วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 5)

ความหวัง


ภาพจาก http://www.indianyoungjournalist.com/                                               จีรวัฒน์ ครองแก้ว


                 เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยบางอย่างที่ดูเปลี่ยนไป  โดยเฉพาะอาการของแม่ที่ไม่เคยแสดงให้เห็นเช่นนี้มาก่อน  แม้มันจะทำให้บรรยากาศตึงเครียดที่เคยมีผ่อนคลายลงไปบ้าง  แต่มันก็มาพร้อมกับความหวั่นใจ
                “พวกเอ็งมากินข้าวกัน  นี่ข้าซื้อไข่พะโล้กับแกงเลียงมาให้อร่อยนะนุชเรียกน้องมากินข้าวสิ” 
ผมมองถุงพะโล้กับแกงเลียงในมือแม่เหมือนเห็นวัตถุประหลาด
                “พวกเอ็งนะเริ่มเป็นสาวแล้วต้องกินอะไรบำรุงให้มันมีน้ำมีนวลหน่อย” 
แม่แกะถุงพะโล้ใส่ชามในขณะที่ความแปลกใจก็ไม่หายไปจากความคิดของผม  มันดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ
                นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเราได้เห็นแม่ซื้อกับข้าวมาให้เราที่มันไม่ใช่ปลาทูหรือไข่เจียว  ที่สำคัญมันเป็นกับข้าวที่ดูเหมือนแม่จะเจาะจงซื้อมาให้พี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยเป็นพิเศษ 
                ความจริงแล้วหน้าที่หุงข้าวและเตรียมอาหารเช้าต้องเป็นหน้าที่ของพี่สาวทั้งสามคน  แต่วันนี้แม่กลับตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดและทำแทนพวกเธอทั้งหมด
                แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกดีขึ้นมาสักนิด  โดยเฉพาะพี่นุชนั้นแววตาที่ซ่อนความเจ็บปวดยังสะท้อนลึกอยู่ข้างใน
                หลังจากกินข้าวเสร็จ  รถโกโรโกโสคันเดิมยังพาเราออกจากบ้านเข้าหาดใหญ่เหมือนทุกวัน  ผมสังเกตว่าวันนี้พ่อกับแม่จะนั่งคุยกันไปเกือบตลอดทางโดยแทบจะไม่หันมาสังเกตพวกเราเหมือนอย่างที่เคย  มันเป็นโอกาสที่ทำให้พี่นุชกระเถิบเข้ามาใกล้พวกเราเพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง
                “เดี๋ยวเราต้องหาที่คุยกัน”  พี่นุชบอก
                “พี่ว่าเขาจะรู้มั๊ยว่าเรารู้” 
พี่สร้อยถามเป็นคนแรกตามเคย
                “ไม่รู้หรอกถ้ารู้เขาจะซื้อกับข้าวมาเอาใจพี่นุชกับพวกเอ็งเหรอ” 
พี่เปี๊ยกสังเกตเห็นเหมือนที่ผมเห็น
                “จริงด้วย” 
พี่ส้มเสริมขึ้น พี่นุชพยักหน้ารับ
                เสียงแตรที่พ่อบีบไล่รถคันหน้าทำให้เราทั้งหมดตกใจจนหันไปทางหน้ารถพร้อมกัน  ดูพ่อกับแม่ยังคุยกันต่อเนื่องเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง 
                “ฉันว่าพ่อต้องพามาที่เดิมแน่เลยที่ตรงปากซอยมีศาลเจ้า  ฉันจำตลาดสดข้างหน้าได้” 
เสียงพี่เปี๊ยกร้องทัก 
                “ก็ดีสิพี่นุช  ตรงกลางซอยมันทะลุถึงกันได้มีสวนหย่อมอยู่เล็กๆ เราไปคุยกันตรงนั้นได้นะพี่นุช” 
พี่ส้มบอก  แต่ไม่ทันขาดคำพ่อก็เลี้ยวรถมาจอดตรงหน้าปากซอยที่มีศาลเจ้าจริงๆ พี่นุชพยักเพยิดกับพี่เปี๊ยกเหมือนเข้าใจกันสองคน 
                “เอาล่ะวันนี้ไอ้เปี๊ยกเอ็งไปกับส้มกับสร้อย  ส่วนนุชไปกับไอ้บอย” 
ถ้าไม่ทันสังเกตก็จะไม่รู้เลยว่าคำว่า “อี” ที่เคยใช้เรียกพี่สาวทั้งสามคนของผมได้หายไปแล้ว
                “นุช ส้มกับสร้อย เดินกันดีๆ ระวังหมาด้วยนะเดี๋ยวมันกัดได้แผลแล้วจะยุ่งกันใหญ่”  
ดูเหมือนตอนนี้แม่จะห่วงลูกสาวทั้งสามคนเป็นพิเศษ
                “แล้วถ้ามันกัดฉันล่ะ” 
พี่เปี๊ยกถาม
                “เรื่องของมึงอยากโง่ให้มันกัด” 
พูดเสร็จแม่สะบัดหน้าหนีไปขึ้นรถ  พี่เปี๊ยกสะกิดพี่นุชเหมือนพยายามจะบอกให้รับรู้และสังเกตอะไรบางอย่าง
@@@@@
                ผมรับบทอุ้มหนังสือตามหลังพี่นุชกับพี่เปี๊ยกเหมือนเคย  แต่คราวนี้มีบางอย่างที่ทำให้ผมสนใจมันมากกว่าทุกวัน 
                ผมสังเกตว่าในบรรดาหนังสือสิบกว่าเล่มที่ผมถืออยู่นั้น  เล่มล่างสุดจะหนากว่าทุกเล่ม  มันหนาจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างและไม่น่าจะใช่หนังสือดาราเก่าๆ เหมือนที่วางซ้อนกันอยู่ด้านบน
                แต่ความหนาไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจ  ความสนใจของผมอยู่ที่กระดาษสีขาวหม่นที่ซ่อนทับอยู่ด้านใน  ปลายกระดาษข้างหนึ่งยื่นออกจากตัวหนังสือมาโดนนิ้วมือขวาของผม  ผมพยายามจะเปิดมันออกดูขณะที่เดินตามหลังพี่ไปแต่มันก็ทำไม่ได้ถนัดนัก 
                ก่อนจะรู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไรพี่นุชก็พามาหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่งเสียแล้ว
                แม้ว่าเราจะเคยมาซอยนี้แล้วแต่ผมก็จำได้ขึ้นใจว่าเรายังไม่เคยแวะบ้านหลังนี้  เหตุผลก็เพราะความใหญ่โตและดูขรึมขลังของมัน
                บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังใหญ่ไม่แพ้ศาลาวัดตั้งตระหง่านอยู่ภายในรั้วเหล็กกลมที่มีเสาคอนกรีตคั่นอยู่เป็นระยะ  แต่ละเสาจะมียอดที่ปั้นรูปลายไทยอยู่รอบโคมไฟ   เมื่อมองผ่านรั้วบ้านเข้าไปเราจะเห็นแต่ความร่มรื่นของต้นไม้และไม้พุ่ม
                แต่สิ่งที่น่าสนใจในสายตาผมกลับเป็นรถเก๋งสีครีมท้ายโค้งคันงามที่จอดอยู่ในโรงรถ  ใกล้ๆ กันมีรถสี่ล้อขนาดใหญ่หน้าเหลี่ยมคล้ายกับที่เคยเห็นที่โรงพักจอดอยู่อีกคัน
                นานนับปีที่เร่ขอทานด้วยหนังสือเก่า  นี่คือลักษณะของบ้านที่พวกเราไม่กล้าแม้จะเข้าไปใกล้
                แต่วันนี้ดูเหมือนพี่นุชต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่าง !!
                “คุณลุงจ๊ะ” 
พี่นุชทักทายคุณลุงที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนแคร่ตรงสนามหน้าบ้าน  ผมสีดอกเลาของแกขาวโพลนเต็มหัวราวกับคนอายุเจ็ดสิบ  แต่ดูจากใบหน้าแล้วผมคิดว่าแกน่าจะอายุไม่เกินหกสิบอย่างแน่นอน
                “ว่าไงไอ้หนู”  
มือสองข้างของลุงลดหนังสือลงพร้อมกับเงยหน้ามอดลอดแว่นกรอบดำหนาเตอะมาทางผมกับพี่นุช  ก่อนที่จะลุกจากแคร่เดินตรงมาที่เราสองคน
                “ลุงช่วยซื้อหนังสือหน่อยสิจ๊ะน่าอ่านทั้งนั้นเลย” 
พี่นุชเอ่ยพร้อมๆ กับที่ผมทำหน้าที่ยื่นหนังสือสิบกว่าเล่มที่มีอยู่ในมือให้ลุงดู  แกยืนมองหนังสือในมือผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปล่งเสียงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
                “ฮะๆๆๆ  ปัทโธ่ไอ้หนูนี่มันหนังสือเก่านี่  ใครเขาอยากจะซื้อไปอ่านล่ะลูก” 
ผมคิดว่าลุงเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดเท่าที่เราเคยเดินขายหนังสือกันมา 
                ไม่ใช่สิ  ต้องบอกว่าลุงเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดเท่าที่เราเลยขอทานกันมาต่างหาก !!
                คุณลุงอารมณ์ดีหันมาทางผมก่อนจะเอามือลูบหัวแล้วถามว่า
                “แล้วไอ้หนูนี่ล่ะอ่านหนังสือพวกนี้เป็นมั๊ย ?” 
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
                “พวกหนูอ่านหนังสือไม่ออกกันหรอกค่ะคุณลุง  แต่นับเลขได้” 
พี่นุชตอบแทนผม
                “อ้าวทำไมล่ะ  นี่หนูก็โตเป็นสาวแล้วน่ะ  ถ้าเรียนหนังสือก็คงจะอยู่ชั้นเดียวกับหลานลุง   หลานลุงขึ้นมัธยมปลายแล้ว” 
ดูน้ำเสียงของลุงจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“พ่อกับแม่ไม่ให้พวกหนูเข้าโรงเรียนได้แต่สอนให้เรานับเลขเป็นดูแบงค์กับเหรียญเป็นเท่านั้น” 
น้ำเสียงพี่นุชเริ่มสั่นเครือเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ  ครั้งนี้คุณลุงไม่ได้ถามอะไรในทันทีแต่ปล่อยให้ความเงียบเคลื่อนตัวเข้ามาครอบคลุม   แกเพ่งมองพี่นุชกับผมอย่างสนใจ 
                มันเป็นครั้งแรกที่ผมมองเข้าไปในแววตาคนแล้วเห็นความสุขระคนสงสารอยู่ข้างใน
                “ลุงเข้าใจแล้วหล่ะ  เอาอย่างนี้เอาเงินนี่ไปนะลุงให้” 
คุณลุงใจดีล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่นุช  มันเป็นแบงค์ร้อยสองใบ  ผมจำสีแดงและเลขหนึ่งร้อยที่พิมพ์บนนั้นได้  ถึงจะไม่เคยมีใครให้เงินเราถึงหนึ่งร้อยบาทแต่ผมก็เห็นแม่หยิบออกมานับเป็นบางครั้ง
                พี่นุชยื่นมืออันสั่นเทาออกไปรับเงินจากลุง  ก่อนจะยกมือไหว้แล้วถามคำถามที่ยิ่งทำให้คุณลุงแปลกใจ
                “คุณลุงจ๊ะที่นี่เขาเรียกหาดใหญ่ใช่มั๊ยจ๊ะ ?” 
เสียงของพี่นุชเริ่มขาดเป็นห่วงๆ น้ำตาที่คลอเบ้าตอนนี้มันล้นรินลงมาอาบแก้มแล้ว
                “ใช่จ๊ะ  เอ๊ะ.. หนูร้องให้ทำไมล่ะลูก”  
คุณยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย
                “แล้วหนูจะไปจากที่นี่ได้ยังไงจ๊ะ ?” 
พี่นุชพยายามข่มเสียงสะอื้นของตัวเอง
                “ลุงว่ามันชักแปลกๆ แล้วหนู  มีอะไรอยากจะบอกลุงหรือเปล่า  มานี่มานั่งก่อน”  
คุณลุงเรียกให้พี่นุชกับผมไปนั่งที่แคร่ตรงสนาม  ผมเดินตามพี่นุชไปและเริ่มสังเกตเห็นว่าบ้านไม้ที่เป็นฉากอยู่หลังสนามหญ้านั้นสวยงามและใหญ่โตมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา 
                “หนูสองคนเป็นพี่น้องกันจริงๆ หรือเปล่า” 
คุณลุงเริ่มถามอีกครั้งเหมือนเห็นความผิดสังเกตบางอย่างระหว่างผมกับพี่นุชหลังมามองผมสลับกับพี่นุชถึงสองครั้ง
                “เป็นพี่น้องกัน  แต่...” 
คราวนี้พี่นุชเหมือนจะยั้งความรู้สึกที่อัดอั้นไว้ไม่อยู่  เธอปล่อยโฮออกมาต่อหน้าลุง 
ลุงใจดียื่นมือไปแตะไหล่พี่นุชเบาๆ ก่อนจะพูดคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกที่เคยเห็นมามันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“ฟังลุงนะ  ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับพวกหนูมาลุงยินดีช่วย  มาหาลุงที่บ้านหลังนี้ได้ตลอดเวลา”
“ไอ้ก้อง...” 
คุณลุงหันไปตะโกนเรียกใครบางคนที่อยู่ในบ้าน  ไม่ถึงอึดใจของเสียงตอบรับ  ชายร่างเล็กยังดูหนุ่มแน่นนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อยืดท่าทางคล่องแคล่วก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
“ครับนายหัว  นายหัวจะออกไปข้างนอกเหรอครับผมจะได้เตรียมรถให้ครับ” 
เสียงแรกที่หลุดออกมาจากปากผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนปักษ์ใต้ขนานแท้  แต่สรรพนามที่เรียกขานคุณลุงใจดีคนนี้ผมไม่รู้จริงๆ ว่าหมายถึงอะไร
“ยังไม่ออกไปตอนนี้  แม่บ้านเขาไปตลาดข้าเลยจะวานหน่อย  เอ็งไปเอาเศษกระดาษกับปากกาบนโต๊ะทำงานในเรือนมาให้ข้าที” 
คุณลุงคงเป็นเจ้านายของเขาแน่ๆ แต่คงเป็นเจ้านายที่ใจดีที่สุดในโลก
ไม่นานชายร่างเล็กก็กลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กๆ และปากกา  ลุงใจดีรับไปเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้นก่อนจะยื่นให้พี่นุชแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน 
“นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของลุง เก็บไว้ให้ดีนะ  ถ้าเกิดปัญหาอะไรให้ลุงช่วยเหลือโทรหาลุงได้ตลอดเวลา  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น  ใครๆ ในหาดใหญ่เขาก็รู้ว่าลุงคือใคร” 
พี่นุชรับกระดาษแผ่นนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะยกมือไหว้ลาคุณลุงแล้วเดินจากมา  ผมหันหลังไปมองอีกครั้ง  คุณลุงใจดียิ้มให้ผมแล้วพยักหน้าช้าๆ อีกครั้งก่อนที่เราสองคนจะเดินลัดหายออกไปจากบ้าน
@@@@@
                พี่นุชพาผมเดินมาในซอยที่เชื่อมกับอีกซอยหนึ่ง  ตรงนั้นเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ มีต้นหูกวางร่มครึ้มเหมาะที่เราจะนั่งพักและคุยกันได้  ไม่นานนักพี่เปี๊ยก  พี่ส้มและพี่สร้อยก็ตามมาสมทบ
                “เราจะหนีกันวันไหนล่ะพี่นุช” 
คราวนี้พี่ส้มถามขึ้นเป็นคนแรกบ้าง
                “เราต้องเตรียมการอะไรให้ดีกว่านี้” 
พี่นุชบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ  แต่ที่กลัวกว่าใครเห็นจะเป็นพี่สร้อย
                “แล้วเราจะอยู่ไหนกันล่ะพี่นุช  แล้วเราจะเอาอะไรกินกันล่ะทีนี้” 
น้ำเสียงพี่สร้อยดูเหมือนจะถอดใจ  แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อพี่เปี๊ยกก็เอามือเขกเข้าที่กลางหัว
“นี่แนะ... เอ็งจะกลัวทำไมวะหรือเอ็งอยากให้เขาขายเอ็งไปอยู่ในซ่อง” 
พี่เปี๊ยกดุแล้วถามพี่นุชขึ้นว่า  “เราจะบอกตำรวจดีมั๊ย ?” 
                “ข้าก็คิดอยู่  แต่....”  พี่นุชตอบแล้วนิ่งเงียบไป
                “แต่อะไรพี่”  พี่ส้มถาม
                “เอ็งจำไม่ได้เหรอว่าเราเคยวิ่งหนีตำรวจกระเจิงมาแล้ว”  พี่นุชทวนความจำ
                “เออจริงว่ะ”  พี่เปี๊ยกเริ่มคิดได้
                “และที่สำคัญในตัวพวกเราก็ไม่มีเอกสารอะไรเลย  เราจะอธิบายเขายังไงว่าเราคือใคร  ข้าเห็นด้วยนะที่เราต้องหาคนช่วยแต่ไม่ต้องเป็นตำรวจก็ได้นี่” 
พี่นุชให้ความเห็น
                “แล้วใครล่ะ  พี่รู้แล้วเหรอว่าใครจะช่วยเราได้” 
พี่ส้มถาม
                “ข้ารู้” 
พี่นุชตอบแล้วเบือนหน้าแหงนขึ้นไปบนฟ้าที่มีแต่เมฆสีขาวๆ ลอยเป็นก้อนเหมือนสัตว์ประหลาด  ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
.............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น