บทที่ 3
วันสำคัญ
เพียงข้ามคืนหลังการลงนามเป็นพันธมิตรสงครามกับรัฐบาลญี่ปุ่น บรรยากาศทั่วทั้งพระนครเหมือนต้องมนต์สะกด ผู้คนที่เคยขวักไขว่ในย่านการค้าลดหายลงไปเหมือนถูกเสก
ร้านรวงหลายแห่งปิดประตูลั่นกลอนไม่เปิดทำการค้าขายเหมือนเคย
รถลากรถเจ๊กรวมถึงรถยนต์ที่เคยพลุกพล่านก็พาลหายไปจากท้องถนนเสียไม่น้อย เหลือเพียงลมเอื่อยของเดือนธันวาคมที่ยังคงทำหน้าที่เหมือนทุกเมื่อเชื่อวัน
ตรงกันข้ามสถานที่ราชการกระทรวงต่างๆ
กลับคึกคักและดูวุ่นวายมากขึ้น
โดยเฉพาะหน่วยทหารเกือบทุกแห่งมีรถทหารวิ่งเข้าออกต่อเนื่องไม่ขาด แน่นอนว่าต้องมีรถของกองทหารญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยอย่างผิดหูผิดตา
จะเรียกได้ว่าพระนครกลายเป็นเมืองทหารไปแล้วคงไม่ผิดนัก !!
“ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องทำงานของพันเอกหลวงฤทธิรงค์
“เข้ามาได้”
เจ้าของห้องเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
ผู้ได้รับอนุญาตสืบเท้าเข้ามาในห้องแล้วหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา
ร้อยเอกหนุ่มในร่างสูงสง่าชิดเท้าทำความเคารพ แววตาคมเป็นประกายของเขามองไปยังพันเอกหลวงฤทธิรงค์ที่กำลังหมุนตัวกลับมาจากการหยิบเอกสารด้านหลัง
“นั่งสิผู้กอง” หลวงฤทธิรงค์กล่าวขึ้นโดยไม่เงยหน้าจากเอกสารในมือแล้วนั่งลงตรงหน้าร้อยเอกหนุ่ม
“ผู้กองทราบเรื่องเมื่อวานนี้แล้วใช่มั๊ย”
นายทหารใหญ่ถามคำถามแรก
“ครับผม” ร้อยเอกหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“แต่คงยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหน่วยของเราบ้าง” นายทหารใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คิ้วดกหนาของเขารับกับโครงหน้าที่มีสันเหลี่ยมของโหนกแก้มกลายเป็นจุดเด่นแรกที่ใครๆต้องเห็นพร้อมกับริ้วหนวดดกดำที่ส่งให้แววตาคู่นั้นดูดุดันเสมอเมื่อต้องสนทนาด้วยเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจัง
“ครับ
แต่พอเข้าใจได้ว่าคงเป็นงานสำคัญ”
ร้อยเอกหนุ่มตอบด้วยใบหน้าและท่าทีเรียบเฉย
“ใช่
มันเป็นงานสำคัญมาก”
หลวงฤทธิรงค์ว่าพลางมองเข้าไปในแววตาคมของผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนพยายามจะมองให้เห็นใครอีกคน
“เราต้องตั้งศูนย์วิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น” สิ้นเสียงนายทหารใหญ่ทิ้งเวลาชั่วอึดใจเหมือนจะรอให้ร้อยเอกหนุ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างตอบกลับมา
“เป็นงานสำคัญจริงๆ
แต่ผมมีคำถามครับ” ร้อยเอกหนุ่มถาม
หลวงฤทธิรงค์ไม่แปลกใจแต่อย่างใด
เพราะร้อยเอกพิชยุทธไม่ใช่นายทหารที่ครับผมเพียงอย่างเดียวผิดจากผู้ใต้บังคับบัญชาโดยทั่วไป
อัตตลักษณ์นี้ทำให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนหวนคิดถึงหลวงปราบเมื่อครั้งรับราชการเสมอ
วันนี้ร้อยเอกพิชยุทธลูกชายคนเดียวถอดแบบความเป็นบุรินนรเศรษฐมาจากผู้เป็นบิดามาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
แต่ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาท่าทีแบบนี้ดูเหมือนไม่ใคร่ทำให้หลวงฤทธิรงค์พึงพอใจนัก
“เชิญเลยผู้กอง” หลวงฤทธิรงค์อนุญาตพร้อมหลิ่วตาอย่างมีนัย
“ท่านใช้คำว่าศูนย์วิทยุร่วมแต่เส้นแบ่งระหว่างการเป็นศูนย์ร่วมกับการควบคุมบังคับบัญชาอยู่ตรงไหนครับ” ความเงียบเข้ามาแทรกกลางคนทั้งสอง
หลวงฤทธิรงค์ยกปลายนิ้วของทั้งสองมือแตะเข้าหากันด้วยจังหวะเนิบช้า
“เป็นคำถามที่ดีมากผู้กอง” นายทหารใหญ่เปรยพร้อมชำเลืองตามมอง
เขาลุกขึ้นยืนพร้อมโยนซองเอกสารแฟ้มใหญ่ไว้ตรงหน้าร้อยเอกหนุ่มก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าก้าวออกมาจากโต๊ะ
ร้อยเอกพิชยุทธรีบลุกขึ้นยืนชิดเท้าตามวินัยทหารในขณะที่ผู้บังคับบัญชาเดินไปมา
“ศูนย์นี้มีผมเป็นผู้รับผิดชอบ มีผู้กองเป็นหัวหน้าชุดวิทยุ
ทางฝ่ายญี่ปุ่นมีร้อยเอกฮิเดมุระเป็นหัวหน้าทีมมีผู้ช่วยเป็นร้อยตรีคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่วิทยุของเขาอีกสี่นาย
ทั้งสองทีมนี้ต้องทำงานร่วมกัน
การตัดสินใจภายในศูนย์เป็นสิทธิขาดของผม
แต่มีเงื่อนไขที่ผมต้องรับทราบคำสั่งจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านร้อยเอกฮิเดมุระอยู่สามสี่เรื่องตามเอกสารนั่น แต่เรื่องอื่นๆรับคำสั่งและรายงานโดยตรงกับท่านผู้นำของเรา ผู้กองคิดว่ามันเป็นความร่วมมือหรือการควบคุมล่ะ”
“เป็นความร่วมมือที่ถูกควบคุมแต่ไม่มีทางเลือกครับ” ร้อยเอกหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ
“ดีแล้วผู้กองที่เข้าใจแบบนั้น ในสถานการณ์อย่างนี้เรามีทางเลือกเลือกอยู่สักเท่าไหร่กัน”
นายทหารใหญ่มองเข้าไปนัยน์ตาของร้อยเอกหนุ่มพร้อมเผยอยิ้มมุมปากก่อนจะเดินกลับไปนั่ง
“เป้าหมายและภารกิจของศูนย์นี้คงไม่ผิดไปจากที่ผมคาดการณ์” ร้อยเอกหนุ่มเปรย
“เป้าหมายและภารกิจนะเหรอ นายทหารสื่อสารที่ปราดเปรื่องอย่างผู้กองต้องคาดไม่ผิดหรอก
แน่นอนญี่ปุ่นต้องการงานข่าวและการดังฟังความเคลื่อนไหวของกองกำลังสัมพันธมิตรในเขตนี้ทั้งหมด
ผมคิดว่าผู้กองน่าจะพอใจนะเพราะจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อีกไม่น้อยเลย” หลวงฤทธิรงค์มองหน้าผู้กองหนุ่มนิ่ง
“เราคงเป็นสะพานที่ดีสำหรับเขา” ร้อยเอกหนุ่มพูดขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม
“มองอีกแง่หนึ่งก็ได้นะผู้กอง
อย่างน้อยการลงนามเมื่อวานก็ไม่ทำให้ทางญี่ปุ่นหักหาญด้วยการตั้งศูนย์วิทยุของเขาเองในบ้านของเรา”
หลวงฤทธิรงค์แอบชำเลืองมองร้อยเอกหนุ่มก่อนจะพูดต่อ
“เอาเอกสารนี่ไปศึกษา
ผู้กองมีเวลาเหลืออีกอาทิตย์เดียวทุกอย่างต้องเรียบร้อยเราจะใช้อาคารเรียนของโรงเรียนนายสิบสื่อสารเป็นที่ตั้งศูนย์
พรุ่งนี้ทางญี่ปุ่นและหน่วยทหารช่างของเราจะทยอยขนอุปกรณ์มาติดตั้ง
แล้วผมจะให้ผู้หมวดนันทภักดิ์มาช่วยผู้กองอีกแรง ผู้กองต้องการใครมาช่วยเป็นพิเศษบ้างแจ้งมาได้”
หลวงฤทธิรงค์เหลือบตาขึ้นมองร้อยเอกหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าก่อนจะเน้นคำสุดท้าย
“นอกจากทหารในแผนกเราแล้ว
ผมขอให้สิบโทวิมลศรีมาช่วยเป็นธุรการเพราะเธอมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้าง”
“ได้สิไม่มีปัญหา ยังไงผมก็เชื่อมือผู้กองอยู่แล้ว” น้ำเสียงของนายทหารใหญ่ยากที่จะแปรความหมายว่าชื่นชมโดยสนิทใจหรือไม่
“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ” ร้อยเอกหนุ่มตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ผมเชื่อว่าผู้กองจะเป็นนักดักฟังที่ดี
ไปเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอทำให้ผู้กองหนุ่มขบกรามแน่น
“ครับ” ร้อยเอกพิชยุทธเอื้อมมือไปหยิบเอกสารบนโต๊ะแล้วชิดเท้าทำความเคารพก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
“อ้อ..เดี๋ยวก่อนผู้กอง” ร้อยเอกหนุ่มชะงักก่อนจะหันกลับมา
“ฝากความคิดถึงๆ
หลวงปราบด้วยนะหวังว่าท่านคงสบายดี”
“ครับท่านสบายดีแล้วผมจะเรียนให้คุณพ่อทราบ”
ร้อยเอกพิชยุทธชิดเท้าอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง
เสียงพื้นรองเท้าบู้ทกระทบพื้นไม้ของอาคารดังเป็นจังหวะเดียวกับปลายนิ้วจากสองมือของพันเอกฤทธิรงค์ที่แตะเข้าหากัน มันเป็นบุคลิกประจำของนายทหารใหญ่เมื่อกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างจริงจัง
“ทหาร...”
หลวงฤทธิรงค์เปล่งเสียงดังเรียกพลทหารหน้าห้องไม่ถึงอึดใจพลทหารคนนั้นจึงรีบสืบเท้าเข้ามา
“ไปตามผู้หมวดนันทภักดิ์มาพบผมเดี๋ยวนี้”
“ครับผม”
///////////////////////
แม้ร้านรวงในพระนครจะเงียบเหงาแต่มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น หลังร้าน
หลังบ้านและในที่ลับตาหลายแห่งเต็มไปด้วยเสียงกระซิบของผู้คน
พวกเขากระซิบเพื่อให้มีชีวิตรอดกับอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นเดียวกับความกังวลที่กำลังก่อตัวเป็นความหวาดผวา ทุกคนรับรู้ได้ว่าเงื้อมมือของสงครามกำลังเอื้อมมาเคาะประตูบ้าน
วิทยุของกรมโฆษณาการโหมประกาศเตือนประชาชนถี่กระชั้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ผลของการลงนามที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปได้เปลี่ยนฐานะของประเทศญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกระจายเสียงไปทั่วประเทศ
เสียงเพลงปลุกใจถูกเปิดกรอกหูประชาชนตลอดวันพร้อมข้อความเตือนให้ทุกคนอยู่ในความสงบไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่นไม่ว่ากรณีใดๆ
มิเช่นนั้นแล้วอาจมีโทษถึงประหารชีวิต
ความสับสน
หวาดกลัวหรือแม้แต่ความชิงชังกลายเป็นภาพซ้อนอยู่ในความคิดของผู้คน
พวกเขารู้แต่เพียงว่าความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นมาพร้อมอาคันตุกะที่รัฐบาลเรียกว่ามหามิตร
ร้อยเอกพิชยุทธทิ้งตัวลงนอนบนเตียงได้เพียงครู่มือขวาของเขาก็เลื่อนมาก่ายที่หน้าผากอย่างไม่รู้ตัว
สายตาคมคู่นั้นเพ่งมองพัดลมที่พัดอยู่บนเพดาน ความคิดของนายทหารหนุ่มเลื่อนลอยไปเนิ่นนานก่อนจะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“สวัสดีครับผมร้อยเอกพิชยุทธรับสายครับ” เสียงรับสายของร้อยเอกหนุ่มทะมัดทะแมงตามแบบทหาร
“นี่แม่เองสบายดีนะลูก”
เสียงหวานจากปลายสายเรียกยิ้มของผู้กองหนุ่มขึ้นทันที
“คุณแม่ ดีใจที่สุดเลยครับที่คุณแม่โทรมา” เสียงผู้กองหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นอีกคน
“คิดถึงผู้กองของแม่จะแย่อยู่แล้ว งานทางโน้นเป็นยังไงบ้างได้ข่าวว่าท่านผู้นำลงนามกับรัฐบาลญี่ปุ่นไปเมื่อวาน” คุณโฉมถามเรื่องสำคัญกับลูกชายทันที
“ครับแม่ ทหารทุกหน่วยถูกสั่งให้เตรียมพร้อม
ผมเองก็ได้รับมอบหมายให้เตรียมจัดตั้งศูนย์วิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น”
ผู้กองหนุ่มตอบปลายสายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มไม่เหลือลายทหาร
“งั้นเหรอลูก รักษาตัวให้ดีนะ” คุณโฉมเป็นห่วงลูกชายขึ้นมาในทันที
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ
คุณแม่โทรมามีธุระสำคัญหรือเปล่า”
ร้อยตรีหนุ่มถาม
“คุณพ่อสบายดีจ๊ะ
ที่แม่โทรมานี่จะถามลูกว่าพรุ่งนี้พอจะปลีกตัวมาทานข้าวเย็นที่บ้านได้มั๊ยเป็นวันสำคัญนะจำได้หรือเปล่า” คุณโฉมถามลูกชาย
“จริงสินะผมลืมไปได้ยังไง
พรุ่งนี้ครบรอบวันแต่งงานคุณพ่อกับคุณแม่นี่ครับ” น้ำเสียงของร้อยเอกหนุ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ลูกคงงานเยอะถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก
แม่ถามดูเห็นคุณพ่อเปรยๆ ว่าถ้าลูกมาก็อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อย” ผู้เป็นแม่รู้จุดอ่อนของลูกชายร้อยเอกหนุ่มย่อมรู้ว่าธุระของผู้เป็นพ่อย่อมสำคัญเสมอ
“ได้สิครับคุณแม่
ผมก็อยากคุยกับคุณพ่ออยู่เหมือนกันมีเรื่องอยากปรึกษาท่านนิดหน่อย
ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะไปนะครับแต่อาจจะเย็นสักหน่อย” ผู้กองหนุ่มยืนยัน
“ดีจังคุณพ่อคงดีใจ เดินทางระมัดระวังด้วยนะลูก”
“ครับคุณแม่ผมจะไปกับจ่าเมฆ”
ผู้กองหนุ่มวางสายพร้อมกับวางความครุ่นเครียดเมื่อครู่ลงไปไม่น้อยก่อนจะยกหูโทรศัพย์ขึ้นอีกครั้งแล้วโทรไปหาใครคนหนึ่ง
“จ่าเมฆ
พรุ่งนี้เช้าไปตรวจเครื่องเรือให้ผมหน่อยนะตอนเย็นผมจะกลับปทุมธานี”
ร้อยเอกพิชยุทธวางสายแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง แม้ความเคร่งเครียดจะเบาบางลงไปแล้ว
แต่ความคิดคำนึงของนายทหารหนุ่มยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม เรื่องที่ถูกระบุไว้ในเอกสารที่พันเอกฤทธิรงค์มอบให้
เขาคิดไม่ตกว่าทำไมสายการบังคับบัญชาของศูนย์วิทยุร่วมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจึงถูกตัดตอนจากพันเอกฤทธิรงค์ไปถึงท่านผู้นำโดยตรง
“งานสำคัญขนาดนี้ระดับผู้บัญชาการทหารบกจะไม่อยู่ในสายบังคับบัญชาได้อย่างไร
?”
นายทหารหนุ่มตั้งคำถามในใจก่อนจะหยิบเอกสารสำคัญชิ้นนั้นกลับมาอ่านเป็นคำรบสอง เขาสะดุดอยู่กับข้อความที่ว่า
“ในกรณีที่มีคำสั่งจากกองบัญชาการใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นในการดักฟังขั้นลับสุดยอด
ไม่อนุญาตให้นายทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอยู่ในปฏิบัติการเว้นแต่พันเองหลวงฤทธิรงค์เท่านั้น”
ร้อยเอกหนุ่มครุ่นคิดถึงข้อความนั้นกว่าครึ่งคืนก่อนที่ไฟบ้านพักนายทหารจะปิดลงเป็นหลังสุดท้ายแม้พระนครจะหลับใหลแต่หลายชีวิกลับลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
ผู้คนครุ่นคิดถึงข่าวลือสงครามใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่กำลังเปลี่ยนสถานะเป็นความจริง หัวข้อพูดคุยตามสภากาแฟยามเช้าวนเวียนอยู่ในหัวและมันกำลังพัฒนาไปสู่คำถามที่ใหญ่กว่าเดิม
“ญี่ปุ่นจะตั้งฐานทัพในบ้านเราเมื่อใหร่?”
“เราจะประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรแน่ๆ ?”
“ทหารไทยจะสู้เขาได้หรือเปล่า ?”
“บางกอกจะโดนระเบิดถล่มมั๊ย ?”
ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาลสำหรับคำถามเหล่านี้
มีแต่ความเคลื่อนไหวบางอย่างที่กำลังปรากฏเค้ารางให้เห็น
‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น