วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563

ดอกไม้ในตะวัน 3


บทที่ 3

วันสำคัญ

           

            เพียงข้ามคืนหลังการลงนามเป็นพันธมิตรสงครามกับรัฐบาลญี่ปุ่น  บรรยากาศทั่วทั้งพระนครเหมือนต้องมนต์สะกด  ผู้คนที่เคยขวักไขว่ในย่านการค้าลดหายลงไปเหมือนถูกเสก  ร้านรวงหลายแห่งปิดประตูลั่นกลอนไม่เปิดทำการค้าขายเหมือนเคย  รถลากรถเจ๊กรวมถึงรถยนต์ที่เคยพลุกพล่านก็พาลหายไปจากท้องถนนเสียไม่น้อย เหลือเพียงลมเอื่อยของเดือนธันวาคมที่ยังคงทำหน้าที่เหมือนทุกเมื่อเชื่อวัน

            ตรงกันข้ามสถานที่ราชการกระทรวงต่างๆ กลับคึกคักและดูวุ่นวายมากขึ้น  โดยเฉพาะหน่วยทหารเกือบทุกแห่งมีรถทหารวิ่งเข้าออกต่อเนื่องไม่ขาด  แน่นอนว่าต้องมีรถของกองทหารญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยอย่างผิดหูผิดตา จะเรียกได้ว่าพระนครกลายเป็นเมืองทหารไปแล้วคงไม่ผิดนัก !!

            “ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องทำงานของพันเอกหลวงฤทธิรงค์

            “เข้ามาได้” เจ้าของห้องเอ่ยด้วยเสียงอันดัง

ผู้ได้รับอนุญาตสืบเท้าเข้ามาในห้องแล้วหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา  ร้อยเอกหนุ่มในร่างสูงสง่าชิดเท้าทำความเคารพ  แววตาคมเป็นประกายของเขามองไปยังพันเอกหลวงฤทธิรงค์ที่กำลังหมุนตัวกลับมาจากการหยิบเอกสารด้านหลัง

            “นั่งสิผู้กอง” หลวงฤทธิรงค์กล่าวขึ้นโดยไม่เงยหน้าจากเอกสารในมือแล้วนั่งลงตรงหน้าร้อยเอกหนุ่ม

            “ผู้กองทราบเรื่องเมื่อวานนี้แล้วใช่มั๊ย” นายทหารใหญ่ถามคำถามแรก

            “ครับผม”  ร้อยเอกหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม

            “แต่คงยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหน่วยของเราบ้าง”  นายทหารใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  คิ้วดกหนาของเขารับกับโครงหน้าที่มีสันเหลี่ยมของโหนกแก้มกลายเป็นจุดเด่นแรกที่ใครๆต้องเห็นพร้อมกับริ้วหนวดดกดำที่ส่งให้แววตาคู่นั้นดูดุดันเสมอเมื่อต้องสนทนาด้วยเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจัง

            “ครับ แต่พอเข้าใจได้ว่าคงเป็นงานสำคัญ”  ร้อยเอกหนุ่มตอบด้วยใบหน้าและท่าทีเรียบเฉย

            “ใช่ มันเป็นงานสำคัญมาก”   หลวงฤทธิรงค์ว่าพลางมองเข้าไปในแววตาคมของผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนพยายามจะมองให้เห็นใครอีกคน

            “เราต้องตั้งศูนย์วิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น”   สิ้นเสียงนายทหารใหญ่ทิ้งเวลาชั่วอึดใจเหมือนจะรอให้ร้อยเอกหนุ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างตอบกลับมา

            “เป็นงานสำคัญจริงๆ แต่ผมมีคำถามครับ”  ร้อยเอกหนุ่มถาม

หลวงฤทธิรงค์ไม่แปลกใจแต่อย่างใด  เพราะร้อยเอกพิชยุทธไม่ใช่นายทหารที่ครับผมเพียงอย่างเดียวผิดจากผู้ใต้บังคับบัญชาโดยทั่วไป  อัตตลักษณ์นี้ทำให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนหวนคิดถึงหลวงปราบเมื่อครั้งรับราชการเสมอ   วันนี้ร้อยเอกพิชยุทธลูกชายคนเดียวถอดแบบความเป็นบุรินนรเศรษฐมาจากผู้เป็นบิดามาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

แต่ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาท่าทีแบบนี้ดูเหมือนไม่ใคร่ทำให้หลวงฤทธิรงค์พึงพอใจนัก

            “เชิญเลยผู้กอง”  หลวงฤทธิรงค์อนุญาตพร้อมหลิ่วตาอย่างมีนัย

            “ท่านใช้คำว่าศูนย์วิทยุร่วมแต่เส้นแบ่งระหว่างการเป็นศูนย์ร่วมกับการควบคุมบังคับบัญชาอยู่ตรงไหนครับ”  ความเงียบเข้ามาแทรกกลางคนทั้งสอง  หลวงฤทธิรงค์ยกปลายนิ้วของทั้งสองมือแตะเข้าหากันด้วยจังหวะเนิบช้า

            “เป็นคำถามที่ดีมากผู้กอง”  นายทหารใหญ่เปรยพร้อมชำเลืองตามมอง  เขาลุกขึ้นยืนพร้อมโยนซองเอกสารแฟ้มใหญ่ไว้ตรงหน้าร้อยเอกหนุ่มก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าก้าวออกมาจากโต๊ะ  ร้อยเอกพิชยุทธรีบลุกขึ้นยืนชิดเท้าตามวินัยทหารในขณะที่ผู้บังคับบัญชาเดินไปมา

            “ศูนย์นี้มีผมเป็นผู้รับผิดชอบ  มีผู้กองเป็นหัวหน้าชุดวิทยุ  ทางฝ่ายญี่ปุ่นมีร้อยเอกฮิเดมุระเป็นหัวหน้าทีมมีผู้ช่วยเป็นร้อยตรีคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่วิทยุของเขาอีกสี่นาย ทั้งสองทีมนี้ต้องทำงานร่วมกัน  การตัดสินใจภายในศูนย์เป็นสิทธิขาดของผม  แต่มีเงื่อนไขที่ผมต้องรับทราบคำสั่งจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านร้อยเอกฮิเดมุระอยู่สามสี่เรื่องตามเอกสารนั่น  แต่เรื่องอื่นๆรับคำสั่งและรายงานโดยตรงกับท่านผู้นำของเรา  ผู้กองคิดว่ามันเป็นความร่วมมือหรือการควบคุมล่ะ”

            “เป็นความร่วมมือที่ถูกควบคุมแต่ไม่มีทางเลือกครับ”  ร้อยเอกหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ

“ดีแล้วผู้กองที่เข้าใจแบบนั้น  ในสถานการณ์อย่างนี้เรามีทางเลือกเลือกอยู่สักเท่าไหร่กัน”  นายทหารใหญ่มองเข้าไปนัยน์ตาของร้อยเอกหนุ่มพร้อมเผยอยิ้มมุมปากก่อนจะเดินกลับไปนั่ง

            “เป้าหมายและภารกิจของศูนย์นี้คงไม่ผิดไปจากที่ผมคาดการณ์”  ร้อยเอกหนุ่มเปรย

            “เป้าหมายและภารกิจนะเหรอ  นายทหารสื่อสารที่ปราดเปรื่องอย่างผู้กองต้องคาดไม่ผิดหรอก  แน่นอนญี่ปุ่นต้องการงานข่าวและการดังฟังความเคลื่อนไหวของกองกำลังสัมพันธมิตรในเขตนี้ทั้งหมด ผมคิดว่าผู้กองน่าจะพอใจนะเพราะจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อีกไม่น้อยเลย”  หลวงฤทธิรงค์มองหน้าผู้กองหนุ่มนิ่ง

            “เราคงเป็นสะพานที่ดีสำหรับเขา”  ร้อยเอกหนุ่มพูดขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม

            “มองอีกแง่หนึ่งก็ได้นะผู้กอง อย่างน้อยการลงนามเมื่อวานก็ไม่ทำให้ทางญี่ปุ่นหักหาญด้วยการตั้งศูนย์วิทยุของเขาเองในบ้านของเรา”  หลวงฤทธิรงค์แอบชำเลืองมองร้อยเอกหนุ่มก่อนจะพูดต่อ

            “เอาเอกสารนี่ไปศึกษา  ผู้กองมีเวลาเหลืออีกอาทิตย์เดียวทุกอย่างต้องเรียบร้อยเราจะใช้อาคารเรียนของโรงเรียนนายสิบสื่อสารเป็นที่ตั้งศูนย์   พรุ่งนี้ทางญี่ปุ่นและหน่วยทหารช่างของเราจะทยอยขนอุปกรณ์มาติดตั้ง  แล้วผมจะให้ผู้หมวดนันทภักดิ์มาช่วยผู้กองอีกแรง  ผู้กองต้องการใครมาช่วยเป็นพิเศษบ้างแจ้งมาได้”  หลวงฤทธิรงค์เหลือบตาขึ้นมองร้อยเอกหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าก่อนจะเน้นคำสุดท้าย

            “นอกจากทหารในแผนกเราแล้ว ผมขอให้สิบโทวิมลศรีมาช่วยเป็นธุรการเพราะเธอมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้าง”

            “ได้สิไม่มีปัญหา  ยังไงผมก็เชื่อมือผู้กองอยู่แล้ว” น้ำเสียงของนายทหารใหญ่ยากที่จะแปรความหมายว่าชื่นชมโดยสนิทใจหรือไม่

            “ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”  ร้อยเอกหนุ่มตอบชัดถ้อยชัดคำ

            “ผมเชื่อว่าผู้กองจะเป็นนักดักฟังที่ดี ไปเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน  หึหึ”  เสียงหัวเราะในลำคอทำให้ผู้กองหนุ่มขบกรามแน่น

            “ครับ”  ร้อยเอกพิชยุทธเอื้อมมือไปหยิบเอกสารบนโต๊ะแล้วชิดเท้าทำความเคารพก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

            “อ้อ..เดี๋ยวก่อนผู้กอง”  ร้อยเอกหนุ่มชะงักก่อนจะหันกลับมา

            “ฝากความคิดถึงๆ หลวงปราบด้วยนะหวังว่าท่านคงสบายดี”

            “ครับท่านสบายดีแล้วผมจะเรียนให้คุณพ่อทราบ”  ร้อยเอกพิชยุทธชิดเท้าอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง  เสียงพื้นรองเท้าบู้ทกระทบพื้นไม้ของอาคารดังเป็นจังหวะเดียวกับปลายนิ้วจากสองมือของพันเอกฤทธิรงค์ที่แตะเข้าหากัน  มันเป็นบุคลิกประจำของนายทหารใหญ่เมื่อกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างจริงจัง

            “ทหาร...”  หลวงฤทธิรงค์เปล่งเสียงดังเรียกพลทหารหน้าห้องไม่ถึงอึดใจพลทหารคนนั้นจึงรีบสืบเท้าเข้ามา

            “ไปตามผู้หมวดนันทภักดิ์มาพบผมเดี๋ยวนี้” 

            “ครับผม”



///////////////////////



แม้ร้านรวงในพระนครจะเงียบเหงาแต่มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น  หลังร้าน หลังบ้านและในที่ลับตาหลายแห่งเต็มไปด้วยเสียงกระซิบของผู้คน  พวกเขากระซิบเพื่อให้มีชีวิตรอดกับอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นเดียวกับความกังวลที่กำลังก่อตัวเป็นความหวาดผวา  ทุกคนรับรู้ได้ว่าเงื้อมมือของสงครามกำลังเอื้อมมาเคาะประตูบ้าน

            วิทยุของกรมโฆษณาการโหมประกาศเตือนประชาชนถี่กระชั้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน   ผลของการลงนามที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปได้เปลี่ยนฐานะของประเทศญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกระจายเสียงไปทั่วประเทศ เสียงเพลงปลุกใจถูกเปิดกรอกหูประชาชนตลอดวันพร้อมข้อความเตือนให้ทุกคนอยู่ในความสงบไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่นไม่ว่ากรณีใดๆ มิเช่นนั้นแล้วอาจมีโทษถึงประหารชีวิต

            ความสับสน หวาดกลัวหรือแม้แต่ความชิงชังกลายเป็นภาพซ้อนอยู่ในความคิดของผู้คน พวกเขารู้แต่เพียงว่าความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นมาพร้อมอาคันตุกะที่รัฐบาลเรียกว่ามหามิตร

ร้อยเอกพิชยุทธทิ้งตัวลงนอนบนเตียงได้เพียงครู่มือขวาของเขาก็เลื่อนมาก่ายที่หน้าผากอย่างไม่รู้ตัว  สายตาคมคู่นั้นเพ่งมองพัดลมที่พัดอยู่บนเพดาน  ความคิดของนายทหารหนุ่มเลื่อนลอยไปเนิ่นนานก่อนจะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

            “สวัสดีครับผมร้อยเอกพิชยุทธรับสายครับ”  เสียงรับสายของร้อยเอกหนุ่มทะมัดทะแมงตามแบบทหาร

            “นี่แม่เองสบายดีนะลูก”  เสียงหวานจากปลายสายเรียกยิ้มของผู้กองหนุ่มขึ้นทันที

            “คุณแม่  ดีใจที่สุดเลยครับที่คุณแม่โทรมา”  เสียงผู้กองหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นอีกคน

            “คิดถึงผู้กองของแม่จะแย่อยู่แล้ว  งานทางโน้นเป็นยังไงบ้างได้ข่าวว่าท่านผู้นำลงนามกับรัฐบาลญี่ปุ่นไปเมื่อวาน”  คุณโฉมถามเรื่องสำคัญกับลูกชายทันที

            “ครับแม่  ทหารทุกหน่วยถูกสั่งให้เตรียมพร้อม ผมเองก็ได้รับมอบหมายให้เตรียมจัดตั้งศูนย์วิทยุร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น”  ผู้กองหนุ่มตอบปลายสายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มไม่เหลือลายทหาร

            “งั้นเหรอลูก รักษาตัวให้ดีนะ”  คุณโฉมเป็นห่วงลูกชายขึ้นมาในทันที

            “คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่โทรมามีธุระสำคัญหรือเปล่า”  ร้อยตรีหนุ่มถาม

            “คุณพ่อสบายดีจ๊ะ ที่แม่โทรมานี่จะถามลูกว่าพรุ่งนี้พอจะปลีกตัวมาทานข้าวเย็นที่บ้านได้มั๊ยเป็นวันสำคัญนะจำได้หรือเปล่า”  คุณโฉมถามลูกชาย

            “จริงสินะผมลืมไปได้ยังไง  พรุ่งนี้ครบรอบวันแต่งงานคุณพ่อกับคุณแม่นี่ครับ”  น้ำเสียงของร้อยเอกหนุ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย

            “ลูกคงงานเยอะถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก แม่ถามดูเห็นคุณพ่อเปรยๆ ว่าถ้าลูกมาก็อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อย”  ผู้เป็นแม่รู้จุดอ่อนของลูกชายร้อยเอกหนุ่มย่อมรู้ว่าธุระของผู้เป็นพ่อย่อมสำคัญเสมอ

            “ได้สิครับคุณแม่ ผมก็อยากคุยกับคุณพ่ออยู่เหมือนกันมีเรื่องอยากปรึกษาท่านนิดหน่อย ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะไปนะครับแต่อาจจะเย็นสักหน่อย”  ผู้กองหนุ่มยืนยัน

            “ดีจังคุณพ่อคงดีใจ  เดินทางระมัดระวังด้วยนะลูก” 

            “ครับคุณแม่ผมจะไปกับจ่าเมฆ”  ผู้กองหนุ่มวางสายพร้อมกับวางความครุ่นเครียดเมื่อครู่ลงไปไม่น้อยก่อนจะยกหูโทรศัพย์ขึ้นอีกครั้งแล้วโทรไปหาใครคนหนึ่ง

            “จ่าเมฆ พรุ่งนี้เช้าไปตรวจเครื่องเรือให้ผมหน่อยนะตอนเย็นผมจะกลับปทุมธานี” 

ร้อยเอกพิชยุทธวางสายแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง  แม้ความเคร่งเครียดจะเบาบางลงไปแล้ว  แต่ความคิดคำนึงของนายทหารหนุ่มยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม  เรื่องที่ถูกระบุไว้ในเอกสารที่พันเอกฤทธิรงค์มอบให้  เขาคิดไม่ตกว่าทำไมสายการบังคับบัญชาของศูนย์วิทยุร่วมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจึงถูกตัดตอนจากพันเอกฤทธิรงค์ไปถึงท่านผู้นำโดยตรง

“งานสำคัญขนาดนี้ระดับผู้บัญชาการทหารบกจะไม่อยู่ในสายบังคับบัญชาได้อย่างไร ?”

นายทหารหนุ่มตั้งคำถามในใจก่อนจะหยิบเอกสารสำคัญชิ้นนั้นกลับมาอ่านเป็นคำรบสอง  เขาสะดุดอยู่กับข้อความที่ว่า  “ในกรณีที่มีคำสั่งจากกองบัญชาการใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นในการดักฟังขั้นลับสุดยอด  ไม่อนุญาตให้นายทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอยู่ในปฏิบัติการเว้นแต่พันเองหลวงฤทธิรงค์เท่านั้น”

ร้อยเอกหนุ่มครุ่นคิดถึงข้อความนั้นกว่าครึ่งคืนก่อนที่ไฟบ้านพักนายทหารจะปิดลงเป็นหลังสุดท้ายแม้พระนครจะหลับใหลแต่หลายชีวิกลับลืมตาโพลงอยู่ในความมืด  ผู้คนครุ่นคิดถึงข่าวลือสงครามใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่กำลังเปลี่ยนสถานะเป็นความจริง  หัวข้อพูดคุยตามสภากาแฟยามเช้าวนเวียนอยู่ในหัวและมันกำลังพัฒนาไปสู่คำถามที่ใหญ่กว่าเดิม      

“ญี่ปุ่นจะตั้งฐานทัพในบ้านเราเมื่อใหร่?”

“เราจะประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรแน่ๆ ?”

“ทหารไทยจะสู้เขาได้หรือเปล่า ?”

“บางกอกจะโดนระเบิดถล่มมั๊ย ?”

ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาลสำหรับคำถามเหล่านี้  มีแต่ความเคลื่อนไหวบางอย่างที่กำลังปรากฏเค้ารางให้เห็น 



‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น