วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 2)

เครื่องมือหากิน


ภาพจาก http://www.unhcr.org/4581673b2.html                                               จีรวัฒน์ ครองแก้ว

พ่อจะทำเหมือนกันเกือบทุกวันคือขับรถวนหาจุดที่จะปล่อยพวกเราไปขายหนังสือประมาณสองถึงสามรอบเพื่อให้แน่ใจเส้นทางและจุดที่จะนัดหมายกันตอนกลับ 
เท่าที่จำได้เราจะไม่วนกลับมาที่เดิมในวันรุ่งขึ้น  เป้าหมายของพ่อเปลี่ยนไปทุกวัน  แต่อาจจะมีนานๆ ครั้งที่เราอาจจะได้กลับมาที่เดิม   ถ้าพ่อขับรถไปบนเส้นทางใหม่แล้วเจอสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเจอ   
“ข้างหน้ามีตำรวจ !!” 
               สิ้นเสียงแม่พ่อจะกลับรถทันที   และวันนั้นเราอาจจะต้องกลับมาขายหนังสือที่เดิม
มันเป็นสิ่งที่พ่อและแม่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนไม่เคยเบื่อหน่าย  แต่สำหรับพวกผม  ความเบื่อหน่ายที่เคยมีดูเหมือนจะลอยผ่านพ้นความรู้สึกของเราไปแล้ว  ที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่ความชาชินที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะถูกลบออกไป
 เมื่อแน่ในแล้วว่าเป้าหมายของวันนั้นอยู่ตรงไหน  พ่อจะหาที่เหมาะๆ เพื่อจอดรถ  จากนั้นจะพูดกับพวกเราด้วยประโยคที่แทบจะเหมือนกันทุกวัน
“พวกเอ็งจำไว้นะว่าเดินให้ครบทุกหลัง  พอสุดซอยแล้วย้อนกลับมาที่เดิม  พวกข้าจะรออยู่ตรงนี้”
เมื่อพ่อพูดเสร็จแม่จะสำทับต่อว่า  “ไอ้บอยวันนี้เอ็งไปกับอีนุชก็แล้วกัน  แล้วดูพี่เขาด้วยว่าเขาทำยังไงบ้างอีกหน่อยเอ็งก็ต้องทำเหมือนกัน”
“และไม่ต้องบอกใครว่าพวกข้าอยู่ตรงไหน”  
             มันเป็นประโยคที่สำคัญที่สุดของทุกๆ วัน
ผมกับพวกพี่ๆ จะถูกแบ่งออกเป็นสองทีม  ทีมแรกพี่นุชกับพี่สร้อย  ทีมที่สองมีพี่ส้มกับพี่เปี๊ยก  เช่นเดียวกับหนังสือที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยไม่ต้องสนใจว่าใครอยากได้หนังสืออะไรไปบ้าง  ขอให้มันเป็นหนังสือก็พอ
ผมเดินตามพี่นุชกับพี่สร้อยเข้าไปในซอย  สองมืออุ้มหนังสือไว้ที่อก  พี่นุชพาเดินแยกออกจากพี่ส้มกับพี่เปี๊ยกมาอีกซอยหนึ่งแล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นมะม่วง
“ถ้าเขาพูดอะไรเอ็งสองคนแค่พยักหน้าก็พอเดี๋ยวข้าจัดการเอง”  พี่นุชบอกผมกับพี่สร้อย
                เพียงแค่อึดใจเสียงหญิงวัยกลางคนก็ดังมาจากในบ้าน 
หนั้นครัย  ม่าห๊าครัย ?  
             สำเนียงใต้แท้ๆ ของเธอทำให้ผมต้องเดาคำถาม
                หญิงคนนั้นเปิดประตูรั้วบ้านออกมา  หน้าตาและผิวคล้ำแบบผู้หญิงใต้ทั่วไป  สังเกตจากผมที่เริ่มแซมขาวเธอน่าจะอายุมากกว่าแม่สักสี่ห้าปี  หน้าตาเธอดูใจดีกว่าที่ผมคิดไว้แต่ก็กวาดสายตามองเราสามคนอย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยปากถาม  
                “เธอมาทำไมกัน มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า ?”  
                เธอคงรู้ว่าเราไม่ใช่เด็กใต้แน่ๆ  จึงดึงสำเนียงพูดให้ช้าลงจนฟังเนิบนาบ
                “เรามาขายหนังสือจ๊ะคุณป้า”  พี่นุชพูดพลางชี้มาทางผมที่กำลังแทรกตัวเข้าไปยื่นหนังสือให้เธอเห็นใกล้ๆ 
                ลูกค้ารายแรกของวันก้มลงมองหนังสือแล้วเอื้อมมือมาหยิบมันไปดูด้วยแววตาที่ระคนสงสัย
                “นี่มันหนังสือเก่าเป็นปีแล้วนี่หนู !!” 
               เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังดูประหลาดใจเล็กน้อย
                “เก่าแต่ยังอ่านได้นะค่ะคุณป้า”  
                 พี่สร้อยพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พี่นุชจะเอื้อมมือไปสะกิดที่แขนแล้วขยิบตาให้
                เธอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วค่อยๆ กวาดสายตาดูเราทีละคนอีกครั้งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
                “อืม.... เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเธอเอาเงินนี่ไป  ฉันไม่เอาหนังสือหรอก”  
                เธอล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่นุช  ผมสังเกตเห็นได้ว่ามันเป็นธนบัตรใบยี่สิบบาทสามใบ
                ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอตั้งใจให้เงินเราทั้งสามคน
                “ขอบคุณค่ะคุณป้า”  
                พี่นุชยกมือไหว้พร้อมๆ กับผมและพี่สร้อย  ก่อนจะเดินจากมาอย่างเงียบๆ
                เมื่อเดินมาสักพักจนแน่ใจว่าคุณป้าเดินหายเข้าไปในบ้านแล้ว  พี่นุชหันมาทางพี่สร้อยแล้วหยิกเข้าที่หัวไหล่ก่อนจะออกปากดุ 
“ข้าบอกแล้วไงว่าให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดมาก” 
“โอ๊ย !!  ก็ฉันอยากช่วยพี่นี่จะได้ขายหนังสือซะที”  พี่สร้อยเถียง
“ขายหรือไม่ขายมันไม่สำคัญหรอก  เอ็งไม่เห็นเหรอป้าเขาก็ให้ตังค์อยู่ดี”
“ข้าเอ่อ...”   
             พี่สร้อยเงียบเสียงไปเหมือนจำนนด้วยหลักฐาน
ความจริงของทุกวันที่เราออกมาเดินขายหนังสือก็คือ  ผมยังไม่เห็นใครจ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสือของเราแม้แต่คนเดียว  อาจจะมีคนหยิบมันขึ้นไปดูบ้างเหมือนคุณป้าคนนี้ 
แต่ในที่สุดก็ทำเหมือนๆ กันคือไม่ใยดีกับมัน 
หลังจากพลิกดูหนังสือเก่าคร่ำครึและสำรวจความมอมแมมของพวกเราสามคนแล้ว  ทุกอย่างมันก็จะดำเนินไปตามวิถีทางของมัน  ด้วยประโยคและความหมายที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ
“พวกเอ็งเอาเงินนี่ไปก็แล้วกัน”
“ข้าไม่เอาหนังสือหรอกแต่ถ้าจะขอเงินล่ะข้าให้แค่นี้ก็พอ”
“เล่มละเท่าไหร่  ยี่สิบเหรอ  เอ้านี่  แต่พวกหนูเก็บหนังสือไว้เถอะ”  และอีกสารพัดคำพูดที่บางทีฟังดูเหมือนตัดรำคาญ  ผมเคยถามพี่นุชเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่ซื้อหนังสือของเรา
“ไม่มีใครเอาหนังสือเฮงซวยนั่นหรอก  เก่าก็เก่า  ขาดก็ขาดแถมสกปรกอีกต่างหาก”  พี่นุชตอบ
“อ้าว !! แล้วเราเอามาทำไมให้มันหนัก ?”  
ผมถามในฐานะที่ต้องเป็นคนอุ้มหนังสือยี่สิบเล่มไปตลอดทาง  มันเป็นเรื่องสนุกซะที่ไหนสำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบ
“มันเป็นเครื่องมือหากินเอ็งเข้าใจหรือเปล่า”  พี่นุชย้ำ

@@@@@

แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะโชคดีเสมอไป  ไม่ใช่ทุกคนที่จะให้เงินเราง่ายๆ เหมือนคุณป้าคนนั้น  บางคนซักไซ้ไล่เรียงพวกเราเหมือนผู้ต้องหาแถมคาดคั้นด้วยว่าพ่อกับแม่อยู่ที่ไหน 
มีหลายครั้งที่เราโดนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา
แต่อะไรก็ไม่ทำให้เราสะดุ้งเท่าคำที่ตะโกนไล่หลังมา  
               “ไอ้ขอทาน  !!
หลังจากวิ่งหนีจนลับตาคนผมกับพี่ๆ ก็หาที่เหมาะๆ นั่งพักเพื่อให้หายเหนื่อย 
 “สักวันข้าจะเลิกเป็นขอทาน !!”  
            พี่นุชพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ผมกับพี่สร้อยมองหน้ากัน  ความรู้สึกตอนนั้นมันปนเปกันไปหมดระหว่างความเข้าใจและปั่นป่วนใจ  ทั้งๆ ที่อยากคล้อยตามแต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หรือว่าผมอาจจะยังไม่รู้อะไรเท่าพวกพี่ๆ ก็เป็นได้
วันไหนที่พวกเราเดินขายหนังสือกันหลายชั่วโมงแล้วยังไม่ได้เงินหรือได้น้อยจนน่าใจหาย  พี่นุชจะพาพวกเราหยุดพักแบบไม่มีสาเหตุ
“คอยดูนะ  กูจะไปมันให้พ้นๆ”  
              พี่นุชพูดขึ้นลอยๆ แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ผมรู้ว่าพี่นุชไม่ได้เหนื่อยเช่นเดียวกับพี่สร้อยที่กระเถิบเข้าไปกอดแขนแล้วเอาแก้มอันมอมแมมซบลงไปบนไหล่ของพี่สาว
ส่วนผมเริ่มได้ยินเสียงไม้เรียวดังแว่วมาไกลๆ !!
                จำได้ว่าวันนั้นพี่นุชได้เงินแค่ร้อยห้าสิบบาท  ส่วนพี่เปี๊ยกได้สองร้อยบาท  หลังจากเดินเข้าออกบ้านทุกหลังในซอยนั้นกว่าห้าชั่วโมง   ผมหิวจนท้องร้องเรียกแล้วเรียกอีก  แต่ก็ข่มความหิวเอาไว้เมื่อคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราตอนกลับถึงบ้าน
                เมื่อมาถึงรถ  พี่นุชและพี่เปี๊ยกล้วงเงินในกระเป๋าให้แม่รวมกันได้แค่สามร้อยห้าสิบบาทอย่างที่บอกจริงๆ  เป็นรายได้ต่ำสุดเท่าที่ผมจำได้  เพราะทุกวันที่เราออกมาอย่างน้อยต้องได้เงินพันกลับบ้าน  บางวันถึงกับได้หลายพันก็มี
                “นี่อะไร ?”  แม่ถามเสียงเข็ง
                “คือๆ วันนี้ไม่มีคนค่อยจะให้ตังค์เลยจ๊ะ”  พี่นุชตอบเสียงอ่อย
                “เอ็งแน่ใจนะ”  
                แม่ไม่พูดเปล่าแต่เอื้อมมือไปบิดที่ใบหูของพี่นุชจนม้วนเกือบเป็นวงกลม
                “แถวนี้ชาวบ้านเขาไม่ชอบให้ใครมากวนจ๊ะ ..โอ๊ยหนูเจ็บ”  พี่นุชพยายามอธิบายแต่มือของแม่ยังบิดใบหูของพี่นุชไม่หยุด
                “จริงๆ แม่ฉันก็ว่าอย่างนั้น”  พี่เปี๊ยกช่วยอีกแรง
                “วันนี้ไม่ต้องกินข้าว”  
                แม่เอื้อมมือไปหยิบถุงเสบียงเดินหนีไปนั่งหน้ารถกับพ่อก่อนจะหันมาสำทับกับพวกเราว่า  “เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยคิดบัญชีกัน” 
                ระยะทางจากตลาดหาดใหญ่ถึงบ้านปกติจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง  แต่สำหรับวันนั้นผมรู้สึกว่าระยะทางกลับบ้านมันถูกยืดออกไปไกลทั้งๆ ที่พ่อก็ขับรถกลับทางเดิม 
                พี่นุช  พี่ส้มและพี่สร้อยนั่งซบกันร้องไห้ไปตลอดทาง  ส่วนพี่เปี๊ยกนั่งเอามือลูบหัวผมตาเหม่อลอยออกไปเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
                ส่วนผม..  การต้องอดข้าวเกือบทั้งวันก็ทรมานสาหัสพออยู่แล้ว  แต่การที่ต้องมารับรู้ว่าใครคือคนที่ต้องการให้เราอดอยากทรมาน  มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดกว่าหลายเท่า
                เมื่อถึงบ้านแม่เรียกพวกเรามายืนเรียงหน้ากระดาน
                “อีนุช..  เอ็งไปพูดอะไรกับชาวบ้านเขาหรือเปล่า ?”  
                แม่ยืนเท้าสะเอวนัยน์ตาเขียวด้วยความโกรธ
                “เปล่าจ๊ะ”  
                พี่นุชส่ายหน้า  น้ำตาที่เหือดแห้งไปดูคล้ายคนที่หมดอาลัยในชีวิต
                “ฉันก็เปล่า”  พี่ส้ม พี่สร้อยและพี่เปี๊ยกพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
                “หรือว่าเอ็ง  ไอ้บอย”  
                แม่หันมาถามผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
                ผมสะดุ้งถอยกรูดไปเกาะเอวพี่นุช
                “วันนี้ฉันยังไม่ได้ยินเสียงมันพูดอะไรเลยสักคำ”  
               พี่นุชช่วยผมเอาไว้
                ดูเหมือนแม่จะไม่ติดใจผมนักเพราะเหตุผลที่พี่นุชบอกคือสิ่งที่แม่และทุกคนเห็นอยู่ทุกวัน 
                ผมคงเป็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบไม่กี่คนในโลกนี้ที่ไม่มีความสุขกับการได้คุยกับใคร !!
                ตกลงวันนั้นพวกผมห้าคนต้องเอาน้ำลูบท้องแทนข้าวเย็น  เมื่อเข้านอนผมรู้สึกได้ว่าพี่นุช  พี่ส้ม พี่เปี๊ยกและพี่สร้อย  แอบกระซิบคุยกันเหมือนปรึกษาอะไรบางอย่างอยู่จนดึก 
ความเพลียทำให้ผมเผลอหลับไปโดยไม่รับรู้อะไรเลย

.....................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น