บทที่ 2
สัมพันธ์แห่งวันเวลา
“ฝากรักเอาไว้ในเพลงสักคำ ขอให้เธอจดจำเอาไว้
เพื่อจะได้คอยเตือน หัวใจ
ฮืม..ฮืม ว่าเราเคย ได้รักกัน..... ”
เสียงเพลงแว่วลอยมาจากวิทยุบนเรือโยงที่กำลังล่องลงพระนคร เสียงหวานของนักร้องหญิงคนนั้นขับกล่อมไปทั่วท้องน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำช่วงนี้เป็นโค้งน้ำใหญ่ก่อนถึงเมืองปทุมธานี
แนวไม้เขียวขจีสองฝั่งขนาบแม่น้ำทั้งสายเอาไว้เหมือนเข็มขัดธรรมชาติ ท่าน้ำและบ้านเรือนผู้คนห่างกันเกินพุ่มไม้บัง
มีเพียงแผ่นฟ้า สายน้ำและแมกไม้เท่านั้นที่ครอบครองพื้นที่แถบนี้ไว้ ทุกสรรพเสียงจากกลางแม่น้ำจึงดังแทรกผ่านผิวลมและความเงียบมาถึงสองฝั่งได้อย่างชัดเจน
ความหมายของบทเพลงสะกดให้ชายสูงวัยยืนนิ่งฟังอยู่ที่ศาลาสีเทาริมน้ำ
“เพลงเพราะมากนะค่ะคุณหลวง” เสียงทักอันอ่อนหวานจากด้านหลังทำให้เขาต้องรีบหันกลับไป
“ใช่
เพลงเพราะมาก
เพื่อนจากพระนครส่งแผ่นครั่งมาให้แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดฟังสักที
มาได้ยินจากเรือโยงนี่เป็นครั้งแรกคุณโฉมนั่งฟังเพลงกับฉันให้จบก่อนสิ” หลวงปราบประคองคุณโฉมให้นั่งลงที่ม้ายาวตรงหน้า ทั้งสองนิ่งฟังเสียงเพลงที่ลอยมากับลมแดดกลางแม่น้ำ
สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปที่ขบวนเรือโยงที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
ความเงียบที่แทรกกลับเข้ามาเมื่อสิ้นเสียงเพลงเหมือนทำให้หลวงปราบนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้าวคุณโฉม ไหนว่าจะไปตลาดไม่ใช่รึ” หลวงปราบหันมาถามคุณโฉมผู้เป็นภรรยา
“แต่แรกก็คิดว่าจะไปนั่นแหละค่ะแต่บังเอิญไปได้ยินข่าวจากวิทยุเมื่อครู่เสียก่อนก็เลยคิดว่าอยากจะแวะมาบอกให้คุณหลวงทราบยังไงเสียก็คิดว่าคุณหลวงต้องสนใจเป็นแน่” คุณโฉมตอบพลางสบตาหลวงปราบ
“ข่าวอะไรรึ
ถ้าข่าวจากทางการล่ะก็อย่าลืมนะว่าฉันไม่ได้รับราชการแล้ว” หลวงปราบหรือคุณหลวงที่ใครๆ
เรียกจนติดปากกล่าวพลางยกมือทั้งสองขึ้นจับไหล่ของภรรยาเบาๆ แล้วเพ่งมองไปที่นัยน์ตาคู่หวานตรงหน้า
“ท่านผู้นำลงนามเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลญี่ปุ่นแล้วนะค่ะ”
คุณโฉมกล่าวพลางจ้องมองหลวงปราบผู้เป็นสามีเหมือนจะจับดูท่าทีบางอย่าง
“เมื่อไหร่ !” หลวงปราบถามด้วยน้ำเสียงตระหนกเล็กน้อยแต่ไม่วายที่จะซ่อนอาการเอาไว้
“ไหนพูดทำนองว่าไม่สนใจ” คุณโฉมว่าพลางเหลือบมองแววตาวิตกของผู้เป็นสามี
“แต่เรื่องนี้มัน มัน...”
หลวงปราบอึกอักก่อนจะเอ่ยต่อ
“มันสำคัญมากนะคุณโฉม”
“ฉันรู้ค่ะถึงได้เดินมาบอกคุณหลวงนี่ไง”
คุณโฉมยื่นมือไปจับแขนคุณหลวงก่อนจะเน้นประโยคสำคัญ
“แต่ก็แค่มาบอกให้รู้เท่านั้นนะค่ะไม่อยากให้คุณหลวงต้องเป็นกังวล
ก็คุณหลวงเพิ่งบอกเมื่อกี้เองไม่ใช่เหรอค่ะว่าไม่ได้รับราชการแล้ว”
น้ำเสียงคุณโฉมมีนัยกระเซ้า
“ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ ฉันมันก็แค่ทหารนอกราชการแก่ๆ คนนึง” หลวงปราบเปรยขึ้นก่อนจะหันไปหามองไปทางเรือโยงที่ล่องห่างออกไปทุกทีก่อนจะกลับมาพูดกับภรรยา “ชีวิตฉันตอนนี้ก็เหมือนเรือโยงที่เห็นนั่น
ขอทำหน้าที่ลากจูงสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตจนกว่าจะปลดระวาง”
อดีตนายทหารใหญ่แห่งกองทัพบกมองหน้าศรีภรรยานิ่งก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทีจริงจัง
“และที่สำคัญที่สุด ฉันไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณโฉมหรอก”
หลวงปราบว่าพลางยกมือขึ้นโอบไหล่ภรรยาแล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยน
“ห่วงก็แต่.....”
น้ำเสียงของอดีตนายทหารใหญ่เริ่มเป็นกังวลก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ห่วงอะไรหรือค่ะ” สีหน้าผู้เป็นภรรยาดูเป็นกังวลตามกัน
“ก็ห่วงแต่ผู้กองของเรานั่นแหละ ในสถานการณ์อย่างนี้เขาคงต้องระมัดระวังในการวางตัวมากขึ้นเพราะระดับผู้ใหญ่เริ่มเปิดศึกหลายด้าน”
แววตากังวลของอดีตนายทหารใหญ่ส่งผ่านไปถึงผู้เป็นภรรยา
ผู้กองที่หลวงปราบกล่าวถึงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากร้อยเอกพิชยุทธ์ บุรินทร์นรเศรษฐ์ นายทหารหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีบุตรชายคนเดียวของทั้งสอง นับแต่พันโทหลวงปราบพิเชนทร์ บุรินทร์นรเศรษฐ์
ลาออกจากราชการทหารบกมาเกือบสิบปีหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดชอันลือลั่นเขาก็ไม่ได้กลับไปข้องแวะกับแวดวงราชการหรือการเมืองอีกเลย เหตุการณ์ครั้งนั้นฝ่ายของพระองค์เจ้าบวรเดชพ่ายแพ้ภายหลังการปะทะอย่างดุเดือดกับทหารฝ่ายรัฐบาล
นายทหารคนสำคัญอย่างพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิต
ส่วนที่เหลืออีกนับร้อยคนถูกจับกุมส่งขึ้นศาลพิเศษก่อนจะถูกคุมขังไว้ที่เรือนจำบางขวาง
พระองค์เจ้าบวรเดชหัวหน้าคณะผู้ก่อการและพระชายาต้องเสด็จลี้ภัยไปประเทศเวียดนามตั้งแต่นั้นและยังไม่สามารถนิวัติกลับแผ่นดินแม่ได้
ขณะนั้นหลวงปราบครองยศพันตรีประจำกองทัพบกได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้จัดชุดทหารจากกองบังคับการทหารช่างและสื่อสารไปสบทบกับกองกำลังแถวหน้าที่สถานีรถไฟโคกกระเทียมและปากช่อง เนื่องจากพระองค์เจ้าบวรเดชได้ใช้กำลังทหารจากหัวเมืองหลายส่วนทั้งนครราชสีมา
อุบลราชธานี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี
รัฐบาลต้องการข่าวเพื่อสกัดกั้นการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายก่อการจึงจำเป็นต้องสอดแนมความเคลื่อนไหวทางวิทยุ
หลวงปราบเป็นอดีตนักเรียนนายทหารสื่อสารจากประเทศอังกฤษคือนายทหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้
แต่ความเชี่ยวชาญในงานทหารด้านทหารของเขากลับชักพาไปสู่สถานการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต บาดแผลของความรู้สึกจากเหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเก็บไว้ในใจเขาอย่างเงียบเชียบ
แม้ว่านายทหารหลายนายที่นำกำลังเข้าปราบปรามคณะของพระองค์เจ้าบวรเดชในครั้งนั้นรวมทั้งหลวงปราบจะได้รับการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า
แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหตุการณ์ที่นำพาให้เขาต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของมิตรที่เป็นศัตรูและศัตรูที่เป็นมิตร
เหนืออื่นใดมันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตการรับราชการทหารของเขาในไม่กี่เดือนถัดจากนั้น
แม้ว่าเขาจะได้เลื่อนยศเป็นพันโทสังกัดกรมจเรทหารบกในขณะที่พิชยุทธ์บุตรชายคนเดียวของเขากำลังศึกษาหลักสูตรนายทหารสื่อสารอยู่ที่ประเทศเยอรมัน
เมื่อความขัดแย้งมาถึงจุดสูงสุดนายทหารใหญ่อดีตแนวร่วมของคณะราษฎรผู้มีอนาคตแววโรจน์จึงตัดสินใจลาออกจากราชการพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ให้กับภรรยาว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกอย่างเด็ดขาด
ความใฝ่ฝันที่จะได้รับราชการทหารร่วมกับบุตรชายจึงยุติลงตั้งแต่วันนั้น มีเพียงหลวงปราบกับคุณโฉมเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุของการตัดสินใจครั้งสำคัญในวันนั้น
นอกจากคุณโฉมแล้วคงไม่มีใครที่จะทำให้นายทหารผู้ทระนงอย่างหลวงปราบลาออกจากราชการได้ เธอคือคนที่เขารักยิ่งชีวิต
ครั้งนั้นผู้หญิงคนนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตและอนาคตของเขาไว้
คำสัญญาภายหลังเหตุการณ์อันไม่อาจลืมจึงมีความสำคัญเหนืออื่นใด
“ฉันก็ห่วงตายุทธ์ไม่แพ้คุณหลวงเหมือนกัน
แต่ที่ผ่านมาทุกอย่างก็เรียบร้อยดีไม่ใช่หรือค่ะ
ฉันคิดว่าผู้ใหญ่ในกองทัพคงไม่รังเกียจเดียดฉันท์ลูกชายเรากระมัง” คุณโฉมพูดปลอบใจผู้เป็นสามีและตัวเองไปพร้อมกัน
“ในกองทัพฉันไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ แต่ในรัฐบาลฉันไม่แน่ใจ” หลวงปราบกล่าวพลางถอนหายใจ
“หมายความว่ายังไงค่ะ” คุณโฉมขมวดคิ้ว
“ในกองทัพยังมีรุ่น มีตำแหน่ง มีสายบังคับบัญชา
มีกฎระเบียบ มีวินัย มีกฎของลูกผู้ชาย
แต่ในรัฐบาลมันมีแต่การเมือง การเมืองที่เข้ามาควบคุมกองทัพอีกที
ทุกอย่างมันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว”
หลวงปราบพูดพลางส่ายหน้าก่อนจะหันมามองหน้าคุณโฉมแล้วกล่าวต่อ
“การเมืองมันมีแต่อำนาจกับผลประโยชน์ ดูแค่ในคณะราษฎรก็แล้วกัน มันไม่สวยหรูงดงามเหมือนเนื้อหาในเพลงเมื่อครู่หรอกนะคุณโฉม”
อดีตแนวร่วมคนสำคัญของคณะราษฎรว่าพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“แต่ฉันยังเชื่ออยู่ลึกๆ
นะค่ะว่าตายุทธ์ต้องไม่มีชะตากรรมที่เลวร้าย
เธอยังเดียงสาเกินไปสำหรับการเมือง”
คุณโฉมโน้มใบหน้าไปแนบไหล่ผู้เป็นสามี
“ฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น” หลวงปราบเอื้อมมือมาลูบผมยาวสลวยของภรรยา
เรือโยงล่องลับคุ้งน้ำไปแล้วพร้อมกับเสียงเพลงบทนั้น เหลือเพียงผืนน้ำที่ระยิบระยับจากเปลวแดดและลมเย็นยามบ่ายพัดคลื่นบางๆมากระทบฝั่งเป็นระลอก
สองชีวิตนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำเพื่ออาศัยไอเย็นดับความกังวลบางอย่าง
“ฉันไปตลาดดีกว่าค่ะเดี๋ยวยายแววกับตาฉ่ำจะรอนาน ป่านนี้คงติดเครื่องรถไว้แล้วกระมัง” คุณโฉมกำลังจะลุกขึ้นแต่หลวงปราบจับมือไว้
“คุณโฉมจะแวะไปที่โรงสีหรือเปล่า” หลวงปราบถาม
“ไม่ได้แวะหรอกค่ะ
มีอะไรหรือเปล่าค่ะถ้าคุณหลวงสั่งงานค้างไว้ฉันแวะไปดูให้ก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีฉันอยากได้บัญชีสต็อกข้าวที่มีอยู่สักหน่อย อ้อเรื่องข้าวนี่ฉันก็อยากจะปรึกษาคุณโฉมด้วย”
หลวงปราบว่าพลางลุกขึ้นจับมือทั้งสองข้างของภรรยาไว้
“ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่าห่วงนี่ค่ะ คุณหลวงเก่งมาก” คุณโฉมพูดกับสามีอย่างอ่อนโยน เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานที่สุดในสายตาของเขา
“รัฐบาลลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น สัญญาณเตือนบางอย่างมันเริ่มขึ้นแล้วโดยเฉพาะเรื่องปากท้อง
ฉันอยากจะบอกคุณโฉมว่าสถานการณ์ข้างหน้าอาจไม่ค่อยดีนัก อาจเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง แต่ฉันก็ไม่อยากให้เราเก็บข้าวไว้มากเกินจำเป็น” สายตาที่เป็นกังวลของหลวงปราบฉายขึ้นอีกครั้ง
“ฉันเข้าใจค่ะคุณหลวงและยินดีที่สุดที่ได้ยินเรื่องนี้จากปากคุณหลวง”
คุณส่งโฉมส่งแววตายืนย
“ขอบใจคุณโฉมมากที่เข้าใจฉัน”
คุณหลวงเผยยิ้มแล้วโอบกอดภรรยาไว้ก่อนที่เธอจะขอตัวเดินกลับขึ้นไปบนเรือน หลวงปราบยืนมองภรรยาเดินออกไปจนพ้นสายตาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลังจากลาออกจากราชการทหารแล้วเขากลับมาช่วยดูแลกิจการโรงสีปทุมธัญพรรณที่ตัวเมืองปทุมธานีซึ่งเป็นกิจการมรดกของครอบครัวคุณโฉม
ทั้งพ่อตาและแม่ยายต่างก็ฝากฝังกับเขาไว้ก่อนเสียชีวิตเพราะคุณโฉมคือบุตรสาวเพียงคนเดียวที่มีของตระกูลวาชน์วานิช
คุณโฉมหรือ เพ็ญโฉม วาชน์วานิช
แม้จะมีบิดาเป็นชาวจีนโพ้นทะเลแต่คุณแม่ของเธอก็เป็นคนพื้นเพเมืองปทุมธานีเชื้อสายมอญที่เติบโตมากับครอบครอบปี่พาทย์วงใหญ่
ความอ่อนหวานและนุ่มนวลเยือกเย็นจึงถูกถ่ายทอดมาที่เธทุกกระเบียด ทุกอย่างที่เป็นเธอคือความหลงใหลที่หลวงปราบมีให้
แม้จะผู้บุกเบิกกิจการโรงสีจะสิ้นบุญไปแล้ว
แต่ความที่เป็นอดีตนักเรียนนายทหารจากประเทศอังกฤษหลวงปราบจึงช่วยให้โรงสีของครอบครัวภรรยาเป็นโรงสีไม่กี่แห่งที่สามารถส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศได้ในระดับแถวหน้าโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรปซึ่งตัวเขามีพันธมิตรอยู่ไม่น้อย วันนี้อดีตนายทหารสื่อสารค่อนชีวิตอย่างหลวงปราบกลายเป็นเสาหลักของกิจการที่ตกทอดมาจากครอบครัวของภรรยา
แม้จะผันตัวมาเป็นพ่อค้าวานิชแต่สิ่งที่หนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือบ้านหลังนี้
หลวงปราบพอใจที่จะสร้างครอบครัวที่บ้านริมน้ำเจ้าพระยาของตระกูลบุรินทร์นรเศรษฐ์
เพราะที่นี่ยังอบอวลไปด้วยบรรยากาศของบ้านนายทหารเก่า พันเอกพระยาพิชิตชัย บุรินทร์นรเศรษฐ์
ผู้เป็นบิดาอดีตนายทหารปืนใหญ่ยุคบุกเบิกผู้ล่วงลับคือความภาคภูมิใจที่สุดของเขาเช่นเดียวกับความภูมิใจที่ถูกถ่ายทอดไปในตัวของร้อยเอกพิชยุทธ์ผู้เป็นลูกชายทุกกระเบียดนิ้ว
คุณโฉมลงเรือนไปตลาดแล้วแต่หลวงปราบยังนั่งคิดอะไรบางอย่างต่อที่ศาลาริมน้ำ
ไม่นานนักเขาจึงผุดลุกขึ้นแล้วเดินวนไปมาอยู่ตรงนั้นก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองแล้วเดินกลับขึ้นไปบนเรือนตรงไปที่โต๊ะทำงานแล้วเริ่มเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง
!!
ถ้าเป็นที่โรงสีสิ่งที่เขาเขียนอาจเป็นเอกสารการค้าหรือใบสำคัญการซื้อขายข้าวเปลือกหรือข้าวสาร
แต่เขาไม่เคยเก็บเอกสารเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นไว้ที่บ้านหลังนี้แม้แต่ชิ้นเดียว เนื้อความในจดหมายฉบับนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการค้าขายของโรงสีอย่างแน่นอน
หลวงปราบใช้สมาธิในการเขียนจดหมายอย่างใจเย็น
บางครั้งเขาหยุดใช้ความคิดอยู่นานก่อนจะบรรจงเขียนต่อด้วยท่าทีสุขุมและระมัดระวัง
ก่อนจะสิ้นบรรทัดสุดท้ายหลวงปราบผินหน้าไปที่รูปของพันเอกพระยาพิชิตชัย บุรินทร์นรเศรษฐ์ผู้เป็นบิดาที่แขวนอยู่บนข้างฝาชั่วครู่ ก่อนจะหันมาจรดปากกาลงชื่อแล้วปิดผนึกจดหมายฉบับนั้นเก็บไว้ในลิ้นชัก
จดหมายเขียนจบไปแล้วแต่ดูเหมือนความคิดของอดีตนายทหารใหญ่ยังคงทำงานต่อไป
หลวงปราบลุกขึ้นเดินไปมาอยู่ในห้องโถงหลายรอบก่อนไปหยุดยืนอยู่หน้าเครื่องเล่นแผ่นครั่งมุมห้อง
สอดส่ายสายตาอยู่สักพักจึงดึงแผ่นครั่งออกมาจากซองแล้ววางลงไปบนเครื่องเล่นที่ไขลานรอไว้ บรรจงวางหัวเข็มลงไปบนแผ่นครั่งช้าๆ
บทเพลงฝากรักเอาไว้ในเพลงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงเพลงหวานลอยเคลื่อนออกจากเรือนไม้สีเทาผ่านศาลาลงสู่แม่น้ำอันว่างเปล่าเบื้องหน้า
……………………………
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น