ความหวัง
ภาพจาก http://www.indianyoungjournalist.com/ จีรวัฒน์ ครองแก้ว
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยบางอย่างที่ดูเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอาการของแม่ที่ไม่เคยแสดงให้เห็นเช่นนี้มาก่อน แม้มันจะทำให้บรรยากาศตึงเครียดที่เคยมีผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่มันก็มาพร้อมกับความหวั่นใจ
“พวกเอ็งมากินข้าวกัน นี่ข้าซื้อไข่พะโล้กับแกงเลียงมาให้อร่อยนะนุชเรียกน้องมากินข้าวสิ”
ผมมองถุงพะโล้กับแกงเลียงในมือแม่เหมือนเห็นวัตถุประหลาด
“พวกเอ็งนะเริ่มเป็นสาวแล้วต้องกินอะไรบำรุงให้มันมีน้ำมีนวลหน่อย”
แม่แกะถุงพะโล้ใส่ชามในขณะที่ความแปลกใจก็ไม่หายไปจากความคิดของผม มันดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเราได้เห็นแม่ซื้อกับข้าวมาให้เราที่มันไม่ใช่ปลาทูหรือไข่เจียว
ที่สำคัญมันเป็นกับข้าวที่ดูเหมือนแม่จะเจาะจงซื้อมาให้พี่นุช
พี่ส้มและพี่สร้อยเป็นพิเศษ
ความจริงแล้วหน้าที่หุงข้าวและเตรียมอาหารเช้าต้องเป็นหน้าที่ของพี่สาวทั้งสามคน
แต่วันนี้แม่กลับตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดและทำแทนพวกเธอทั้งหมด
แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกดีขึ้นมาสักนิด
โดยเฉพาะพี่นุชนั้นแววตาที่ซ่อนความเจ็บปวดยังสะท้อนลึกอยู่ข้างใน
หลังจากกินข้าวเสร็จ รถโกโรโกโสคันเดิมยังพาเราออกจากบ้านเข้าหาดใหญ่เหมือนทุกวัน
ผมสังเกตว่าวันนี้พ่อกับแม่จะนั่งคุยกันไปเกือบตลอดทางโดยแทบจะไม่หันมาสังเกตพวกเราเหมือนอย่างที่เคย มันเป็นโอกาสที่ทำให้พี่นุชกระเถิบเข้ามาใกล้พวกเราเพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวเราต้องหาที่คุยกัน” พี่นุชบอก
“พี่ว่าเขาจะรู้มั๊ยว่าเรารู้”
พี่สร้อยถามเป็นคนแรกตามเคย
“ไม่รู้หรอกถ้ารู้เขาจะซื้อกับข้าวมาเอาใจพี่นุชกับพวกเอ็งเหรอ”
พี่เปี๊ยกสังเกตเห็นเหมือนที่ผมเห็น
“จริงด้วย”
พี่ส้มเสริมขึ้น
พี่นุชพยักหน้ารับ
เสียงแตรที่พ่อบีบไล่รถคันหน้าทำให้เราทั้งหมดตกใจจนหันไปทางหน้ารถพร้อมกัน
ดูพ่อกับแม่ยังคุยกันต่อเนื่องเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง
“ฉันว่าพ่อต้องพามาที่เดิมแน่เลยที่ตรงปากซอยมีศาลเจ้า ฉันจำตลาดสดข้างหน้าได้”
เสียงพี่เปี๊ยกร้องทัก
“ก็ดีสิพี่นุช ตรงกลางซอยมันทะลุถึงกันได้มีสวนหย่อมอยู่เล็กๆ
เราไปคุยกันตรงนั้นได้นะพี่นุช”
พี่ส้มบอก แต่ไม่ทันขาดคำพ่อก็เลี้ยวรถมาจอดตรงหน้าปากซอยที่มีศาลเจ้าจริงๆ
พี่นุชพยักเพยิดกับพี่เปี๊ยกเหมือนเข้าใจกันสองคน
“เอาล่ะวันนี้ไอ้เปี๊ยกเอ็งไปกับส้มกับสร้อย ส่วนนุชไปกับไอ้บอย”
ถ้าไม่ทันสังเกตก็จะไม่รู้เลยว่าคำว่า
“อี” ที่เคยใช้เรียกพี่สาวทั้งสามคนของผมได้หายไปแล้ว
“นุช ส้มกับสร้อย เดินกันดีๆ
ระวังหมาด้วยนะเดี๋ยวมันกัดได้แผลแล้วจะยุ่งกันใหญ่”
ดูเหมือนตอนนี้แม่จะห่วงลูกสาวทั้งสามคนเป็นพิเศษ
“แล้วถ้ามันกัดฉันล่ะ”
พี่เปี๊ยกถาม
“เรื่องของมึงอยากโง่ให้มันกัด”
พูดเสร็จแม่สะบัดหน้าหนีไปขึ้นรถ
พี่เปี๊ยกสะกิดพี่นุชเหมือนพยายามจะบอกให้รับรู้และสังเกตอะไรบางอย่าง
@@@@@
ผมรับบทอุ้มหนังสือตามหลังพี่นุชกับพี่เปี๊ยกเหมือนเคย แต่คราวนี้มีบางอย่างที่ทำให้ผมสนใจมันมากกว่าทุกวัน
ผมสังเกตว่าในบรรดาหนังสือสิบกว่าเล่มที่ผมถืออยู่นั้น เล่มล่างสุดจะหนากว่าทุกเล่ม
มันหนาจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างและไม่น่าจะใช่หนังสือดาราเก่าๆ เหมือนที่วางซ้อนกันอยู่ด้านบน
แต่ความหนาไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจ
ความสนใจของผมอยู่ที่กระดาษสีขาวหม่นที่ซ่อนทับอยู่ด้านใน
ปลายกระดาษข้างหนึ่งยื่นออกจากตัวหนังสือมาโดนนิ้วมือขวาของผม
ผมพยายามจะเปิดมันออกดูขณะที่เดินตามหลังพี่ไปแต่มันก็ทำไม่ได้ถนัดนัก
ก่อนจะรู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไรพี่นุชก็พามาหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่งเสียแล้ว
แม้ว่าเราจะเคยมาซอยนี้แล้วแต่ผมก็จำได้ขึ้นใจว่าเรายังไม่เคยแวะบ้านหลังนี้ เหตุผลก็เพราะความใหญ่โตและดูขรึมขลังของมัน
บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังใหญ่ไม่แพ้ศาลาวัดตั้งตระหง่านอยู่ภายในรั้วเหล็กกลมที่มีเสาคอนกรีตคั่นอยู่เป็นระยะ
แต่ละเสาจะมียอดที่ปั้นรูปลายไทยอยู่รอบโคมไฟ เมื่อมองผ่านรั้วบ้านเข้าไปเราจะเห็นแต่ความร่มรื่นของต้นไม้และไม้พุ่ม
แต่สิ่งที่น่าสนใจในสายตาผมกลับเป็นรถเก๋งสีครีมท้ายโค้งคันงามที่จอดอยู่ในโรงรถ ใกล้ๆ
กันมีรถสี่ล้อขนาดใหญ่หน้าเหลี่ยมคล้ายกับที่เคยเห็นที่โรงพักจอดอยู่อีกคัน
นานนับปีที่เร่ขอทานด้วยหนังสือเก่า
นี่คือลักษณะของบ้านที่พวกเราไม่กล้าแม้จะเข้าไปใกล้
แต่วันนี้ดูเหมือนพี่นุชต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่าง
!!
“คุณลุงจ๊ะ”
พี่นุชทักทายคุณลุงที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนแคร่ตรงสนามหน้าบ้าน ผมสีดอกเลาของแกขาวโพลนเต็มหัวราวกับคนอายุเจ็ดสิบ
แต่ดูจากใบหน้าแล้วผมคิดว่าแกน่าจะอายุไม่เกินหกสิบอย่างแน่นอน
“ว่าไงไอ้หนู”
มือสองข้างของลุงลดหนังสือลงพร้อมกับเงยหน้ามอดลอดแว่นกรอบดำหนาเตอะมาทางผมกับพี่นุช ก่อนที่จะลุกจากแคร่เดินตรงมาที่เราสองคน
“ลุงช่วยซื้อหนังสือหน่อยสิจ๊ะน่าอ่านทั้งนั้นเลย”
พี่นุชเอ่ยพร้อมๆ
กับที่ผมทำหน้าที่ยื่นหนังสือสิบกว่าเล่มที่มีอยู่ในมือให้ลุงดู แกยืนมองหนังสือในมือผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปล่งเสียงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
“ฮะๆๆๆ ปัทโธ่ไอ้หนูนี่มันหนังสือเก่านี่ ใครเขาอยากจะซื้อไปอ่านล่ะลูก”
ผมคิดว่าลุงเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดเท่าที่เราเคยเดินขายหนังสือกันมา
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าลุงเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดเท่าที่เราเลยขอทานกันมาต่างหาก
!!
คุณลุงอารมณ์ดีหันมาทางผมก่อนจะเอามือลูบหัวแล้วถามว่า
“แล้วไอ้หนูนี่ล่ะอ่านหนังสือพวกนี้เป็นมั๊ย
?”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“พวกหนูอ่านหนังสือไม่ออกกันหรอกค่ะคุณลุง แต่นับเลขได้”
พี่นุชตอบแทนผม
“อ้าวทำไมล่ะ นี่หนูก็โตเป็นสาวแล้วน่ะ
ถ้าเรียนหนังสือก็คงจะอยู่ชั้นเดียวกับหลานลุง หลานลุงขึ้นมัธยมปลายแล้ว”
ดูน้ำเสียงของลุงจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“พ่อกับแม่ไม่ให้พวกหนูเข้าโรงเรียนได้แต่สอนให้เรานับเลขเป็นดูแบงค์กับเหรียญเป็นเท่านั้น”
น้ำเสียงพี่นุชเริ่มสั่นเครือเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ ครั้งนี้คุณลุงไม่ได้ถามอะไรในทันทีแต่ปล่อยให้ความเงียบเคลื่อนตัวเข้ามาครอบคลุม แกเพ่งมองพี่นุชกับผมอย่างสนใจ
มันเป็นครั้งแรกที่ผมมองเข้าไปในแววตาคนแล้วเห็นความสุขระคนสงสารอยู่ข้างใน
“ลุงเข้าใจแล้วหล่ะ เอาอย่างนี้เอาเงินนี่ไปนะลุงให้”
คุณลุงใจดีล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่นุช มันเป็นแบงค์ร้อยสองใบ ผมจำสีแดงและเลขหนึ่งร้อยที่พิมพ์บนนั้นได้
ถึงจะไม่เคยมีใครให้เงินเราถึงหนึ่งร้อยบาทแต่ผมก็เห็นแม่หยิบออกมานับเป็นบางครั้ง
พี่นุชยื่นมืออันสั่นเทาออกไปรับเงินจากลุง ก่อนจะยกมือไหว้แล้วถามคำถามที่ยิ่งทำให้คุณลุงแปลกใจ
“คุณลุงจ๊ะที่นี่เขาเรียกหาดใหญ่ใช่มั๊ยจ๊ะ
?”
เสียงของพี่นุชเริ่มขาดเป็นห่วงๆ
น้ำตาที่คลอเบ้าตอนนี้มันล้นรินลงมาอาบแก้มแล้ว
“ใช่จ๊ะ เอ๊ะ.. หนูร้องให้ทำไมล่ะลูก”
คุณยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย
“แล้วหนูจะไปจากที่นี่ได้ยังไงจ๊ะ
?”
พี่นุชพยายามข่มเสียงสะอื้นของตัวเอง
“ลุงว่ามันชักแปลกๆ แล้วหนู มีอะไรอยากจะบอกลุงหรือเปล่า มานี่มานั่งก่อน”
คุณลุงเรียกให้พี่นุชกับผมไปนั่งที่แคร่ตรงสนาม
ผมเดินตามพี่นุชไปและเริ่มสังเกตเห็นว่าบ้านไม้ที่เป็นฉากอยู่หลังสนามหญ้านั้นสวยงามและใหญ่โตมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
“หนูสองคนเป็นพี่น้องกันจริงๆ
หรือเปล่า”
คุณลุงเริ่มถามอีกครั้งเหมือนเห็นความผิดสังเกตบางอย่างระหว่างผมกับพี่นุชหลังมามองผมสลับกับพี่นุชถึงสองครั้ง
“เป็นพี่น้องกัน แต่...”
คราวนี้พี่นุชเหมือนจะยั้งความรู้สึกที่อัดอั้นไว้ไม่อยู่ เธอปล่อยโฮออกมาต่อหน้าลุง
ลุงใจดียื่นมือไปแตะไหล่พี่นุชเบาๆ
ก่อนจะพูดคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกที่เคยเห็นมามันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“ฟังลุงนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับพวกหนูมาลุงยินดีช่วย มาหาลุงที่บ้านหลังนี้ได้ตลอดเวลา”
“ไอ้ก้อง...”
คุณลุงหันไปตะโกนเรียกใครบางคนที่อยู่ในบ้าน ไม่ถึงอึดใจของเสียงตอบรับ
ชายร่างเล็กยังดูหนุ่มแน่นนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อยืดท่าทางคล่องแคล่วก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
“ครับนายหัว นายหัวจะออกไปข้างนอกเหรอครับผมจะได้เตรียมรถให้ครับ”
เสียงแรกที่หลุดออกมาจากปากผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนปักษ์ใต้ขนานแท้ แต่สรรพนามที่เรียกขานคุณลุงใจดีคนนี้ผมไม่รู้จริงๆ
ว่าหมายถึงอะไร
“ยังไม่ออกไปตอนนี้ แม่บ้านเขาไปตลาดข้าเลยจะวานหน่อย เอ็งไปเอาเศษกระดาษกับปากกาบนโต๊ะทำงานในเรือนมาให้ข้าที”
คุณลุงคงเป็นเจ้านายของเขาแน่ๆ
แต่คงเป็นเจ้านายที่ใจดีที่สุดในโลก
ไม่นานชายร่างเล็กก็กลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กๆ
และปากกา ลุงใจดีรับไปเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้นก่อนจะยื่นให้พี่นุชแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของลุง
เก็บไว้ให้ดีนะ ถ้าเกิดปัญหาอะไรให้ลุงช่วยเหลือโทรหาลุงได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ใครๆ ในหาดใหญ่เขาก็รู้ว่าลุงคือใคร”
พี่นุชรับกระดาษแผ่นนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะยกมือไหว้ลาคุณลุงแล้วเดินจากมา ผมหันหลังไปมองอีกครั้ง คุณลุงใจดียิ้มให้ผมแล้วพยักหน้าช้าๆ อีกครั้งก่อนที่เราสองคนจะเดินลัดหายออกไปจากบ้าน
@@@@@
พี่นุชพาผมเดินมาในซอยที่เชื่อมกับอีกซอยหนึ่ง ตรงนั้นเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ
มีต้นหูกวางร่มครึ้มเหมาะที่เราจะนั่งพักและคุยกันได้ ไม่นานนักพี่เปี๊ยก พี่ส้มและพี่สร้อยก็ตามมาสมทบ
“เราจะหนีกันวันไหนล่ะพี่นุช”
คราวนี้พี่ส้มถามขึ้นเป็นคนแรกบ้าง
“เราต้องเตรียมการอะไรให้ดีกว่านี้”
พี่นุชบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่ที่กลัวกว่าใครเห็นจะเป็นพี่สร้อย
“แล้วเราจะอยู่ไหนกันล่ะพี่นุช แล้วเราจะเอาอะไรกินกันล่ะทีนี้”
น้ำเสียงพี่สร้อยดูเหมือนจะถอดใจ แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อพี่เปี๊ยกก็เอามือเขกเข้าที่กลางหัว
“นี่แนะ...
เอ็งจะกลัวทำไมวะหรือเอ็งอยากให้เขาขายเอ็งไปอยู่ในซ่อง”
พี่เปี๊ยกดุแล้วถามพี่นุชขึ้นว่า “เราจะบอกตำรวจดีมั๊ย ?”
“ข้าก็คิดอยู่ แต่....”
พี่นุชตอบแล้วนิ่งเงียบไป
“แต่อะไรพี่” พี่ส้มถาม
“เอ็งจำไม่ได้เหรอว่าเราเคยวิ่งหนีตำรวจกระเจิงมาแล้ว” พี่นุชทวนความจำ
“เออจริงว่ะ” พี่เปี๊ยกเริ่มคิดได้
“และที่สำคัญในตัวพวกเราก็ไม่มีเอกสารอะไรเลย เราจะอธิบายเขายังไงว่าเราคือใคร
ข้าเห็นด้วยนะที่เราต้องหาคนช่วยแต่ไม่ต้องเป็นตำรวจก็ได้นี่”
พี่นุชให้ความเห็น
“แล้วใครล่ะ พี่รู้แล้วเหรอว่าใครจะช่วยเราได้”
พี่ส้มถาม
“ข้ารู้”
พี่นุชตอบแล้วเบือนหน้าแหงนขึ้นไปบนฟ้าที่มีแต่เมฆสีขาวๆ
ลอยเป็นก้อนเหมือนสัตว์ประหลาด
ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
.............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น