เครื่องมือหากิน
ภาพจาก http://www.unhcr.org/4581673b2.html จีรวัฒน์ ครองแก้ว
พ่อจะทำเหมือนกันเกือบทุกวันคือขับรถวนหาจุดที่จะปล่อยพวกเราไปขายหนังสือประมาณสองถึงสามรอบเพื่อให้แน่ใจเส้นทางและจุดที่จะนัดหมายกันตอนกลับ
เท่าที่จำได้เราจะไม่วนกลับมาที่เดิมในวันรุ่งขึ้น เป้าหมายของพ่อเปลี่ยนไปทุกวัน แต่อาจจะมีนานๆ ครั้งที่เราอาจจะได้กลับมาที่เดิม ถ้าพ่อขับรถไปบนเส้นทางใหม่แล้วเจอสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเจอ
“ข้างหน้ามีตำรวจ !!”
สิ้นเสียงแม่พ่อจะกลับรถทันที และวันนั้นเราอาจจะต้องกลับมาขายหนังสือที่เดิม
สิ้นเสียงแม่พ่อจะกลับรถทันที และวันนั้นเราอาจจะต้องกลับมาขายหนังสือที่เดิม
มันเป็นสิ่งที่พ่อและแม่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนไม่เคยเบื่อหน่าย แต่สำหรับพวกผม ความเบื่อหน่ายที่เคยมีดูเหมือนจะลอยผ่านพ้นความรู้สึกของเราไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่ความชาชินที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะถูกลบออกไป
เมื่อแน่ในแล้วว่าเป้าหมายของวันนั้นอยู่ตรงไหน พ่อจะหาที่เหมาะๆ เพื่อจอดรถ จากนั้นจะพูดกับพวกเราด้วยประโยคที่แทบจะเหมือนกันทุกวัน
“พวกเอ็งจำไว้นะว่าเดินให้ครบทุกหลัง พอสุดซอยแล้วย้อนกลับมาที่เดิม พวกข้าจะรออยู่ตรงนี้”
เมื่อพ่อพูดเสร็จแม่จะสำทับต่อว่า “ไอ้บอยวันนี้เอ็งไปกับอีนุชก็แล้วกัน แล้วดูพี่เขาด้วยว่าเขาทำยังไงบ้างอีกหน่อยเอ็งก็ต้องทำเหมือนกัน”
“และไม่ต้องบอกใครว่าพวกข้าอยู่ตรงไหน”
มันเป็นประโยคที่สำคัญที่สุดของทุกๆ วัน
มันเป็นประโยคที่สำคัญที่สุดของทุกๆ วัน
ผมกับพวกพี่ๆ
จะถูกแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกพี่นุชกับพี่สร้อย ทีมที่สองมีพี่ส้มกับพี่เปี๊ยก เช่นเดียวกับหนังสือที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยไม่ต้องสนใจว่าใครอยากได้หนังสืออะไรไปบ้าง ขอให้มันเป็นหนังสือก็พอ
ผมเดินตามพี่นุชกับพี่สร้อยเข้าไปในซอย สองมืออุ้มหนังสือไว้ที่อก พี่นุชพาเดินแยกออกจากพี่ส้มกับพี่เปี๊ยกมาอีกซอยหนึ่งแล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นมะม่วง
“ถ้าเขาพูดอะไรเอ็งสองคนแค่พยักหน้าก็พอเดี๋ยวข้าจัดการเอง” พี่นุชบอกผมกับพี่สร้อย
เพียงแค่อึดใจเสียงหญิงวัยกลางคนก็ดังมาจากในบ้าน
“หนั้นครัย ม่าห๊าครัย ?”
สำเนียงใต้แท้ๆ ของเธอทำให้ผมต้องเดาคำถาม
สำเนียงใต้แท้ๆ ของเธอทำให้ผมต้องเดาคำถาม
หญิงคนนั้นเปิดประตูรั้วบ้านออกมา
หน้าตาและผิวคล้ำแบบผู้หญิงใต้ทั่วไป สังเกตจากผมที่เริ่มแซมขาวเธอน่าจะอายุมากกว่าแม่สักสี่ห้าปี
หน้าตาเธอดูใจดีกว่าที่ผมคิดไว้แต่ก็กวาดสายตามองเราสามคนอย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยปากถาม
“เธอมาทำไมกัน
มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า
?”
เธอคงรู้ว่าเราไม่ใช่เด็กใต้แน่ๆ จึงดึงสำเนียงพูดให้ช้าลงจนฟังเนิบนาบ
เธอคงรู้ว่าเราไม่ใช่เด็กใต้แน่ๆ จึงดึงสำเนียงพูดให้ช้าลงจนฟังเนิบนาบ
“เรามาขายหนังสือจ๊ะคุณป้า”
พี่นุชพูดพลางชี้มาทางผมที่กำลังแทรกตัวเข้าไปยื่นหนังสือให้เธอเห็นใกล้ๆ
ลูกค้ารายแรกของวันก้มลงมองหนังสือแล้วเอื้อมมือมาหยิบมันไปดูด้วยแววตาที่ระคนสงสัย
“นี่มันหนังสือเก่าเป็นปีแล้วนี่หนู
!!”
เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังดูประหลาดใจเล็กน้อย
เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังดูประหลาดใจเล็กน้อย
“เก่าแต่ยังอ่านได้นะค่ะคุณป้า”
พี่สร้อยพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พี่นุชจะเอื้อมมือไปสะกิดที่แขนแล้วขยิบตาให้
พี่สร้อยพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่พี่นุชจะเอื้อมมือไปสะกิดที่แขนแล้วขยิบตาให้
เธอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วค่อยๆ
กวาดสายตาดูเราทีละคนอีกครั้งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“อืม....
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเธอเอาเงินนี่ไป
ฉันไม่เอาหนังสือหรอก”
เธอล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่นุช ผมสังเกตเห็นได้ว่ามันเป็นธนบัตรใบยี่สิบบาทสามใบ
เธอล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่นุช ผมสังเกตเห็นได้ว่ามันเป็นธนบัตรใบยี่สิบบาทสามใบ
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอตั้งใจให้เงินเราทั้งสามคน
“ขอบคุณค่ะคุณป้า”
พี่นุชยกมือไหว้พร้อมๆ กับผมและพี่สร้อย ก่อนจะเดินจากมาอย่างเงียบๆ
พี่นุชยกมือไหว้พร้อมๆ กับผมและพี่สร้อย ก่อนจะเดินจากมาอย่างเงียบๆ
เมื่อเดินมาสักพักจนแน่ใจว่าคุณป้าเดินหายเข้าไปในบ้านแล้ว
พี่นุชหันมาทางพี่สร้อยแล้วหยิกเข้าที่หัวไหล่ก่อนจะออกปากดุ
“ข้าบอกแล้วไงว่าให้อยู่เฉยๆ
ไม่ต้องพูดมาก”
“โอ๊ย !! ก็ฉันอยากช่วยพี่นี่จะได้ขายหนังสือซะที” พี่สร้อยเถียง
“ขายหรือไม่ขายมันไม่สำคัญหรอก เอ็งไม่เห็นเหรอป้าเขาก็ให้ตังค์อยู่ดี”
“ข้าเอ่อ...”
พี่สร้อยเงียบเสียงไปเหมือนจำนนด้วยหลักฐาน
พี่สร้อยเงียบเสียงไปเหมือนจำนนด้วยหลักฐาน
ความจริงของทุกวันที่เราออกมาเดินขายหนังสือก็คือ ผมยังไม่เห็นใครจ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสือของเราแม้แต่คนเดียว อาจจะมีคนหยิบมันขึ้นไปดูบ้างเหมือนคุณป้าคนนี้
แต่ในที่สุดก็ทำเหมือนๆ
กันคือไม่ใยดีกับมัน
หลังจากพลิกดูหนังสือเก่าคร่ำครึและสำรวจความมอมแมมของพวกเราสามคนแล้ว ทุกอย่างมันก็จะดำเนินไปตามวิถีทางของมัน ด้วยประโยคและความหมายที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ
“พวกเอ็งเอาเงินนี่ไปก็แล้วกัน”
“ข้าไม่เอาหนังสือหรอกแต่ถ้าจะขอเงินล่ะข้าให้แค่นี้ก็พอ”
“เล่มละเท่าไหร่ ยี่สิบเหรอ
เอ้านี่
แต่พวกหนูเก็บหนังสือไว้เถอะ” และอีกสารพัดคำพูดที่บางทีฟังดูเหมือนตัดรำคาญ ผมเคยถามพี่นุชเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่ซื้อหนังสือของเรา
“ไม่มีใครเอาหนังสือเฮงซวยนั่นหรอก เก่าก็เก่า
ขาดก็ขาดแถมสกปรกอีกต่างหาก” พี่นุชตอบ
“อ้าว !! แล้วเราเอามาทำไมให้มันหนัก
?”
ผมถามในฐานะที่ต้องเป็นคนอุ้มหนังสือยี่สิบเล่มไปตลอดทาง มันเป็นเรื่องสนุกซะที่ไหนสำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบ
ผมถามในฐานะที่ต้องเป็นคนอุ้มหนังสือยี่สิบเล่มไปตลอดทาง มันเป็นเรื่องสนุกซะที่ไหนสำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบ
“มันเป็นเครื่องมือหากินเอ็งเข้าใจหรือเปล่า” พี่นุชย้ำ
@@@@@
แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะโชคดีเสมอไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะให้เงินเราง่ายๆ
เหมือนคุณป้าคนนั้น
บางคนซักไซ้ไล่เรียงพวกเราเหมือนผู้ต้องหาแถมคาดคั้นด้วยว่าพ่อกับแม่อยู่ที่ไหน
มีหลายครั้งที่เราโดนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา
แต่อะไรก็ไม่ทำให้เราสะดุ้งเท่าคำที่ตะโกนไล่หลังมา
“ไอ้ขอทาน !!”
“ไอ้ขอทาน !!”
หลังจากวิ่งหนีจนลับตาคนผมกับพี่ๆ
ก็หาที่เหมาะๆ นั่งพักเพื่อให้หายเหนื่อย
“สักวันข้าจะเลิกเป็นขอทาน !!”
พี่นุชพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
พี่นุชพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ผมกับพี่สร้อยมองหน้ากัน ความรู้สึกตอนนั้นมันปนเปกันไปหมดระหว่างความเข้าใจและปั่นป่วนใจ
ทั้งๆ ที่อยากคล้อยตามแต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หรือว่าผมอาจจะยังไม่รู้อะไรเท่าพวกพี่ๆ
ก็เป็นได้
วันไหนที่พวกเราเดินขายหนังสือกันหลายชั่วโมงแล้วยังไม่ได้เงินหรือได้น้อยจนน่าใจหาย พี่นุชจะพาพวกเราหยุดพักแบบไม่มีสาเหตุ
“คอยดูนะ กูจะไปมันให้พ้นๆ”
พี่นุชพูดขึ้นลอยๆ แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา
พี่นุชพูดขึ้นลอยๆ แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ผมรู้ว่าพี่นุชไม่ได้เหนื่อยเช่นเดียวกับพี่สร้อยที่กระเถิบเข้าไปกอดแขนแล้วเอาแก้มอันมอมแมมซบลงไปบนไหล่ของพี่สาว
ส่วนผมเริ่มได้ยินเสียงไม้เรียวดังแว่วมาไกลๆ
!!
จำได้ว่าวันนั้นพี่นุชได้เงินแค่ร้อยห้าสิบบาท ส่วนพี่เปี๊ยกได้สองร้อยบาท หลังจากเดินเข้าออกบ้านทุกหลังในซอยนั้นกว่าห้าชั่วโมง ผมหิวจนท้องร้องเรียกแล้วเรียกอีก แต่ก็ข่มความหิวเอาไว้เมื่อคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราตอนกลับถึงบ้าน
เมื่อมาถึงรถ พี่นุชและพี่เปี๊ยกล้วงเงินในกระเป๋าให้แม่รวมกันได้แค่สามร้อยห้าสิบบาทอย่างที่บอกจริงๆ เป็นรายได้ต่ำสุดเท่าที่ผมจำได้
เพราะทุกวันที่เราออกมาอย่างน้อยต้องได้เงินพันกลับบ้าน บางวันถึงกับได้หลายพันก็มี
“นี่อะไร
?” แม่ถามเสียงเข็ง
“คือๆ
วันนี้ไม่มีคนค่อยจะให้ตังค์เลยจ๊ะ”
พี่นุชตอบเสียงอ่อย
“เอ็งแน่ใจนะ”
แม่ไม่พูดเปล่าแต่เอื้อมมือไปบิดที่ใบหูของพี่นุชจนม้วนเกือบเป็นวงกลม
แม่ไม่พูดเปล่าแต่เอื้อมมือไปบิดที่ใบหูของพี่นุชจนม้วนเกือบเป็นวงกลม
“แถวนี้ชาวบ้านเขาไม่ชอบให้ใครมากวนจ๊ะ ..โอ๊ยหนูเจ็บ” พี่นุชพยายามอธิบายแต่มือของแม่ยังบิดใบหูของพี่นุชไม่หยุด
“จริงๆ
แม่ฉันก็ว่าอย่างนั้น”
พี่เปี๊ยกช่วยอีกแรง
“วันนี้ไม่ต้องกินข้าว”
แม่เอื้อมมือไปหยิบถุงเสบียงเดินหนีไปนั่งหน้ารถกับพ่อก่อนจะหันมาสำทับกับพวกเราว่า “เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยคิดบัญชีกัน”
แม่เอื้อมมือไปหยิบถุงเสบียงเดินหนีไปนั่งหน้ารถกับพ่อก่อนจะหันมาสำทับกับพวกเราว่า “เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยคิดบัญชีกัน”
ระยะทางจากตลาดหาดใหญ่ถึงบ้านปกติจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่สำหรับวันนั้นผมรู้สึกว่าระยะทางกลับบ้านมันถูกยืดออกไปไกลทั้งๆ
ที่พ่อก็ขับรถกลับทางเดิม
พี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยนั่งซบกันร้องไห้ไปตลอดทาง
ส่วนพี่เปี๊ยกนั่งเอามือลูบหัวผมตาเหม่อลอยออกไปเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
ส่วนผม..
การต้องอดข้าวเกือบทั้งวันก็ทรมานสาหัสพออยู่แล้ว แต่การที่ต้องมารับรู้ว่าใครคือคนที่ต้องการให้เราอดอยากทรมาน มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดกว่าหลายเท่า
เมื่อถึงบ้านแม่เรียกพวกเรามายืนเรียงหน้ากระดาน
“อีนุช.. เอ็งไปพูดอะไรกับชาวบ้านเขาหรือเปล่า ?”
แม่ยืนเท้าสะเอวนัยน์ตาเขียวด้วยความโกรธ
แม่ยืนเท้าสะเอวนัยน์ตาเขียวด้วยความโกรธ
“เปล่าจ๊ะ”
พี่นุชส่ายหน้า น้ำตาที่เหือดแห้งไปดูคล้ายคนที่หมดอาลัยในชีวิต
พี่นุชส่ายหน้า น้ำตาที่เหือดแห้งไปดูคล้ายคนที่หมดอาลัยในชีวิต
“ฉันก็เปล่า” พี่ส้ม
พี่สร้อยและพี่เปี๊ยกพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
“หรือว่าเอ็ง ไอ้บอย”
แม่หันมาถามผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
แม่หันมาถามผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
ผมสะดุ้งถอยกรูดไปเกาะเอวพี่นุช
“วันนี้ฉันยังไม่ได้ยินเสียงมันพูดอะไรเลยสักคำ”
พี่นุชช่วยผมเอาไว้
พี่นุชช่วยผมเอาไว้
ดูเหมือนแม่จะไม่ติดใจผมนักเพราะเหตุผลที่พี่นุชบอกคือสิ่งที่แม่และทุกคนเห็นอยู่ทุกวัน
ผมคงเป็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบไม่กี่คนในโลกนี้ที่ไม่มีความสุขกับการได้คุยกับใคร
!!
ตกลงวันนั้นพวกผมห้าคนต้องเอาน้ำลูบท้องแทนข้าวเย็น เมื่อเข้านอนผมรู้สึกได้ว่าพี่นุช พี่ส้ม พี่เปี๊ยกและพี่สร้อย แอบกระซิบคุยกันเหมือนปรึกษาอะไรบางอย่างอยู่จนดึก
ความเพลียทำให้ผมเผลอหลับไปโดยไม่รับรู้อะไรเลย
.....................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น