยเอกหนุ่มใช้เส้นทางมุ่งตรงสู่ทุ่งพระสุเมรุพร้อมกับคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาเพื่อเตรียมหาคำตอบจากใครบางคน ไม่นานนักรถจิ๊ปคันนั้นก็พาเขามาหยุดอยู่หน้าอาคารขนาดใหญ่  ส่วนกลางของอาคารโดดเด่นด้วยยอดโดมอยู่ด้านบน  ร้อยเอกหนุ่มรีบลงจากรถเดินขึ้นไปบนอาคารแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องประตูไม้สีเข้ม หน้าห้องติดป้ายชื่อไว้ว่า “หลวงวิเทศน์  บูรพานุกิจ” 
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” 
“เชิญครับ”  เสียงจากด้านในอนุญาตให้ร้อยเอกหนุ่มผลักประตูเข้าไป
“อ้อ...ผู้กองนั่นเอง เชิญนั่งสิ”  เจ้าของเสียงผายมือเชิญผู้กองหนุ่ม
“ผมมารบกวนเวลางานอาจารย์หรือเปล่าครับ”  ร้อยเอกหนุ่มกล่าวพร้อมค้อมตัวอย่างอ่อนน้อม
“รบกวนอะไรกัน  เรามันคนกันเอง  นั่งลงเถอะฉันรู้ว่าผู้กองร้อนใจ” หลวงวิเทศน์มองลอดแว่นไปที่ผู้กองหนุ่มด้วยสายตายินดี
หลวงวิเทศน์  บูรพานุกิจในวัยห้าสิบปลายยังดูกระฉับกระเฉงและกระตือรือร้น  แม้ผมจะแซมขาวบอกช่วงวัยแต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยประกายอันแวววาวอยู่ตลอดเวลา  ชุดสากลสีขาวกับแว่นตาเหลี่ยมกรอบดำยิ่งขับราศีของนักวิชาการผู้ทรงภูมิให้ดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนทุนจากเมืองไทยยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่กี่ปี  เป็นแนวร่วมของคณะราษฎรในปีกของพลเรือนอีกคนที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด  ที่สำคัญเขาเป็นอดีตนักเรียนเก่าอังกฤษเช่นเดียวกับหลวงปราบซึ่งเคยใช้ชีวิตที่นั่นร่วมกันอยู่หลายปี  จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ร้อยเอกพิชยุทธ์จะแวะมาหาคำอธิบายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองที่นี่
“ผู้กองคงกังวลกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่น้อยเลย”  หลวงวิเทศน์เปิดการสนทนา
“ใช่ครับอาจารย์  ผมมองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะยืดเยื้อ  ยิ่งยืดเยื้อคนไทยก็ยิ่งลำบาก เราเคยแต่ทำสงครามรอบบ้าน แต่ครั้งนี้สงครามมันเข้ามาหาเราถึงในบ้านเลย”  ร้อยเอกหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ไอ้ยืดเยื้อน่ะยืดเยื้อแน่  แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบแบบไหน”  หลวงวิเทศน์พูดพลางส่ายหน้า
“อาจารย์วิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้อย่างไรครับ”  ร้อยเอกหนุ่มพาหลวงวิเทศน์เข้าสู่ประเด็นสำคัญ
“คืออย่างนี้ผู้กอง  ถ้ามองจากสายตาของนักรัฐศาสตร์อย่างผม  ผมมองว่าความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องการเมือง  แต่สิ่งที่ยากในการวิเคราะห์คือมันมีการเมืองซ้อนการเมืองอยู่มากในจังหวะเวลาแบบนี้”
“หมายความว่ายังไงครับอาจารย์”  ผู้กองหนุ่มสงสัยในขณะที่อีกฝ่ายเม้มปากครุ่นคิดก่อนจะตอบคำถามด้วยความระมัดระวัง
“ต้องยอมรับว่าสงครามโลกมันจะเกิดได้ก็เพราะปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่พัฒนาขยายตัวมาถึงจุดแตกหักและจุดแตกหักสำคัญก็อยู่ญี่ปุ่นตัดสินใจโจมตีอ่าวเพิร์ล   แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดเดาของนักวิชาการอย่างผมก็คือ  รุ่งขึ้นเพียงวันเดียวญี่ปุ่นก็ตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่บ้านเราทันที  แสดงว่าญี่ปุ่นมีแนวคิดทางการทหารและการเมืองเชิงรุกที่น่ากลัวอย่างมาก” 
“แล้วที่อาจารย์ว่ามีการเมืองซ้อนการเมืองนั้นหมายความว่ายังไงครับ”  ร้อยเอกหนุ่มรอที่จะให้หลวงวิเทศน์อธิบายต่อไม่ไหว
“การเมืองอีกชั้นที่ซ้อนกันอยู่ก็คือการเมืองในบ้านเราไงผู้กอง  อย่าลืมสิว่ารัฐบาลนี้ก็บริหารประเทศด้วยความไม่มั่นคงนักเพราะอะไรก็รู้ๆ กันอยู่  สิ่งที่ดูเหมือนว่ามันมั่นคงก็เพราะการพยายามใช้นโยบายชาตินิยมมากดโครงสร้างส่วนล่างไว้เท่านั้น  ผมว่าผู้กองก็ต้องสัมผัสได้ในเรื่องนี้  ยังไม่นับถึงความขัดแย้งระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มที่ปะทุมาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  มันดูเหมือนมาขมวดปมอย่างเข้มข้นในช่วงสงครามนี้พอดี”  หลวงวิเทศน์มองหน้าผู้กองหนุ่มนิ่งเหมือนจะเชื้อเชิญให้ออกความเห็น
            “อาจารย์ให้ภาพที่ชัดเจนขึ้นมากครับ  ความรู้สึกที่ผมอึดอัดก็เพราะเราอธิบายมันไม่ได้นี่เองและผมก็คิดว่าคนไทยไม่น้อยก็มีความรู้สึกแบบนี้  พวกเขาจึง...”  ไม่ทันที่ร้อยเอกหนุ่มจะพูดต่อหลวงเทศน์ก็เสริมขึ้นในทันที
“จึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว” 
“ใช่ครับอาจารย์” 
“ไม่แปลกหรอกผู้กองเพราะนี่คือปรากฏการณ์แรกและอาจจะเป็นปรากฏการณ์เดียวในชีวิตของคนรุ่นเราที่จะได้พบได้เจอกับคำว่าสงครามโลก อย่าลืมว่าประเทศไทยน่ะมันเล็กนิดเดียวในโครงสร้างอำนาจของโลกตอนนี้”  หลวงวิเทศน์อธิบายอีกหลายฉากหลายประเด็น  สุดท้ายจึงมาถึงคำถามที่สำคัญที่สุดของการสนทนา
“อาจารย์คิดยังไงที่ท่านผู้นำตัดสินใจลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ?”
“จะให้ผมตอบในฐานะอะไรล่ะ  ในฐานะนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์หรืออดีตนักเรียนเก่าจากประเทศอังกฤษเหมือนกับคุณพ่อของผู้กอง ฮ่ะๆๆ”  หลวงวิเทศน์สัพยอกพร้อมหัวเราะให้ผู้กองหนุ่มเล็กน้อย
“ในฐานะคนไทยคนนึงครับ”  ร้อยเอกหนุ่มกล่าวจริงจัง
“ดีมากผู้กอง  อย่างที่ผมบอกไว้แต่แรกนั่นแหละมันเป็นการเมืองซ้อนการเมือง  คนที่เติบโตทางการศึกษามาจากยุโรปอย่างผมอย่างผู้กองหรือแม้แต่ .....”  หลวงวิเทศน์หยุดพูดเสียกระทันหัน !!
“แม้แต่คุณพ่อของผม”  ร้อยเอกหนุ่มตอบแทน
“ใช่... พวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ  ทุกคนต่างตั้งคำถามกับนโยบายชาตินิยมที่เป็นอยู่ว่ามันจะพาชาติเราไปสู่อะไร  มันเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องการจริงๆ หรือเพียงแค่เพราะมันมีพลังเพียงพอที่จะพยุงให้ใครบางคนอยู่ในอำนาจได้โดยไม่ใครกล้าทัดทาน”  ร้อยเอกหนุ่มพยักหน้ารับก่อนที่หลวงวิเทศน์จะกล่าวต่อไป
“และเมื่อความคิดแบบชาตินิยมของผู้นำไทยมาผนวกกับความคิดแบบชาตินิยมของญี่ปุ่น ผู้กองลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างถ้าเราชนะสงคราม หรือถ้าเราแพ้สงคราม  ผมถึงไม่แปลกใจเลยที่ญี่ปุ่นเสนอเงื่อนไขกลายๆ ว่าจะช่วยรัฐบาลนี้ผนวกดินแดนที่เราเคยมีอิทธิพลเก่าๆ กลับมา”  ถึงตอนนี้สีหน้าของหลวงวิเทศน์ดูเครียดเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะการสู้รบที่ยืดเยื้อย่อมทำให้คนไทยต้องอยู่ภายใต้การกดดันจากสองอำนาจนี้อย่างอึดอัดที่สุด”  ร้อยเอกพิชยุทธสรุปความสิ่งที่หลวงวิเทศน์พูดมาทั้งหมด  แต่ยังไม่ทันที่จะกล่าวอะไรต่อไป  หลวงวิเทศน์ยกมือขึ้นให้สัญญาณให้ร้อยเอกหนุ่มหยุดพูดขึ้นมากระทันหัน
“นั่นเสียงอะไรผู้กอง !!”
ทั้งสองเงียบฟังเสียงของวัตถุคล้ายเครื่องยนต์ที่ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาทีละน้อย  ไม่กี่อึดใจเสียงของมันเริ่มใกล้จนกระหึ่มดังอยู่ไม่ไกลจากหลังคาของอาคารแห่งนี้   ร้อยเอกหนุ่มผุดลุกขึ้นเกือบจะพร้อมกับหลวงวิเทศน์   ทั้งคู่รีบผลุนผลันไปที่หน้าต่างเพื่อชะโงกหน้าขึ้นไปมองอาคันตุกะเจ้าของเสียงที่แผดคำรามอยู่บนฟ้า
ทั้งสองชะเง้อมองไปยังที่มาของเสียง  ภาพที่เห็นคือเครื่องบินรบมิซซูบิชิ ด็อกไฟเตอร์ ของกองทัพญี่ปุ่นห้าลำกำลังบินตรงใกล้เข้ามาเหนือหลังคาอาคาร  เสียงแผดก้องของมันกระหึ่มดังราวมัจจุราชใต้ตะวัน  ผู้คนในอาคารต่างแตกตื่นโกลาหล  ทุกคนออกจากห้องทำงานมายืนมองอาคันตุกะบนน่านฟ้ากันเนืองแน่น
เสียงแผดก้องของเครื่องบินรบแผ่วห่างออกไปทั้งสองคนจึงกลับมานั่งที่เดิม  ความเงียบแทรกตัวเข้ามาเพียงครู่ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะเอ่ยขึ้น
“พวกนั้นมากันแล้ว นักฆ่าจากอ่าวเพิร์ล อาจารย์คงไม่ทราบว่านักบินที่เป็นทหารหนุ่มบางส่วนของกองทัพญี่ปุ่นไม่เคยเป็นนักบินมาก่อน  พวกเขาถูกฝึกให้เอาเครื่องขึ้นบินได้แต่ไม่ได้ฝึกให้เอาเครื่องลง  ทุกลำบินไปเพื่อถล่มเป้าหมายด้วยการพุ่งชน” 
“ผู้กองหมายถึงการพลีชีพอย่างนั้นเหรอ”  หลวงวิเทศน์อุทาน
“ครับ...นี่คือประสบการณ์ใหม่ของสงครามที่หลายประเทศจะได้เจอ”  ผู้กองหนุ่มผินหน้าไปทางหน้าต่างพร้อมถอนหายใจ
“มันเริ่มต้นแล้วผู้กองเรากำลังอยู่ในชะตากรรมที่มีคนเพียงหยิบมือนึงหยิบยื่นให้  ผมและผู้กองต้องเลือกด้วยสำนึกของตัวเองแล้วว่าเราพอจะทำอะไรได้บ้าง”  หลวงวิเทศน์พูดเป็นนัย
“ขอบคุณอาจารย์มากครับสำหรับความคิดดีๆ ผมคงต้องขอตัวก่อน ”  ร้อยเอกหนุ่มลุกขึ้นพร้อมชิดเท้าโค้งคำนับกล่าวลา
“โชคดีผู้กอง ผมเชื่อว่าเราอยู่ในความหวังเดียวกันอย่างเพิ่งหมดหวังกับไอ้สงครามบ้าๆ นี่ แล้วผมจะส่งข่าวให้ทันทีที่มีการเคลื่อนไหว”  หลวงวิเทศน์กล่าวประโยคสุดท้ายก่อนที่ร้อยเอกหนุ่มจะหันหลังเดินลับลงบันไดไป
ร้อยเอกพิชยุทธขับรถออกจากอาคารหลังนั้นด้วยจิตใจที่นิ่งสงบมากขึ้น  เขาเริ่มรับรู้และเข้าใจว่าอย่างน้อยก็มีคนที่เห็นในสิ่งที่เขาเห็น  คิดในสิ่งที่เขาคิด  ทว่าสิ่งที่เห็นและความคิดเหล่านี้อยู่ในสำนึกของกลุ่มคนที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนออกมาได้  นี่คือความยากลำบากที่ต้องเผชิญข้างหน้าเขาหวนกลับไปคิดถึงคำสำคัญในประโยคสุดท้ายของหลวงวิเทศน์ 
“เราอยู่ในความหวังเดียวกัน”
ออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง  ร้อยเอกหนุ่มตัดสินใช้เส้นทางที่ไม่ตัดตรงไปยังกรมทหารสื่อสาร  แต่ตั้งใจอ้อมพระนครเพื่อต้องการตระเวณดูบรรยากาศทั่วๆ ไปของพระนคร   ร้อยเอกหนุ่มเลือกเส้นทางจากถนนราชดำเนินกลางตัดผ่านชุมชนวัดแคนางเลิ้ง  เมื่อใกล้เข้าไปจึงเห็นชาวบ้านมุงดูอะไรสักอย่าง  ยิ่งใกล้เข้าเสียงเอะอะโวยวายก็ดังมากระทบหู  ไม่กี่อึดใจชายหญิงสองคนยื้อยุดอะไรบางอย่างก็ปรากฏให้เห็น
“มึงต้องไป  ต้องไปเดี๋ยวนี้”  เสียงฝ่ายชายอายุประมาณสักสามสิบตะคอกใส่อีกฝ่ายที่เป็นหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน
“กูไม่ไป  ไปแล้วกูจะเอาอะไรกิน”  ฝ่ายหญิงตะวาดกลับ
“หรือมึงอยากตายอยู่ที่นี่”  ฝ่ายชายตะคอกถามพร้อมกับมือที่พยายามยื้อกระชากฝ่ายหญิง
ร้อยเอกหนุ่มจอดรถแล้วก้าวลงไปใกล้ผู้คนที่มุงดูอยู่ก่อนจะเอ่ยปากถามชายคนหนึ่ง 
“เขามีปัญหาอะไรกันหรือครับ” ร้อยเอกหนุ่มเอ่ยถามชาวบ้านคนนึงที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ก่อน
“ผัวมันจะให้เมียขนของมันไปอยู่ชลบุรีบ้านพ่อมัน  แต่เมียมันไม่ยอม”  ชายคนนั้นตอบ
“ก็น่าจะคุยกันดีๆ ได้นี่”  ร้อยเอกหนุ่มเปรย
“ผัวมันกลัวเครื่องบินทิ้งระเบิดน่ะ  เมื่อกี้เครื่องบินญี่ปุ่นบินผ่านมา  มันกลัวเหมือนเห็นผีพาลสติแตกเก็บข้าวของยื้อกระชากเมียมันอย่างที่เห็นนี่แหละ”  คำตอบนั้นทำเอาร้อยเอกหนุ่มถึงสะอึกก่อนจะมีใครคนหนึ่งตะโกนออกมา
“นั่นไงทหารมาแล้วนั่น  เอ็งถามทหารเขาสิว่าจะมีระเบิดมาลงมั๊ย”  ฝ่ายหญิงคู่กรณีหันมาถาม
“มีระเบิดมั๊ย ๆๆ”   มีคนถามซ้ำขึ้นมาอีกสองสามคน ดูเหมือนตอนนี้เพียงคำถามเดียวได้กลายเป็นคำถามของทุกคนไปแล้ว
“ว่ายังไงเล่าคุณทหาร”  ชายผู้เป็นสามีย้อมกลับมาถามร้อยเอกหนุ่ม
ร้อยเอกพิชยุทธยืนนิ่งไปชั่วครู่  เช่นเดียวกับสองผัวเมียที่ปล่อยมือออกจากกัน  เขารู้ได้ในเสี้ยววินาทีว่ามันเป็นคำถามที่สำคัญมากสำหรับพวกเขา นับสิบชีวิตเพ่งสายตามาที่ร้อยเอกหนุ่มเป็นจุดเดียว แล้วนายทหารเช่นเขาจะตอบอย่างไร ?
“คืออย่างนี้นะครับ  ผมคงไปตอบในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้  แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้วางใจ  การเตรียมตัวเตรียมพร้อมเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ขอให้ทุกคนทำอย่างมีสติด้วยความระมัดระวัง”  ร้อยเอกหนุ่มพยายามเรียบเรียงเนื้อความที่เขาหวังว่าจะดีที่สุด  แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น !!
“แล้วยังไงเล่าคุณทหาร  มันจะทิ้งระเบิดเมื่อไหร่ ปัทโธ่”  ชายที่ฉุดกระฉากลากแขนเมียถามอย่างไม่สบอารมณ์  แต่ก็เป็นคำถามที่แทนใจใครอีกหลายคน
“เอ่อ....คือ”  ร้อยเอกหนุ่มอึกอัก
“ว่าไงคุณทหาร  เป็นทหารแล้วไม่รู้ได้ไง  มันจะมีระเบิดมาลงหลังคาบ้านฉันมั๊ย  ฉันกับแม่และลูกจะอยู่กันยังไง”  เสียงหญิงสูงวัยคนหนึ่งตะโกนมาจากในกลุ่ม ร้อยเอกหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่  คราวนี้เขาตัดสินใจตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ขอให้ติดตามข่าวจากทางการอย่างใกล้ชิด  เมื่อไหร่ที่รัฐบาลประกาศสงคราม  เมื่อนั้นเรากำลังอยู่ในภาวะอันตรายและฝ่ายสัมพันธมิตรหรือฝรั่งจะต้องส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในพระนครอย่างแน่นอน”  พูดเสร็จร้อยเอกหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง  เขาเดินกลับมาขึ้นรถพร้อมกับเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของชาวบ้านที่ดังไล่หลัง  แต่ละคนมีแต่คำว่าสงครามและสงคราม  ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด  ความหวาดกลัวได้เดินทางมาไกลเสียแล้ว
เหตุการณ์ช่วงสั้นๆ ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ต่อเติมความคิดของร้อยเอกหนุ่มให้เตลิดไปไกล กลิ่นของสงครามโชยมาใกล้แค่ปลายจมูก  ความยุ่งยากซับซ้อนของการเมืองกำลังแจ่มชัดขึ้นตามคำของหลวงวิเทศน์  นายทหารยศเพียงร้อยเอกอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้าง  นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดของนายทหารหนุ่ม  หรือคำว่าสงครามมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะต้านทาน
ร้อยเอกพิชยุทธเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านข้างของแผนกสื่อสารก่อนจะรีบเดินเข้าไปที่ห้องทำงาน  ไม่ทันที่เขาจะหย่อนกายลงนั่งเสียงเร่งจังหวะฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องทำให้เขาต้องเงยหน้าไปมอง  เขาเห็นจ่าเมฆเดินมาหยุดยืนชิดเท้าอยู่ตรงหน้า
“นายครับ  ท่านผบ.ให้มาเรียนว่า อีกสองวันทางกองทัพญี่ปุ่นจะส่งนายทหารที่จะมาประจำศูนย์วิทยุมาพบครับ”
“ขอบใจมากจ่า  ช่วยเรียนท่านว่าผมรับทราบแล้วและจะเตรียมตัวพบพวกเขา”  ร้อยเอกหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะหย่อนกายลงนั่งแต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้อ...จ่าเมฆ เรือผมเรียบร้อยมั๊ย” ร้อยเอกหนุ่มเอ่ยถาม
“อ๋อ...เรียบร้อยครับ ผมเช็คเครื่องเติมน้ำมันเต็มถังแล้วครับ” 
“ดีมาก  งั้นจ่าไปเถอะ”  ร้อยเอกหนุ่มบอกลูกน้องคนสนิทแต่จ่าเมฆยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่  ร้อยเอกหนุ่มกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะก่อนจะเหลือบขึ้นมาเห็นจ่าเมฆยังยืนอยู่ตรงนั้น 
“อ้าว...มีอะไรอีกหรือเปล่าจ่า” 
“คือ..เอ่อ...คือ”  จ่าเมฆอึกอัก
“มัวแต่อึกอักอยู่นั่น  มีอะไรก็ว่ามา”  ร้อยเอกหนุ่มเสียงเข้มขึ้น
“อยากจะขออนุญาตผู้กอง  ขอไปปทุมด้วยนะครับ”  น้ำเสียงจ่าเมฆแผ่วลงเหมือนวิงวอน
“ทำไมรึ จะไปหาสาวเมืองปทุมเหรอ”  ร้อยเอกหนุ่มสัพยอก
“ปะ ปะปล่าวครับ ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ ไม่เจอท่านนานมากแล้ว”  แม้จะละล่ำละลักแต่น้ำเสียงของจ่าเมฆดูจริงจัง  ร้อยเอกหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“จริงสินะ  จ่าอยู่กับคุณพ่อมานานกว่าอยู่กับผมเสียอีก  ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้ไม่ต้องขับเรือให้เมื่อย” 
“ขอบคุณมากครับผู้กอง  งั้นตอนเย็นผมไปรอผู้กองที่เรือเลยนะครับ”  น้ำเสียงของจ่าเมฆลิงโลดก่อนเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี 
จ่าเมฆหรือ จ่าสิบเอกพยับเมฆ พันทวน คนนี้เป็นอดีตทหารคนสนิทของหลวงปราบมาตั้งแต่ยังครองยศร้อยเอก  ตั้งแต่จ่าเมฆยังเป็นเพียงสิบตรีบรรจุใหม่  ร่วมเป็นร่วมตายและอยู่ในสถานการณ์สำคัญกับหลวงปราบมาหลายครั้ง  โดยเฉพาะเหตุการณ์กบฏบวรเดชที่ทหารตัวเล็กๆ คนนี้เก็บงำความลับบางอย่างเอาไว้

‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น