วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 6)


ปมปริศนา


ภาพจาก  http://tribune.com.pk                                                                          จีรวัฒน์ ครองแก้ว


              เมื่อกลับมาบ้านในเย็นวันนั้นความประหลาดใจก็เกิดขึ้นกับพวกผมมากขึ้นไปอีก  โดยเฉพาะกับพี่สาวทั้งสามคน 
แม่เรียกพี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยเข้าไปหาพร้อมกับหยิบถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาวางไว้กลางบ้าน
                “พวกเอ็งเป็นสาวแล้วต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดีหน่อย” 
แม่หยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงใบนั้น  มันเป็นเสื้อยืดคอวีลายดอกไม้กับกางเกงสามส่วนสีพื้นรวมสามชุด
                ผมแทรกตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นได้ชัดๆ
กลิ่นเสื้อผ้าใหม่ลอยเตะจมูกเป็นครั้งแรกในชีวิต !!
                “นี่ของนุช นี่ของส้มและนี่ของสร้อย” 
แม่แจกเสื้อผ้าให้พี่สาวทั้งสามคนของผมคนละชุด  น้ำเสียงของเธอฟังดูเปลี่ยนไป  สรรพนามสำหรับพี่สาวทั้งสามคนที่เคยมีอีนำหน้าตอนนี้ได้หายไปแล้ว  แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ยินดียินร้ายกับเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมชุดแรกในชีวิตกับสำเนียงที่ฟังรื่นหูกว่าเมื่อก่อนของแม่นักแต่ยังไงก็ต้องรับมันไว้  คงมีพี่สร้อยเท่านั้นที่หยิบเสื้อมาทาบอกแล้วทำตาพองโต
                “แต่อย่างเพิ่งใส่นะเดี๋ยวมันจะเก่าซะหมด  เอาไว้ใส่อาทิตย์หน้า” 
แม่บอกราวกับว่าเสื้อผ้าใหม่เหล่านั้นมันสำคัญกับวาระอะไรบางอย่าง
                “เฮ้ย... อาทิตย์น่งอาทิตย์หน้าอะไรกัน  เอ็งนี่เลอะเทอะ” 
เสียงพ่อตวาดแม่มาจากวงเหล้าหลังบ้าน
                “เอ่อ... คือ คือหมายถึงว่ายังไม่ต้องใส่มันหรอก  รอให้ตัวเก่ามันขาดก่อนนะ” 
แม่รับคำพ่อด้วยท่าทางอึกอัก  พี่เปี๊ยกหันมาทางผมแล้วหลิ่วตาเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
                ยังไม่หมดแค่นั้นแม่ล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในถุงกระดาษใบนั้นอีกครั้ง  มันเป็นกล่องอะไรสักอย่างขนาดเหมาะมือ
                “และนี่แป้งผัดหน้าเอ็งสามคนเอาไปใช้  เนื้อตัวจะได้หอมๆ เหมือนสาวๆ ในตลาดกับเขามั่ง” 
แม่ยื่นกล่องแป้งให้พี่นุช  เธอรับมันด้วยอาการเรียบเฉยเช่นเดิม
                คืนนั้นแม่ให้พวกเราเข้านอนเร็วกว่าปกติแถมกำชับพี่สาวทั้งสามคนว่าต่อไปนี้ให้นอนเร็วขึ้นเพราะร่างกายจะได้พักผ่อน  จะได้ดูไม่หมองและมีน้ำมีนวลขึ้น
                ดูเหมือนพี่นุชจะตีความหมายของแม่ออกมากกว่าใคร  แววตาที่ดูไม่ยินดียินร้ายและเฉยเรียบในตอนนี้ดูเหมือนคนเย็นชาไปแล้ว  แต่ก็พยายามที่จะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาให้ดูผิดสังเกต
                การนอนเร็วขึ้นกว่าปกติทำให้ผมกระสับกระส่าย  อาการนอนไม่หลับของเด็กวัยเจ็ดขวบทำให้ต้องพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบจนพี่เปี๊ยกหันมากระซิบถาม
                “ไอ้บอย... เอ็งเป็นอะไรวะคืนนี้  นอนไม่หลับเหรอ ?” 
เสียงพี่เปี๊ยกแผ่วเบาแต่ก็พอที่จะได้ยินกันเพียงสองคน  ในขณะที่ผมพยักหน้ารับก่อนที่จะกระซิบถามกลับไป
                “ทำไมเราไม่ไปกับพี่นุชล่ะ ?”
                พี่เปี๊ยกนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ 
“เราเป็นลูกผู้ชายต้องเสียสละ  ถ้าไปกันหลายคนคงลำบากแน่” 
                ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนักจึงเอื้อมมือมาจับหัวผมแล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า  “แต่ข้าสัญญาว่าข้าจะพาเอ็งไปจากที่นี่ให้ได้ !!
@@@@@
                รุ่งเช้าในแต่ละวันกลายเป็นวันที่มีความหมายสำหรับพี่สาวทั้งสามคนของผม  พวกเธอนับวันถอยหลังด้วยใจระทึก
                แต่สำหรับวันนี้ดูเหมือนจะระทึกใจยิ่งกว่าเมื่อวาน !!
                ยังไม่ทันที่พ่อจะสตาร์ทเครื่องรถพาพวกเราออกจากบ้านเหมือนเช่นทุกวัน  รถคันนั้นก็ขับสวนเข้ามาเสียก่อนและมันได้กลายเป็นสิ่งระทึกใจสำหรับวันนี้ขึ้นมาทันที
                “ไอ้หน้าบา...” 
พี่สร้อยอุทานยังไม่ทันจะสิ้นคำพี่นุชต้องรีบเอามือไปปิดปากไว้ก่อน
                ต้นเหตุของข่าวร้ายเดินมายืนคุยกับพ่อที่ยังไม่ทันได้ลงจากรถ
                “เจ๊เขาอยากคุยเงื่อนไขอะไรอีกนิดหน่อย  และก็เรื่องเงินๆทองๆ ด้วย” 
ชายหน้าบากเอ่ยกับพ่อ
                “เอ็งไม่คุยแทนข้าไปเลยวะไอ้พวน”  พ่อพูด
                “ลำพังข้าเองไม่มีปัญหาหรอก  แต่เจ๊สิแกต้องการความมั่นใจว่าเด็กมันจะ.........” 
ชายหน้าบากลากเสียงยาวแล้วชำเลืองมองมาทางพวกเรา  ทุกคนต่างหลบสายตาเหี้ยมเกรียมนั้นทันที
                “เออ.. ไปก็ไปคุยที่นี่ไม่เหมาะว่ะ” 
เสียงพ่อตัดบทแล้วหันไปพยักหน้ากับแม่
                “วันนี้ข้ามีธุระด่วน  พวกเอ็งลงไปอยู่ในบ้านก่อน” 
แม่เดินมาบอกพวกเรา  แต่ยังไม่สิ้นเสียงพี่สร้อยก็กระโดดลงจากรถเป็นคนแรกก่อนที่เสียงพ่อจะตะโกนไล่หลัง
                “อย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงแอบไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้นไม่งั้นกลับมาหลังลายแน่” 
                ในขณะที่แม่เริ่มทำดีกับพี่สาวทั้งสามคนจนผิดสังเกต  แต่สำหรับพ่อ  เขายังคงดุดันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
                พวกผมทั้งห้าคนเดินเข้าไปในบ้าน  พี่นุชทำทีเป็นปิดประตูลงกลอนและเดินไปที่หน้าต่าง  ค่อยๆ แอบดูว่าพวกเขาจะขับรถออกไปเมื่อไหร่ 
                ผมเริ่มรับรู้ได้ในทันทีว่า  ช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป  ความตื่นเต้นระทึกใจจะเข้ามาเยือนมากขึ้นทุกวัน
                ทันทีที่เสียงรถทั้งสองคันเคลื่อนตัวพ้นห่างออกไป  พี่นุชเรียกทุกคนมานั่งล้อมวงกลางบ้าน คำพูดแรกที่หลุดจากปากของเธอหนักแน่นกว่าทุกครั้งที่ผมเคยได้ยิน
                “อีกสามวันเราจะหนี !!
                “พี่รู้แล้วเหรอว่าเราจะไปไหนกัน” 
พี่สร้อยสอดขึ้นเป็นคนแรกไม่เคยพลาด
                “บ้านลุงใจดี”  พี่นุชเปรย
                “ลุงใจดีไหนกัน”  พี่ส้มถาม
                “เมื่อวานข้าเจอลุงใจดีที่บ้านหลังใหญ่  ข้าเชื่อว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่โจรแน่” 
พี่นุชพูดอย่างมั่นใจ
                “แล้วพี่นุชจะไปยังไง” 
พี่เปี๊ยกถามขึ้น
                “ข้ามีเบอร์โทรศัพท์”
พี่นุชตอบด้วยแววตาที่มีความหวัง
                “ข้าหมายถึงพี่นุชจะนั่งรถอะไรไปเราไม่มีรถ  แล้วหาดใหญ่ก็อยู่ไกลจากที่นี่เกือบชั่วโมง” 
คำพูดย้ำของพี่เปี๊ยกดูเหมือนจะทำให้พี่ส้มและพี่สร้อยเครียดขึ้นมาในทันที
                “ข้าไม่รู้เหมือนกัน  แต่ข้าจะต้องไปให้ได้” 
พี่นุชเน้นเสียงหนักแน่น  นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนเติมความโกรธที่มีทั้งหมดเอาไปไว้รวมกัน
                “ว่าแต่เอ็งกับไอ้บอยแน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปด้วยกัน ?” 
พี่นุชหันมาถามพี่เปี๊ยก
                “พี่นุชไปกันสามคนก่อนเถอะ  ดูซิแค่คิดจะไปกันสามคนยังหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ แล้วถ้าขนกันไปหมดนี่  ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาเราจะซวยกันหมด”   พี่เปี๊ยกตอบ
                “เชื่อข้าเถอะ  ข้าไม่อยากให้ไอ้บอยมันโตขึ้นมาเหมือนพวกเราหรอก  ข้าอยากให้มันมีอนาคตดีๆ ที่สำคัญ....”  
พี่เปี๊ยกย้ำความตั้งใจแล้วเงียบไป
                “ที่สำคัญอะไร” 
พี่สร้อยสอดขึ้น  พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผม 
“ไอ้บอยมันอาจจะได้เจอพ่อแม่จริงๆ ของมันก็ได้”   
                พี่นุชพยักหน้ารับทำให้ทุกหันกลับมาคุยถึงเรื่องการหนีของพี่สาวทั้งสามคนอีกครั้ง
                “ลองไปถามเด็กฝั่งโน้นมั๊ยเผื่อพวกมันมีรถ” 
พี่สร้อยโพล่งขึ้นอีกคราวนี้พี่เปี๊ยกกำมือเขกไปบนหัวพี่สร้อย 
“ปัทโธ่ !  มันจะมีรถได้ยังไงตัวเท่าลูกหมาทั้งนั้น  เอ็งจะหนีไปเล่นกับพวกมันซิไม่ว่า” 
                “โธ่.. ก็แค่คิดเอง” 
พี่สร้อยทำเสียงอ่อยแล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง
                “ก็ดีเหมือนกันเผื่อจะคิดอะไรออก” 
พี่นุชลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ  ทุกคนลุกขึ้นตามยกเว้นผม
                “อ้าวไอ้บอยเอ็งไม่ไปเหรอ” 
พี่ส้มหันมาถามผม
                “ไป  แต่...” 
ผมตอบไปด้วยอาการที่รู้สึกอึดอัดอะไรบางอย่าง
                “แต่อะไร” 
พี่เปี๊ยกถาม
                “ปวดท้องอึ” 
ผมตอบแบบอายๆ
                “ปัทโธ่  ไม่เป็นไรถ้าอย่างนั้นเอ็งตามไปทีหลังก็แล้วกัน” 
พี่เปี๊ยกพูดขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของพี่ส้มกับพี่สร้อย 
                ทุกคนเดินหายออกจากบ้านไปแล้ว  ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ  พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกองหนังสือที่ตัวเองวางไว้ที่มุมห้อง  ทำให้นึกขึ้นได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ผมควรจะทำก่อนไปเข้าห้องน้ำ
                ผมค่อยๆ หยิบหนังสือเล่มล่างสุดซึ่งหนาที่สุดออกมา  ลักษณะมันไม่ใช่หนังสือดาราอย่างแน่นอน  ประการแรกตัวหนังสือและรูปหน้าปกที่เห็นเป็นขาวดำทั้งหมด  ตรงกลางปกมีรูปครึ่งตัวของหญิงวัยชราคนหนึ่ง  มันดูเหมือนภาพสมัยโบราณอย่างน้อยก็น่าจะก่อนผมเกิดเสียอีก  กรอบรูปบนหน้าปกนั้นมีลายไทยล้อมรอบ  เมื่อเปิดเข้าไปด้านในก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหนังสืองานศพ  เพราะรูปงานศพของหญิงคนนั้นพิมพ์หราอยู่หลายรูป
                ผมพลิกไปจนถึงหน้าที่มีกระดาษแผ่นนั้นซ่อนอยู่  มันคงถูกพับไว้ในหนังสือเล่มนี้มานานพอดู  สีของกระดาษที่เคยขาวจึงเหลืองและเก่าซีด 
เมื่อกางกระดาษออก  มันทำให้ผมใจหายวูบ !!
กลางกระดาษมีตัวหนังสือเขียนไว้สี่ห้าคำที่ผมอ่านไม่ออก  แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ  ตัวหนังสือเหล่านั้นไม่ได้เขียนหรือพิมพ์ด้วยหมึกธรรมดาอย่างที่ผมเคยเห็นในหนังสือเล่มอื่นๆ  ลักษณะของหมึกมันซึมกระจัดกระจายจนแทบจะไม่เป็นตัวหนังสือ  แต่สำหรับคนที่อ่านหนังสือได้เชื่อว่าจะต้องอ่านรู้เรื่องอย่างแน่นอน 
พื้นที่ของกระดาษที่เหลือมีรอยหมึกหยดเป็นดวงเปรอะไปหมด   ผมพิจารณารอยหมึกและตัวหนังสือนั้นอีกครั้ง  มันทำให้ผมนึกถึงบางอย่างขึ้นมาในทันที 
มันไม่ใช่หมึก  เป็นตัวหนังสือที่เขียนด้วยเลือด !!
……………

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น