วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 3)

ความแตกต่าง 


ภาพจาก http://www.unicef.org/thailand/protection.html                                จีรวัฒน์  ครองแก้ว


              ถ้าผมจะบันทึกเรื่องราวของการเร่ขายหนังสือเก่าที่ไม่มีใครเคยซื้อในหาดใหญ่อีกมันก็จะซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนั้นอีกนานนับปี 
อย่างน้อยสองปีต่อจากนั้นที่ชีวิตผมกับพวกพี่ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  เรายังคงทำทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เหมือนล้อที่หมุนลอยอยู่เหนือเดิน 
ยังไม่มีใครซื้อหนังสือพวกนั้นเลยสักเล่ม !!
                พ่อกับแม่ไม่เคยปล่อยให้เราทั้งห้าคนคลาดสายตา  ไม่ว่าจะทำอะไรดูเหมือนเราจะต้องถูกจับตาดูอยู่ตลอดเวลา  ก็อย่างที่บอกนั่นแหละผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม  เพราะว่าท่านรักพวกเรามากอย่างนั้นหรือ  นี่แหละคือปัญหาและทำให้ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
                แต่แล้ววันที่เราคลาดสายตาจากพ่อและแม่ก็มาถึง !!
                เช้าวันนั้นหลังจากกินข้าวและล้างจานเสร็จแล้ว  ผมกับพวกพี่ๆ กำลังจะจัดเตรียมอุปกรณ์หากินเหมือนเช่นทุกวัน 
                “ไม่ต้อง  วันนี้พวกเอ็งไม่ต้องออกไป”  
                เสียงพ่อพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะยกกองหนังสือ
                ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจในชีวิตเท่านี้อีกแล้ว  ผมวางกองหนังสือลงเช่นเดียวกับพี่นุช  พี่ส้ม  พี่เปี๊ยกและพี่สร้อย  ทุกคนหยุดภารกิจของตัวเองแล้วหันมาตามเสียงของพ่อเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
                “วันนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องออกไปทำกับแม่  พวกเอ็งห้ามออกไปไหนทั้งนั้นและห้ามไปเล่นกับไอ้เด็กฝั่งโน้นด้วยเข้าใจมั๊ย”  
                 น้ำเสียงพ่อจริงจังกับคำว่าเด็กฝั่งโน้นเหมือนเคย
                “ถ้าข้ากลับมาแล้วไม่เห็นพวกเอ็งอยู่บ้านล่ะก็วันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็น”  
               เสียงแม่สำทับอีกคน
                คำขู่ที่จะไม่ให้กินข้าวเหมือนสายสิญจน์มัดศพ !!
มันคงจะเป็นจริงอย่างนั้นเพราะพวกผมมีชิวิตอยู่ไปได้วันๆ หนึ่งก็เพื่อข้าวสามมื้อจริงๆ  ไม่เคยได้เงินซื้อขนม  ไม่เคยได้กินข้าวตามร้าน  ไม่เคยได้ลิ้มรสกับข้าวอะไรที่มันแตกต่างไปจากปลาทู  ไข่เจียว น้ำพริก  อย่างดีก็อาจจะเป็นเศษอาหารอีสาน  กับแกล้มที่เหลือจากพ่อบ้างเป็นบางมื้อ
แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะระหว่างการได้เลือกกับการได้กินนั้นอย่างไรเสียผมก็ต้องเลือกอย่างหลัง
ผมกับพี่ๆ อดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ยอมปล่อยพวกเราไว้ตามลำพัง  มันทำให้คำว่าธุระสำคัญของพ่อมีความหมายที่อธิบายตัวมันเองได้อย่างดีที่สุด
ผมเดาความรู้สึกของพวกพี่ๆ ทั้งสี่คนได้ในทันที  พวกเขารอเวลาที่พ่อกับแม่จัดเตรียมสิ่งของเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะออกเดินทางในชั่วไม่กี่นาทีข้างหน้าด้วยหัวใจที่ลิงโลดแน่ๆ
ไม่ต่างอะไรกับผมแม้แต่นิดเดียว  !!

@@@@@

                สิ้นเสียงคำรามของรถปุโรทั่งที่ค่อยๆ แผ่วหายออกไปจากหน้าบ้าน  พี่เปี๊ยกคือคนแรกที่ส่งเสียงไชโยแล้วกระโดดตัวลอยเหมือนคนถูกหวย
                “ไปสนามเด็กเล่นกันดีกว่าบอย”  
                พี่เปี๊ยกหันมาชวนผม
                “อย่าไปเลยเราไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน”  
               เสียงพี่นุชท้วงทั้งที่เมื่อก่อนนี้เธอจะเป็นคนแอบพาพวกเราออกไปเล่นตอนพ่อกับแม่หลับด้วยตัวเองด้วยซ้ำ  
วันนี้ท่าทางพี่นุชเหมือนไม่ดีใจอะไรนักที่พ่อกับแม่ปล่อยพวกเราไว้ตามลำพัง  
เธอรอโอกาสนี้เพื่อบอกอะไรบางอย่าง
“ข้ามีอะไรจะบอก”  
เสียงพี่นุชเรียบเย็น
พีนุชนั่งลงกับพื้น  สายตาที่เคยเข้มแข็งวันนี้ดูเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรว้าวุ่นอยู่ในใจ  เธอปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมพวกเราที่มองดูด้วยความระคนสงสัย
“พี่นุชจะบอกอะไร  ข้าไม่เห็นมีอะไรจะบอกนอกจากบอกว่าไปสนามเด็กเล่นกันเถอะ”  
พี่สร้อยเปรยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ  แต่ไม่ทันที่คนอื่นจะออกความเห็น  พี่นุชก็ตัดบทด้วยคำพูดแปลกๆ
“พวกเอ็งคิดว่ามีอะไรผิดปกติมั๊ย ?”  
พี่นุชถามพวกเรา
“อะไรผิดปกติ”  
พี่สร้อยย้อนถามอีกซึ่งเป็นบุคลิกของเธอที่มักพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและไม่มีจังหวะอยู่เสมอ  บางทีผมก็เห็นเธอยืนพูดอยู่คนเดียว  แต่เธอคงไม่บ้าหรอกแม้ว่าพี่เปี๊ยกจะชอบล้อพี่สร้อยบ่อยๆ ว่าติ๊งต๊อง
“ทำไมพวกเราโดนดุโดนตีกันเกือบทุกวัน ?”  
พี่นุชถามพวกเราอีก
ทุกคนพร้อมใจกันส่ายหน้ารวมทั้งผม  คำถามนี้ทำให้ความเงียบกลับเข้ามาครอบคลุมการสนทนาอีกครั้ง  ดูเหมือนทุกคนกำลังนึกย้อนกลับไปตามที่พี่นุชพูด
“พวกเอ็งฟังให้ดีนะ”  
พี่นุชเหลือบมองดูแววตาพวกเราเหมือนต้องการให้แน่ใจอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะทิ้งระยะไว้ชั่วอึดใจ 
“พวกเราไม่ใช่.... "  
พี่นุชหยุดพูดเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ลำคอ
แต่แล้วประโยคสำคัญที่สุดต่อชีวิตของพวกเราก็หลุดออกมาจากปากของเธอ
“พวกเราไม่ใช่ลูกของเขา”  
น้ำตาของพี่นุชร่วงผล็อยเมื่อสิ้นคำสุดท้าย
คราวนี้ความเงียบเข้ามากั้นกลางยาวนานกว่าเดิม  ทุกคนมองไปที่พี่สาวคนโตเหมือนอยากจะให้ยืนยันคำพูดนั้นอีกสักครั้ง  แต่ตอนนี้เธอได้แต่นั่งเอามือปาดน้ำตา
“ใครบอกพี่”  
พี่ส้มที่นิ่งเงียบมานานถามขึ้น
“ข้าสงสัยมานานแล้ว  ข้าแอบฟังเขาคุยกันหลายครั้งจนวันนึงข้าได้ยินเต็มสองหูว่าพวกเราไม่ใช่ลูกเขาสักคนเดียว”
พี่นุชยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วพูดต่อ
"พวกเขาเอาเรามาตั้งแต่เล็กๆ เพราะต้องการให้จำอะไรไมได้"
พี่นุชอธิบาย 
"แล้วเรื่องสำคัญ  เอ็งไม่สงสัยกันบ้างหรือว่าพี่แก้วหายไปไหน ?"
"ก็พ่อกับแม่บอกพี่แก้วไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว"  
พี่สร้อยพูดแทรกขึ้น
"จริงด้วยถึงจะไปทำงานกรุงเทพฯ แต่ทำไมไม่ติดต่อกลับมาบ้าง ไม่คิดถึงพวกเราบ้างเลยเหรอ"  
พี่ส้มเสริมเหตุผลให้พี่นุช
แต่ปัญหาก็คือ  ใครคือพี่แก้วพี่นุชพูดถึง ?  
ตอนนี้ความสงสัยเริ่มแล่นเข้ามาในความคิดผม
"จริงของไอ้ส้ม  พี่แก้วรักพวกเราจะตายแล้วจะหายสาปสูญไปหลายปีอย่างนี้ได้ยังไง"
พี่เปี๊ยกเสริมแต่พวกเขากำลังคุยถึงใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก
"มันมีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ  คือติดต่อกลับมาไม่ได้หรือไม่มีโอกาสที่่จะติดต่อ"
พี่นุชนิ่งไปครู่นึงแล้วหันหน้ามาทางผม
"ไอ้บอย เอ็งไม่รู้เรื่องอะไรหรอกพวกข้าถูกห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเอ็งว่าเขาเก็บเอ็งมาเลี้ยง  แต่.."
"แต่อะไรพี่นุช" 
ผมถามพี่นุช
"แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจว่าพวกเราทุกคนไม่ใช่ลูกของเขาทั้งนั้น"  
ผมเพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่า  คำว่าพ่อกับแม่หายไปจากคำพูดของพี่นุชแล้ว
พี่สาวคนโตของผมพยายามสะกดอารมณ์ความเสียใจเอาไว้  แล้วเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมาราวมวลน้ำที่ทะลักออกจากเขื่อนแห่งความลับ
ความลับที่ผมจะต้องจำไปจนวันตาย
พวกเราคือเด็กที่ถูกขโมยมา !!

@@@@@

                ในที่สุดผมและพวกพี่ๆ ก็มั่นใจว่า  เราไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่เลยสักคน !!
                รวมถึงพี่แก้วที่หายสาปสูญไป !!
                ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยสังเกตกันและกันเลยสักนิดว่ารูปร่างหน้าตาของพวกเรานั้นล้วนไปกันคนละทิศละทาง 
                ความทรงจำแรกของทุกคนคือการเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กันในบ้านหลังนี้  
                ยกเว้นผมซึ่งพวกพี่ๆทั้งสี่คนยังจำได้ดีว่าแม่กระหืดกระหอบอุ้มผมออกมาจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ในวันหนึ่งที่พ่อไปรับกลับบ้านหลังจากเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่ง
                เมื่อความจริงปรากฏทุกคนต่างหันมาสำรวจรูปพรรณสัณฐานกันเหมือนคนแปลกหน้า
                พี่นุชนั้นผิวขาวที่สุดในบรรดาพี่สาวทั้งหมดของผม  ใบหน้าเรียวเข้ารูปรับกับขอบตาชั้นเดียวอย่างสาวคนจีนในตลาดที่ผมเคยเห็น  แต่รูปร่างของเธอดูผอมสูงกว่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน 
 ถ้าชำระล้างคราบไคลของความปอนเปื้อนที่ห่อหุ้มอยู่  ผมคิดว่าเธอต้องเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งทีเดียว
                เว้นเสียแต่ว่าแววตาของเธอนั้นช่างเรียบเฉยและดูซ่อนเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
                ส่วนพี่ส้มนั้นอาจจะเป็นด้วยวัยที่ห่างจากพี่นุชถึงสามปี  เธอจึงยังดูเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปที่ยังไม่เข้าวัยสาว  แต่ผิวสีที่คล้ำจนเรียกว่าดำได้สนิทปากนั้นทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีจุดเด่นที่สุดในบ้าน 
                รูปร่างสันทัดทำให้เธอดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเหมือนนิสัยที่กล้าและห่ามกว่าใคร  ผมสังเกตว่าเหตุการณ์ไหนที่ต้องเผชิญหน้าเธอจะไม่กลัวหรือสะทกสะท้าน
                ถ้าครั้งไหนที่พ่อกับแม่หาคนผิดมาชำระโทษไม่ได้ไม่ว่าเรื่องอะไรและใช้วิธีตีเหมาทุกคน
                เธอจะเป็นคนแรกที่กอดอกและก้าวไปข้างหน้าเสมอ !!
                สำหรับพี่เปี๊ยก  พี่ชายคนเดียวของผมนั้นร่างผอมบางเหมือนเด็กขาดอาหาร  เบ้าตาที่ดูเป็นร่องลึกของเขาถูกสร้างมาพร้อมๆ กับโหนกแกมที่นูนเป็นสันจนแทบจะเห็นกระดูก  
                ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้พี่เปี๊ยกเป็นคนที่ขี้โรคที่สุดในบ้าน
                พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดูโหดร้ายสำหรับพวกเรา  ไม่ว่าใครจะต้องนอนซมด้วยพิษไข้ขนาดไหนผมก็ไม่เคยเห็นพ่อกับแม่พาพวกเราไปหาหมอเลยสักครั้ง  ทั้งๆ ที่สถานีอนามัยก็อยู่ไม่ไกลไปจากบ้านนัก
                อย่างดีแม่ก็แค่โยนซองยาเก่าๆ ที่ในนั้นมีเม็ดยาหักๆ อยู่ไม่กี่เม็ดให้พวกเรากินกันตาย !!
                มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่เปี๊ยกมีไขขึ้นสูงจนเพ้อ  พี่นุชต้องกระซิบพี่ส้มให้โกหกพ่อกับแม่ว่าท้องเสียเพื่อไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ถัดออกไปตรงป่าละเมาะหลังบ้านแล้วแอบวิ่งไปที่อนามัยเพื่อขอยามาให้พี่ชายจนรอดมาได้
                ส่วนพี่สร้อยนั้นโดดเด่นด้วยรูปร่างที่ดูอ้วนและเจ้าเนื้อกว่าใครๆ  ตาที่กลมเหมือนไข่ห่านดูเข้ากันดีกับผมที่หนาเป็นลอนคลื่น  เธต้องตัดผมสั้นกว่าคนอื่น  เพราะไม่อย่างนั้นเพื่อนที่ชื่อเหาจะมาอาศัยอยู่ด้วยเสมอ 
                แต่อะไรก็ไม่เป็นเอกลักษณ์เท่ากับความพูดมากของเธอ
                แน่นอนว่าเมื่อพูดมากก็จะร้องไห้มากและง่ายกว่าคนอื่น !!
                สำหรับผมไม่รู้ว่าจะอธิบายตัวเองว่ายังไง  พวกพี่ๆ คงเป็นคนที่พูดถึงผมได้ดีที่สุด
                “ข้าอยากได้ตาเอ็งมาใส่ตาข้าจัง”  
               พี่นุชเคยบอกกับผมบ่อยๆ ว่าตาผมกลมดำและฉ่ำอยู่ตลอดเวลา  
               พี่ส้มก็มักหยอกผมเล่นเสมอว่า  “เรามาแลกสีผิวกันดีกว่ามั๊ย ?”
               ส่วนพี่เปี๊ยกบางทีก็เอามือมาโอบไหล่ผมตอนผมนั่งเหม่อว่า  “ว่าไงไอ้น้องชายสุดหล่อ” 
                แต่ใครก็พูดถึงความเป็นตัวผมได้ไม่ชัดเจนเท่าพี่สร้อยเธอบอกว่า
                “ถ้าวันๆ ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำเหมือนเอ็ง  ข้าคงบ้าตาย !!
                
@@@@@

                วันนั้นเป็นครั้งแรกที่พี่น้องทั้งห้าคนนั่งคุยกันอย่างยาวนานกว่าสองชั่วโมง  เรื่องราวที่พรั่งพรูออกมาจากปากพี่นุชกลายเป็นสิ่งที่เราอยากรู้มากขึ้นและมากขึ้น 
                “พวกเอ็งจำไว้นะ”  น้ำเสียงพี่นุชจริงจัง
                “ถ้าพวกเขากลับมาพวกเอ็งต้องทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร  ไม่สนใจอะไร ทำตัวไปตามปกติ” 
                “แล้วถ้าโดนตีอีกล่ะ”  พี่สร้อยจอมสงสัยเช่นเคย
พี่นุชเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวพี่สร้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า  
“เอ็งก็ต้องทน แต่ข้าจะให้พวกเอ็งทนไปไม่นานหรอก ”
คำว่าอดทนเป็นคำตอบของทุกๆ เรื่องเสมอสำหรับพวกผม  
“แต่วันนี้ฉันขอไปเล่นที่ฝั่งโน้นก่อนได้มั๊ย”  
พี่เปี๊ยกหมายถึงสนามเด็กเล่น พื้นที่หวงห้ามสำหรับเรา
“ก็ได้แต่อย่าไปนานนะ”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงพี่นุช  พี่เปี๊ยกคว้าข้อมือผมลุกขึ้นวิ่งออกจากบ้านไปด้วยอาการลิงโลด
……………………..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น