วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

ดอกไม้ในตะวัน บทที่ 2


บทที่ 2

สัมพันธ์แห่งวันเวลา



                                    “ฝากรักเอาไว้ในเพลงสักคำ  ขอให้เธอจดจำเอาไว้

เพื่อจะได้คอยเตือน หัวใจ ฮืม..ฮืม  ว่าเราเคย ได้รักกัน.....     

เสียงเพลงแว่วลอยมาจากวิทยุบนเรือโยงที่กำลังล่องลงพระนคร   เสียงหวานของนักร้องหญิงคนนั้นขับกล่อมไปทั่วท้องน้ำเจ้าพระยา  แม่น้ำช่วงนี้เป็นโค้งน้ำใหญ่ก่อนถึงเมืองปทุมธานี  แนวไม้เขียวขจีสองฝั่งขนาบแม่น้ำทั้งสายเอาไว้เหมือนเข็มขัดธรรมชาติ   ท่าน้ำและบ้านเรือนผู้คนห่างกันเกินพุ่มไม้บัง  มีเพียงแผ่นฟ้า สายน้ำและแมกไม้เท่านั้นที่ครอบครองพื้นที่แถบนี้ไว้  ทุกสรรพเสียงจากกลางแม่น้ำจึงดังแทรกผ่านผิวลมและความเงียบมาถึงสองฝั่งได้อย่างชัดเจน 

ความหมายของบทเพลงสะกดให้ชายสูงวัยยืนนิ่งฟังอยู่ที่ศาลาสีเทาริมน้ำ

            “เพลงเพราะมากนะค่ะคุณหลวง”   เสียงทักอันอ่อนหวานจากด้านหลังทำให้เขาต้องรีบหันกลับไป

            “ใช่ เพลงเพราะมาก เพื่อนจากพระนครส่งแผ่นครั่งมาให้แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดฟังสักที  มาได้ยินจากเรือโยงนี่เป็นครั้งแรกคุณโฉมนั่งฟังเพลงกับฉันให้จบก่อนสิ”  หลวงปราบประคองคุณโฉมให้นั่งลงที่ม้ายาวตรงหน้า  ทั้งสองนิ่งฟังเสียงเพลงที่ลอยมากับลมแดดกลางแม่น้ำ  สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปที่ขบวนเรือโยงที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ความเงียบที่แทรกกลับเข้ามาเมื่อสิ้นเสียงเพลงเหมือนทำให้หลวงปราบนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

            “อ้าวคุณโฉม  ไหนว่าจะไปตลาดไม่ใช่รึ”  หลวงปราบหันมาถามคุณโฉมผู้เป็นภรรยา

            “แต่แรกก็คิดว่าจะไปนั่นแหละค่ะแต่บังเอิญไปได้ยินข่าวจากวิทยุเมื่อครู่เสียก่อนก็เลยคิดว่าอยากจะแวะมาบอกให้คุณหลวงทราบยังไงเสียก็คิดว่าคุณหลวงต้องสนใจเป็นแน่”  คุณโฉมตอบพลางสบตาหลวงปราบ

            “ข่าวอะไรรึ ถ้าข่าวจากทางการล่ะก็อย่าลืมนะว่าฉันไม่ได้รับราชการแล้ว”  หลวงปราบหรือคุณหลวงที่ใครๆ เรียกจนติดปากกล่าวพลางยกมือทั้งสองขึ้นจับไหล่ของภรรยาเบาๆ แล้วเพ่งมองไปที่นัยน์ตาคู่หวานตรงหน้า

            “ท่านผู้นำลงนามเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลญี่ปุ่นแล้วนะค่ะ” คุณโฉมกล่าวพลางจ้องมองหลวงปราบผู้เป็นสามีเหมือนจะจับดูท่าทีบางอย่าง

            “เมื่อไหร่ !”  หลวงปราบถามด้วยน้ำเสียงตระหนกเล็กน้อยแต่ไม่วายที่จะซ่อนอาการเอาไว้

            “ไหนพูดทำนองว่าไม่สนใจ”  คุณโฉมว่าพลางเหลือบมองแววตาวิตกของผู้เป็นสามี

            “แต่เรื่องนี้มัน  มัน...”  หลวงปราบอึกอักก่อนจะเอ่ยต่อ 

“มันสำคัญมากนะคุณโฉม”

            “ฉันรู้ค่ะถึงได้เดินมาบอกคุณหลวงนี่ไง”  คุณโฉมยื่นมือไปจับแขนคุณหลวงก่อนจะเน้นประโยคสำคัญ  “แต่ก็แค่มาบอกให้รู้เท่านั้นนะค่ะไม่อยากให้คุณหลวงต้องเป็นกังวล ก็คุณหลวงเพิ่งบอกเมื่อกี้เองไม่ใช่เหรอค่ะว่าไม่ได้รับราชการแล้ว” น้ำเสียงคุณโฉมมีนัยกระเซ้า

            “ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ  ฉันมันก็แค่ทหารนอกราชการแก่ๆ คนนึง”  หลวงปราบเปรยขึ้นก่อนจะหันไปหามองไปทางเรือโยงที่ล่องห่างออกไปทุกทีก่อนจะกลับมาพูดกับภรรยา  “ชีวิตฉันตอนนี้ก็เหมือนเรือโยงที่เห็นนั่น  ขอทำหน้าที่ลากจูงสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตจนกว่าจะปลดระวาง”  อดีตนายทหารใหญ่แห่งกองทัพบกมองหน้าศรีภรรยานิ่งก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทีจริงจัง

            “และที่สำคัญที่สุด  ฉันไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณโฉมหรอก”  หลวงปราบว่าพลางยกมือขึ้นโอบไหล่ภรรยาแล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยน

            “ห่วงก็แต่.....”  น้ำเสียงของอดีตนายทหารใหญ่เริ่มเป็นกังวลก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “ห่วงอะไรหรือค่ะ”  สีหน้าผู้เป็นภรรยาดูเป็นกังวลตามกัน

            “ก็ห่วงแต่ผู้กองของเรานั่นแหละ  ในสถานการณ์อย่างนี้เขาคงต้องระมัดระวังในการวางตัวมากขึ้นเพราะระดับผู้ใหญ่เริ่มเปิดศึกหลายด้าน”  แววตากังวลของอดีตนายทหารใหญ่ส่งผ่านไปถึงผู้เป็นภรรยา

            ผู้กองที่หลวงปราบกล่าวถึงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากร้อยเอกพิชยุทธ์  บุรินทร์นรเศรษฐ์ นายทหารหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีบุตรชายคนเดียวของทั้งสอง  นับแต่พันโทหลวงปราบพิเชนทร์  บุรินทร์นรเศรษฐ์ ลาออกจากราชการทหารบกมาเกือบสิบปีหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดชอันลือลั่นเขาก็ไม่ได้กลับไปข้องแวะกับแวดวงราชการหรือการเมืองอีกเลย  เหตุการณ์ครั้งนั้นฝ่ายของพระองค์เจ้าบวรเดชพ่ายแพ้ภายหลังการปะทะอย่างดุเดือดกับทหารฝ่ายรัฐบาล  นายทหารคนสำคัญอย่างพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิต   ส่วนที่เหลืออีกนับร้อยคนถูกจับกุมส่งขึ้นศาลพิเศษก่อนจะถูกคุมขังไว้ที่เรือนจำบางขวาง พระองค์เจ้าบวรเดชหัวหน้าคณะผู้ก่อการและพระชายาต้องเสด็จลี้ภัยไปประเทศเวียดนามตั้งแต่นั้นและยังไม่สามารถนิวัติกลับแผ่นดินแม่ได้

ขณะนั้นหลวงปราบครองยศพันตรีประจำกองทัพบกได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้จัดชุดทหารจากกองบังคับการทหารช่างและสื่อสารไปสบทบกับกองกำลังแถวหน้าที่สถานีรถไฟโคกกระเทียมและปากช่อง   เนื่องจากพระองค์เจ้าบวรเดชได้ใช้กำลังทหารจากหัวเมืองหลายส่วนทั้งนครราชสีมา อุบลราชธานี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี  รัฐบาลต้องการข่าวเพื่อสกัดกั้นการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายก่อการจึงจำเป็นต้องสอดแนมความเคลื่อนไหวทางวิทยุ 

หลวงปราบเป็นอดีตนักเรียนนายทหารสื่อสารจากประเทศอังกฤษคือนายทหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้  แต่ความเชี่ยวชาญในงานทหารด้านทหารของเขากลับชักพาไปสู่สถานการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต  บาดแผลของความรู้สึกจากเหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเก็บไว้ในใจเขาอย่างเงียบเชียบ  แม้ว่านายทหารหลายนายที่นำกำลังเข้าปราบปรามคณะของพระองค์เจ้าบวรเดชในครั้งนั้นรวมทั้งหลวงปราบจะได้รับการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า   แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหตุการณ์ที่นำพาให้เขาต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของมิตรที่เป็นศัตรูและศัตรูที่เป็นมิตร 

เหนืออื่นใดมันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตการรับราชการทหารของเขาในไม่กี่เดือนถัดจากนั้น แม้ว่าเขาจะได้เลื่อนยศเป็นพันโทสังกัดกรมจเรทหารบกในขณะที่พิชยุทธ์บุตรชายคนเดียวของเขากำลังศึกษาหลักสูตรนายทหารสื่อสารอยู่ที่ประเทศเยอรมัน เมื่อความขัดแย้งมาถึงจุดสูงสุดนายทหารใหญ่อดีตแนวร่วมของคณะราษฎรผู้มีอนาคตแววโรจน์จึงตัดสินใจลาออกจากราชการพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ให้กับภรรยาว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกอย่างเด็ดขาด  ความใฝ่ฝันที่จะได้รับราชการทหารร่วมกับบุตรชายจึงยุติลงตั้งแต่วันนั้น  มีเพียงหลวงปราบกับคุณโฉมเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุของการตัดสินใจครั้งสำคัญในวันนั้น

นอกจากคุณโฉมแล้วคงไม่มีใครที่จะทำให้นายทหารผู้ทระนงอย่างหลวงปราบลาออกจากราชการได้  เธอคือคนที่เขารักยิ่งชีวิต  ครั้งนั้นผู้หญิงคนนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตและอนาคตของเขาไว้  คำสัญญาภายหลังเหตุการณ์อันไม่อาจลืมจึงมีความสำคัญเหนืออื่นใด

“ฉันก็ห่วงตายุทธ์ไม่แพ้คุณหลวงเหมือนกัน  แต่ที่ผ่านมาทุกอย่างก็เรียบร้อยดีไม่ใช่หรือค่ะ ฉันคิดว่าผู้ใหญ่ในกองทัพคงไม่รังเกียจเดียดฉันท์ลูกชายเรากระมัง”  คุณโฉมพูดปลอบใจผู้เป็นสามีและตัวเองไปพร้อมกัน

“ในกองทัพฉันไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่  แต่ในรัฐบาลฉันไม่แน่ใจ”  หลวงปราบกล่าวพลางถอนหายใจ

“หมายความว่ายังไงค่ะ” คุณโฉมขมวดคิ้ว

“ในกองทัพยังมีรุ่น มีตำแหน่ง มีสายบังคับบัญชา มีกฎระเบียบ มีวินัย มีกฎของลูกผู้ชาย  แต่ในรัฐบาลมันมีแต่การเมือง การเมืองที่เข้ามาควบคุมกองทัพอีกที ทุกอย่างมันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว” หลวงปราบพูดพลางส่ายหน้าก่อนจะหันมามองหน้าคุณโฉมแล้วกล่าวต่อ 

“การเมืองมันมีแต่อำนาจกับผลประโยชน์  ดูแค่ในคณะราษฎรก็แล้วกัน  มันไม่สวยหรูงดงามเหมือนเนื้อหาในเพลงเมื่อครู่หรอกนะคุณโฉม”  อดีตแนวร่วมคนสำคัญของคณะราษฎรว่าพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“แต่ฉันยังเชื่ออยู่ลึกๆ นะค่ะว่าตายุทธ์ต้องไม่มีชะตากรรมที่เลวร้าย  เธอยังเดียงสาเกินไปสำหรับการเมือง”  คุณโฉมโน้มใบหน้าไปแนบไหล่ผู้เป็นสามี

“ฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น”  หลวงปราบเอื้อมมือมาลูบผมยาวสลวยของภรรยา

เรือโยงล่องลับคุ้งน้ำไปแล้วพร้อมกับเสียงเพลงบทนั้น  เหลือเพียงผืนน้ำที่ระยิบระยับจากเปลวแดดและลมเย็นยามบ่ายพัดคลื่นบางๆมากระทบฝั่งเป็นระลอก  สองชีวิตนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำเพื่ออาศัยไอเย็นดับความกังวลบางอย่าง

“ฉันไปตลาดดีกว่าค่ะเดี๋ยวยายแววกับตาฉ่ำจะรอนาน  ป่านนี้คงติดเครื่องรถไว้แล้วกระมัง” คุณโฉมกำลังจะลุกขึ้นแต่หลวงปราบจับมือไว้

“คุณโฉมจะแวะไปที่โรงสีหรือเปล่า”  หลวงปราบถาม

“ไม่ได้แวะหรอกค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะถ้าคุณหลวงสั่งงานค้างไว้ฉันแวะไปดูให้ก็ได้” 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีฉันอยากได้บัญชีสต็อกข้าวที่มีอยู่สักหน่อย  อ้อเรื่องข้าวนี่ฉันก็อยากจะปรึกษาคุณโฉมด้วย”  หลวงปราบว่าพลางลุกขึ้นจับมือทั้งสองข้างของภรรยาไว้

“ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่าห่วงนี่ค่ะ  คุณหลวงเก่งมาก”  คุณโฉมพูดกับสามีอย่างอ่อนโยน  เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานที่สุดในสายตาของเขา

“รัฐบาลลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น  สัญญาณเตือนบางอย่างมันเริ่มขึ้นแล้วโดยเฉพาะเรื่องปากท้อง   ฉันอยากจะบอกคุณโฉมว่าสถานการณ์ข้างหน้าอาจไม่ค่อยดีนัก  อาจเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง  แต่ฉันก็ไม่อยากให้เราเก็บข้าวไว้มากเกินจำเป็น”  สายตาที่เป็นกังวลของหลวงปราบฉายขึ้นอีกครั้ง

“ฉันเข้าใจค่ะคุณหลวงและยินดีที่สุดที่ได้ยินเรื่องนี้จากปากคุณหลวง” คุณส่งโฉมส่งแววตายืนย

“ขอบใจคุณโฉมมากที่เข้าใจฉัน” คุณหลวงเผยยิ้มแล้วโอบกอดภรรยาไว้ก่อนที่เธอจะขอตัวเดินกลับขึ้นไปบนเรือน หลวงปราบยืนมองภรรยาเดินออกไปจนพ้นสายตาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

หลังจากลาออกจากราชการทหารแล้วเขากลับมาช่วยดูแลกิจการโรงสีปทุมธัญพรรณที่ตัวเมืองปทุมธานีซึ่งเป็นกิจการมรดกของครอบครัวคุณโฉม  ทั้งพ่อตาและแม่ยายต่างก็ฝากฝังกับเขาไว้ก่อนเสียชีวิตเพราะคุณโฉมคือบุตรสาวเพียงคนเดียวที่มีของตระกูลวาชน์วานิช 

คุณโฉมหรือ เพ็ญโฉม  วาชน์วานิช แม้จะมีบิดาเป็นชาวจีนโพ้นทะเลแต่คุณแม่ของเธอก็เป็นคนพื้นเพเมืองปทุมธานีเชื้อสายมอญที่เติบโตมากับครอบครอบปี่พาทย์วงใหญ่  ความอ่อนหวานและนุ่มนวลเยือกเย็นจึงถูกถ่ายทอดมาที่เธทุกกระเบียด  ทุกอย่างที่เป็นเธอคือความหลงใหลที่หลวงปราบมีให้

แม้จะผู้บุกเบิกกิจการโรงสีจะสิ้นบุญไปแล้ว  แต่ความที่เป็นอดีตนักเรียนนายทหารจากประเทศอังกฤษหลวงปราบจึงช่วยให้โรงสีของครอบครัวภรรยาเป็นโรงสีไม่กี่แห่งที่สามารถส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศได้ในระดับแถวหน้าโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรปซึ่งตัวเขามีพันธมิตรอยู่ไม่น้อย  วันนี้อดีตนายทหารสื่อสารค่อนชีวิตอย่างหลวงปราบกลายเป็นเสาหลักของกิจการที่ตกทอดมาจากครอบครัวของภรรยา

แม้จะผันตัวมาเป็นพ่อค้าวานิชแต่สิ่งที่หนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือบ้านหลังนี้  หลวงปราบพอใจที่จะสร้างครอบครัวที่บ้านริมน้ำเจ้าพระยาของตระกูลบุรินทร์นรเศรษฐ์   เพราะที่นี่ยังอบอวลไปด้วยบรรยากาศของบ้านนายทหารเก่า  พันเอกพระยาพิชิตชัย  บุรินทร์นรเศรษฐ์  ผู้เป็นบิดาอดีตนายทหารปืนใหญ่ยุคบุกเบิกผู้ล่วงลับคือความภาคภูมิใจที่สุดของเขาเช่นเดียวกับความภูมิใจที่ถูกถ่ายทอดไปในตัวของร้อยเอกพิชยุทธ์ผู้เป็นลูกชายทุกกระเบียดนิ้ว

คุณโฉมลงเรือนไปตลาดแล้วแต่หลวงปราบยังนั่งคิดอะไรบางอย่างต่อที่ศาลาริมน้ำ  ไม่นานนักเขาจึงผุดลุกขึ้นแล้วเดินวนไปมาอยู่ตรงนั้นก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองแล้วเดินกลับขึ้นไปบนเรือนตรงไปที่โต๊ะทำงานแล้วเริ่มเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง !!

ถ้าเป็นที่โรงสีสิ่งที่เขาเขียนอาจเป็นเอกสารการค้าหรือใบสำคัญการซื้อขายข้าวเปลือกหรือข้าวสาร  แต่เขาไม่เคยเก็บเอกสารเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นไว้ที่บ้านหลังนี้แม้แต่ชิ้นเดียว  เนื้อความในจดหมายฉบับนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการค้าขายของโรงสีอย่างแน่นอน 

หลวงปราบใช้สมาธิในการเขียนจดหมายอย่างใจเย็น  บางครั้งเขาหยุดใช้ความคิดอยู่นานก่อนจะบรรจงเขียนต่อด้วยท่าทีสุขุมและระมัดระวัง ก่อนจะสิ้นบรรทัดสุดท้ายหลวงปราบผินหน้าไปที่รูปของพันเอกพระยาพิชิตชัย  บุรินทร์นรเศรษฐ์ผู้เป็นบิดาที่แขวนอยู่บนข้างฝาชั่วครู่  ก่อนจะหันมาจรดปากกาลงชื่อแล้วปิดผนึกจดหมายฉบับนั้นเก็บไว้ในลิ้นชัก

จดหมายเขียนจบไปแล้วแต่ดูเหมือนความคิดของอดีตนายทหารใหญ่ยังคงทำงานต่อไป  หลวงปราบลุกขึ้นเดินไปมาอยู่ในห้องโถงหลายรอบก่อนไปหยุดยืนอยู่หน้าเครื่องเล่นแผ่นครั่งมุมห้อง สอดส่ายสายตาอยู่สักพักจึงดึงแผ่นครั่งออกมาจากซองแล้ววางลงไปบนเครื่องเล่นที่ไขลานรอไว้  บรรจงวางหัวเข็มลงไปบนแผ่นครั่งช้าๆ

บทเพลงฝากรักเอาไว้ในเพลงดังขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เสียงเพลงหวานลอยเคลื่อนออกจากเรือนไม้สีเทาผ่านศาลาลงสู่แม่น้ำอันว่างเปล่าเบื้องหน้า



……………………………

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น