ความแตกต่าง
ภาพจาก http://www.unicef.org/thailand/protection.html จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ถ้าผมจะบันทึกเรื่องราวของการเร่ขายหนังสือเก่าที่ไม่มีใครเคยซื้อในหาดใหญ่อีกมันก็จะซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนั้นอีกนานนับปี
อย่างน้อยสองปีต่อจากนั้นที่ชีวิตผมกับพวกพี่ๆ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เรายังคงทำทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนล้อที่หมุนลอยอยู่เหนือเดิน
ยังไม่มีใครซื้อหนังสือพวกนั้นเลยสักเล่ม
!!
พ่อกับแม่ไม่เคยปล่อยให้เราทั้งห้าคนคลาดสายตา ไม่ว่าจะทำอะไรดูเหมือนเราจะต้องถูกจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
ก็อย่างที่บอกนั่นแหละผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม เพราะว่าท่านรักพวกเรามากอย่างนั้นหรือ นี่แหละคือปัญหาและทำให้ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
แต่แล้ววันที่เราคลาดสายตาจากพ่อและแม่ก็มาถึง
!!
เช้าวันนั้นหลังจากกินข้าวและล้างจานเสร็จแล้ว ผมกับพวกพี่ๆ
กำลังจะจัดเตรียมอุปกรณ์หากินเหมือนเช่นทุกวัน
“ไม่ต้อง วันนี้พวกเอ็งไม่ต้องออกไป”
เสียงพ่อพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะยกกองหนังสือ
ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจในชีวิตเท่านี้อีกแล้ว ผมวางกองหนังสือลงเช่นเดียวกับพี่นุช พี่ส้ม
พี่เปี๊ยกและพี่สร้อย
ทุกคนหยุดภารกิจของตัวเองแล้วหันมาตามเสียงของพ่อเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“วันนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องออกไปทำกับแม่ พวกเอ็งห้ามออกไปไหนทั้งนั้นและห้ามไปเล่นกับไอ้เด็กฝั่งโน้นด้วยเข้าใจมั๊ย”
น้ำเสียงพ่อจริงจังกับคำว่าเด็กฝั่งโน้นเหมือนเคย
“ถ้าข้ากลับมาแล้วไม่เห็นพวกเอ็งอยู่บ้านล่ะก็วันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็น”
เสียงแม่สำทับอีกคน
คำขู่ที่จะไม่ให้กินข้าวเหมือนสายสิญจน์มัดศพ
!!
มันคงจะเป็นจริงอย่างนั้นเพราะพวกผมมีชิวิตอยู่ไปได้วันๆ
หนึ่งก็เพื่อข้าวสามมื้อจริงๆ
ไม่เคยได้เงินซื้อขนม
ไม่เคยได้กินข้าวตามร้าน ไม่เคยได้ลิ้มรสกับข้าวอะไรที่มันแตกต่างไปจากปลาทู ไข่เจียว น้ำพริก อย่างดีก็อาจจะเป็นเศษอาหารอีสาน กับแกล้มที่เหลือจากพ่อบ้างเป็นบางมื้อ
แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะระหว่างการได้เลือกกับการได้กินนั้นอย่างไรเสียผมก็ต้องเลือกอย่างหลัง
ผมกับพี่ๆ
อดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ยอมปล่อยพวกเราไว้ตามลำพัง
มันทำให้คำว่าธุระสำคัญของพ่อมีความหมายที่อธิบายตัวมันเองได้อย่างดีที่สุด
ผมเดาความรู้สึกของพวกพี่ๆ
ทั้งสี่คนได้ในทันที
พวกเขารอเวลาที่พ่อกับแม่จัดเตรียมสิ่งของเล็กๆน้อยๆ
ก่อนจะออกเดินทางในชั่วไม่กี่นาทีข้างหน้าด้วยหัวใจที่ลิงโลดแน่ๆ
ไม่ต่างอะไรกับผมแม้แต่นิดเดียว !!
@@@@@
สิ้นเสียงคำรามของรถปุโรทั่งที่ค่อยๆ
แผ่วหายออกไปจากหน้าบ้าน
พี่เปี๊ยกคือคนแรกที่ส่งเสียงไชโยแล้วกระโดดตัวลอยเหมือนคนถูกหวย
“ไปสนามเด็กเล่นกันดีกว่าบอย”
พี่เปี๊ยกหันมาชวนผม
“อย่าไปเลยเราไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน”
เสียงพี่นุชท้วงทั้งที่เมื่อก่อนนี้เธอจะเป็นคนแอบพาพวกเราออกไปเล่นตอนพ่อกับแม่หลับด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
วันนี้ท่าทางพี่นุชเหมือนไม่ดีใจอะไรนักที่พ่อกับแม่ปล่อยพวกเราไว้ตามลำพัง
เธอรอโอกาสนี้เพื่อบอกอะไรบางอย่าง
เธอรอโอกาสนี้เพื่อบอกอะไรบางอย่าง
“ข้ามีอะไรจะบอก”
เสียงพี่นุชเรียบเย็น
พีนุชนั่งลงกับพื้น
สายตาที่เคยเข้มแข็งวันนี้ดูเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรว้าวุ่นอยู่ในใจ
เธอปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมพวกเราที่มองดูด้วยความระคนสงสัย
“พี่นุชจะบอกอะไร ข้าไม่เห็นมีอะไรจะบอกนอกจากบอกว่าไปสนามเด็กเล่นกันเถอะ”
พี่สร้อยเปรยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ แต่ไม่ทันที่คนอื่นจะออกความเห็น พี่นุชก็ตัดบทด้วยคำพูดแปลกๆ
“พวกเอ็งคิดว่ามีอะไรผิดปกติมั๊ย
?”
พี่นุชถามพวกเรา
“อะไรผิดปกติ”
พี่สร้อยย้อนถามอีกซึ่งเป็นบุคลิกของเธอที่มักพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและไม่มีจังหวะอยู่เสมอ บางทีผมก็เห็นเธอยืนพูดอยู่คนเดียว แต่เธอคงไม่บ้าหรอกแม้ว่าพี่เปี๊ยกจะชอบล้อพี่สร้อยบ่อยๆ ว่าติ๊งต๊อง
“ทำไมพวกเราโดนดุโดนตีกันเกือบทุกวัน
?”
พี่นุชถามพวกเราอีก
ทุกคนพร้อมใจกันส่ายหน้ารวมทั้งผม คำถามนี้ทำให้ความเงียบกลับเข้ามาครอบคลุมการสนทนาอีกครั้ง
ดูเหมือนทุกคนกำลังนึกย้อนกลับไปตามที่พี่นุชพูด
“พวกเอ็งฟังให้ดีนะ”
พี่นุชเหลือบมองดูแววตาพวกเราเหมือนต้องการให้แน่ใจอะไรสักอย่าง
ก่อนที่จะทิ้งระยะไว้ชั่วอึดใจ
“พวกเราไม่ใช่.... "
พี่นุชหยุดพูดเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ลำคอ
แต่แล้วประโยคสำคัญที่สุดต่อชีวิตของพวกเราก็หลุดออกมาจากปากของเธอ
“พวกเราไม่ใช่ลูกของเขา”
น้ำตาของพี่นุชร่วงผล็อยเมื่อสิ้นคำสุดท้าย
คราวนี้ความเงียบเข้ามากั้นกลางยาวนานกว่าเดิม
ทุกคนมองไปที่พี่สาวคนโตเหมือนอยากจะให้ยืนยันคำพูดนั้นอีกสักครั้ง แต่ตอนนี้เธอได้แต่นั่งเอามือปาดน้ำตา
“ใครบอกพี่”
พี่ส้มที่นิ่งเงียบมานานถามขึ้น
“ข้าสงสัยมานานแล้ว
ข้าแอบฟังเขาคุยกันหลายครั้งจนวันนึงข้าได้ยินเต็มสองหูว่าพวกเราไม่ใช่ลูกเขาสักคนเดียว”
พี่นุชยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วพูดต่อ
"พวกเขาเอาเรามาตั้งแต่เล็กๆ เพราะต้องการให้จำอะไรไมได้"
พี่นุชอธิบาย
"พวกเขาเอาเรามาตั้งแต่เล็กๆ เพราะต้องการให้จำอะไรไมได้"
พี่นุชอธิบาย
"แล้วเรื่องสำคัญ เอ็งไม่สงสัยกันบ้างหรือว่าพี่แก้วหายไปไหน ?"
"ก็พ่อกับแม่บอกพี่แก้วไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว"
พี่สร้อยพูดแทรกขึ้น
"จริงด้วยถึงจะไปทำงานกรุงเทพฯ แต่ทำไมไม่ติดต่อกลับมาบ้าง ไม่คิดถึงพวกเราบ้างเลยเหรอ"
พี่ส้มเสริมเหตุผลให้พี่นุช
แต่ปัญหาก็คือ ใครคือพี่แก้วพี่นุชพูดถึง ?
ตอนนี้ความสงสัยเริ่มแล่นเข้ามาในความคิดผม
"จริงของไอ้ส้ม พี่แก้วรักพวกเราจะตายแล้วจะหายสาปสูญไปหลายปีอย่างนี้ได้ยังไง"
พี่เปี๊ยกเสริมแต่พวกเขากำลังคุยถึงใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก
"มันมีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ คือติดต่อกลับมาไม่ได้หรือไม่มีโอกาสที่่จะติดต่อ"
พี่นุชนิ่งไปครู่นึงแล้วหันหน้ามาทางผม
"มันมีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ คือติดต่อกลับมาไม่ได้หรือไม่มีโอกาสที่่จะติดต่อ"
พี่นุชนิ่งไปครู่นึงแล้วหันหน้ามาทางผม
"ไอ้บอย เอ็งไม่รู้เรื่องอะไรหรอกพวกข้าถูกห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเอ็งว่าเขาเก็บเอ็งมาเลี้ยง แต่.."
"แต่อะไรพี่นุช"
ผมถามพี่นุช
"แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจว่าพวกเราทุกคนไม่ใช่ลูกของเขาทั้งนั้น"
ผมเพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่า คำว่าพ่อกับแม่หายไปจากคำพูดของพี่นุชแล้ว
พี่สาวคนโตของผมพยายามสะกดอารมณ์ความเสียใจเอาไว้
แล้วเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมาราวมวลน้ำที่ทะลักออกจากเขื่อนแห่งความลับ
ความลับที่ผมจะต้องจำไปจนวันตาย
พวกเราคือเด็กที่ถูกขโมยมา !!
@@@@@
ในที่สุดผมและพวกพี่ๆ ก็มั่นใจว่า
เราไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่เลยสักคน !!
รวมถึงพี่แก้วที่หายสาปสูญไป !!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยสังเกตกันและกันเลยสักนิดว่ารูปร่างหน้าตาของพวกเรานั้นล้วนไปกันคนละทิศละทาง
ความทรงจำแรกของทุกคนคือการเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กันในบ้านหลังนี้
ยกเว้นผมซึ่งพวกพี่ๆทั้งสี่คนยังจำได้ดีว่าแม่กระหืดกระหอบอุ้มผมออกมาจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ในวันหนึ่งที่พ่อไปรับกลับบ้านหลังจากเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่ง
ความทรงจำแรกของทุกคนคือการเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กันในบ้านหลังนี้
ยกเว้นผมซึ่งพวกพี่ๆทั้งสี่คนยังจำได้ดีว่าแม่กระหืดกระหอบอุ้มผมออกมาจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ในวันหนึ่งที่พ่อไปรับกลับบ้านหลังจากเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่ง
เมื่อความจริงปรากฏทุกคนต่างหันมาสำรวจรูปพรรณสัณฐานกันเหมือนคนแปลกหน้า
พี่นุชนั้นผิวขาวที่สุดในบรรดาพี่สาวทั้งหมดของผม
ใบหน้าเรียวเข้ารูปรับกับขอบตาชั้นเดียวอย่างสาวคนจีนในตลาดที่ผมเคยเห็น แต่รูปร่างของเธอดูผอมสูงกว่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
ถ้าชำระล้างคราบไคลของความปอนเปื้อนที่ห่อหุ้มอยู่ ผมคิดว่าเธอต้องเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งทีเดียว
เว้นเสียแต่ว่าแววตาของเธอนั้นช่างเรียบเฉยและดูซ่อนเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนพี่ส้มนั้นอาจจะเป็นด้วยวัยที่ห่างจากพี่นุชถึงสามปี
เธอจึงยังดูเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปที่ยังไม่เข้าวัยสาว แต่ผิวสีที่คล้ำจนเรียกว่าดำได้สนิทปากนั้นทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีจุดเด่นที่สุดในบ้าน
รูปร่างสันทัดทำให้เธอดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเหมือนนิสัยที่กล้าและห่ามกว่าใคร
ผมสังเกตว่าเหตุการณ์ไหนที่ต้องเผชิญหน้าเธอจะไม่กลัวหรือสะทกสะท้าน
ถ้าครั้งไหนที่พ่อกับแม่หาคนผิดมาชำระโทษไม่ได้ไม่ว่าเรื่องอะไรและใช้วิธีตีเหมาทุกคน
เธอจะเป็นคนแรกที่กอดอกและก้าวไปข้างหน้าเสมอ
!!
สำหรับพี่เปี๊ยก
พี่ชายคนเดียวของผมนั้นร่างผอมบางเหมือนเด็กขาดอาหาร เบ้าตาที่ดูเป็นร่องลึกของเขาถูกสร้างมาพร้อมๆ
กับโหนกแกมที่นูนเป็นสันจนแทบจะเห็นกระดูก
ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้พี่เปี๊ยกเป็นคนที่ขี้โรคที่สุดในบ้าน
พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดูโหดร้ายสำหรับพวกเรา
ไม่ว่าใครจะต้องนอนซมด้วยพิษไข้ขนาดไหนผมก็ไม่เคยเห็นพ่อกับแม่พาพวกเราไปหาหมอเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่สถานีอนามัยก็อยู่ไม่ไกลไปจากบ้านนัก
อย่างดีแม่ก็แค่โยนซองยาเก่าๆ
ที่ในนั้นมีเม็ดยาหักๆ อยู่ไม่กี่เม็ดให้พวกเรากินกันตาย !!
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่เปี๊ยกมีไขขึ้นสูงจนเพ้อ
พี่นุชต้องกระซิบพี่ส้มให้โกหกพ่อกับแม่ว่าท้องเสียเพื่อไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ถัดออกไปตรงป่าละเมาะหลังบ้านแล้วแอบวิ่งไปที่อนามัยเพื่อขอยามาให้พี่ชายจนรอดมาได้
ส่วนพี่สร้อยนั้นโดดเด่นด้วยรูปร่างที่ดูอ้วนและเจ้าเนื้อกว่าใครๆ
ตาที่กลมเหมือนไข่ห่านดูเข้ากันดีกับผมที่หนาเป็นลอนคลื่น เธต้องตัดผมสั้นกว่าคนอื่น เพราะไม่อย่างนั้นเพื่อนที่ชื่อเหาจะมาอาศัยอยู่ด้วยเสมอ
แต่อะไรก็ไม่เป็นเอกลักษณ์เท่ากับความพูดมากของเธอ
แน่นอนว่าเมื่อพูดมากก็จะร้องไห้มากและง่ายกว่าคนอื่น
!!
สำหรับผมไม่รู้ว่าจะอธิบายตัวเองว่ายังไง พวกพี่ๆ คงเป็นคนที่พูดถึงผมได้ดีที่สุด
“ข้าอยากได้ตาเอ็งมาใส่ตาข้าจัง”
พี่นุชเคยบอกกับผมบ่อยๆ
ว่าตาผมกลมดำและฉ่ำอยู่ตลอดเวลา
พี่ส้มก็มักหยอกผมเล่นเสมอว่า
“เรามาแลกสีผิวกันดีกว่ามั๊ย ?”
ส่วนพี่เปี๊ยกบางทีก็เอามือมาโอบไหล่ผมตอนผมนั่งเหม่อว่า “ว่าไงไอ้น้องชายสุดหล่อ”
แต่ใครก็พูดถึงความเป็นตัวผมได้ไม่ชัดเจนเท่าพี่สร้อยเธอบอกว่า
“ถ้าวันๆ
ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำเหมือนเอ็ง
ข้าคงบ้าตาย !!”
@@@@@
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่พี่น้องทั้งห้าคนนั่งคุยกันอย่างยาวนานกว่าสองชั่วโมง เรื่องราวที่พรั่งพรูออกมาจากปากพี่นุชกลายเป็นสิ่งที่เราอยากรู้มากขึ้นและมากขึ้น
“พวกเอ็งจำไว้นะ” น้ำเสียงพี่นุชจริงจัง
“ถ้าพวกเขากลับมาพวกเอ็งต้องทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร ไม่สนใจอะไร ทำตัวไปตามปกติ”
“แล้วถ้าโดนตีอีกล่ะ” พี่สร้อยจอมสงสัยเช่นเคย
พี่นุชเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวพี่สร้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า
“เอ็งก็ต้องทน แต่ข้าจะให้พวกเอ็งทนไปไม่นานหรอก ”
คำว่าอดทนเป็นคำตอบของทุกๆ เรื่องเสมอสำหรับพวกผม
คำว่าอดทนเป็นคำตอบของทุกๆ เรื่องเสมอสำหรับพวกผม
“แต่วันนี้ฉันขอไปเล่นที่ฝั่งโน้นก่อนได้มั๊ย”
พี่เปี๊ยกหมายถึงสนามเด็กเล่น พื้นที่หวงห้ามสำหรับเรา
“ก็ได้แต่อย่าไปนานนะ”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงพี่นุช
พี่เปี๊ยกคว้าข้อมือผมลุกขึ้นวิ่งออกจากบ้านไปด้วยอาการลิงโลด
……………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น