ปมปริศนา
ภาพจาก http://tribune.com.pk จีรวัฒน์ ครองแก้ว
เมื่อกลับมาบ้านในเย็นวันนั้นความประหลาดใจก็เกิดขึ้นกับพวกผมมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับพี่สาวทั้งสามคน
แม่เรียกพี่นุช
พี่ส้มและพี่สร้อยเข้าไปหาพร้อมกับหยิบถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาวางไว้กลางบ้าน
“พวกเอ็งเป็นสาวแล้วต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดีหน่อย”
แม่หยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงใบนั้น
มันเป็นเสื้อยืดคอวีลายดอกไม้กับกางเกงสามส่วนสีพื้นรวมสามชุด
ผมแทรกตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นได้ชัดๆ
กลิ่นเสื้อผ้าใหม่ลอยเตะจมูกเป็นครั้งแรกในชีวิต
!!
“นี่ของนุช
นี่ของส้มและนี่ของสร้อย”
แม่แจกเสื้อผ้าให้พี่สาวทั้งสามคนของผมคนละชุด น้ำเสียงของเธอฟังดูเปลี่ยนไป
สรรพนามสำหรับพี่สาวทั้งสามคนที่เคยมีอีนำหน้าตอนนี้ได้หายไปแล้ว แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ยินดียินร้ายกับเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมชุดแรกในชีวิตกับสำเนียงที่ฟังรื่นหูกว่าเมื่อก่อนของแม่นักแต่ยังไงก็ต้องรับมันไว้ คงมีพี่สร้อยเท่านั้นที่หยิบเสื้อมาทาบอกแล้วทำตาพองโต
“แต่อย่างเพิ่งใส่นะเดี๋ยวมันจะเก่าซะหมด เอาไว้ใส่อาทิตย์หน้า”
แม่บอกราวกับว่าเสื้อผ้าใหม่เหล่านั้นมันสำคัญกับวาระอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย...
อาทิตย์น่งอาทิตย์หน้าอะไรกัน
เอ็งนี่เลอะเทอะ”
เสียงพ่อตวาดแม่มาจากวงเหล้าหลังบ้าน
“เอ่อ... คือ คือหมายถึงว่ายังไม่ต้องใส่มันหรอก รอให้ตัวเก่ามันขาดก่อนนะ”
แม่รับคำพ่อด้วยท่าทางอึกอัก พี่เปี๊ยกหันมาทางผมแล้วหลิ่วตาเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
ยังไม่หมดแค่นั้นแม่ล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในถุงกระดาษใบนั้นอีกครั้ง มันเป็นกล่องอะไรสักอย่างขนาดเหมาะมือ
“และนี่แป้งผัดหน้าเอ็งสามคนเอาไปใช้ เนื้อตัวจะได้หอมๆ เหมือนสาวๆ
ในตลาดกับเขามั่ง”
แม่ยื่นกล่องแป้งให้พี่นุช เธอรับมันด้วยอาการเรียบเฉยเช่นเดิม
คืนนั้นแม่ให้พวกเราเข้านอนเร็วกว่าปกติแถมกำชับพี่สาวทั้งสามคนว่าต่อไปนี้ให้นอนเร็วขึ้นเพราะร่างกายจะได้พักผ่อน จะได้ดูไม่หมองและมีน้ำมีนวลขึ้น
ดูเหมือนพี่นุชจะตีความหมายของแม่ออกมากกว่าใคร แววตาที่ดูไม่ยินดียินร้ายและเฉยเรียบในตอนนี้ดูเหมือนคนเย็นชาไปแล้ว แต่ก็พยายามที่จะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาให้ดูผิดสังเกต
การนอนเร็วขึ้นกว่าปกติทำให้ผมกระสับกระส่าย อาการนอนไม่หลับของเด็กวัยเจ็ดขวบทำให้ต้องพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบจนพี่เปี๊ยกหันมากระซิบถาม
“ไอ้บอย...
เอ็งเป็นอะไรวะคืนนี้ นอนไม่หลับเหรอ
?”
เสียงพี่เปี๊ยกแผ่วเบาแต่ก็พอที่จะได้ยินกันเพียงสองคน ในขณะที่ผมพยักหน้ารับก่อนที่จะกระซิบถามกลับไป
“ทำไมเราไม่ไปกับพี่นุชล่ะ ?”
พี่เปี๊ยกนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ
“เราเป็นลูกผู้ชายต้องเสียสละ ถ้าไปกันหลายคนคงลำบากแน่”
ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนักจึงเอื้อมมือมาจับหัวผมแล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า “แต่ข้าสัญญาว่าข้าจะพาเอ็งไปจากที่นี่ให้ได้ !!”
@@@@@
รุ่งเช้าในแต่ละวันกลายเป็นวันที่มีความหมายสำหรับพี่สาวทั้งสามคนของผม พวกเธอนับวันถอยหลังด้วยใจระทึก
แต่สำหรับวันนี้ดูเหมือนจะระทึกใจยิ่งกว่าเมื่อวาน
!!
ยังไม่ทันที่พ่อจะสตาร์ทเครื่องรถพาพวกเราออกจากบ้านเหมือนเช่นทุกวัน
รถคันนั้นก็ขับสวนเข้ามาเสียก่อนและมันได้กลายเป็นสิ่งระทึกใจสำหรับวันนี้ขึ้นมาทันที
“ไอ้หน้าบา...”
พี่สร้อยอุทานยังไม่ทันจะสิ้นคำพี่นุชต้องรีบเอามือไปปิดปากไว้ก่อน
ต้นเหตุของข่าวร้ายเดินมายืนคุยกับพ่อที่ยังไม่ทันได้ลงจากรถ
“เจ๊เขาอยากคุยเงื่อนไขอะไรอีกนิดหน่อย และก็เรื่องเงินๆทองๆ ด้วย”
ชายหน้าบากเอ่ยกับพ่อ
“เอ็งไม่คุยแทนข้าไปเลยวะไอ้พวน” พ่อพูด
“ลำพังข้าเองไม่มีปัญหาหรอก แต่เจ๊สิแกต้องการความมั่นใจว่าเด็กมันจะ.........”
ชายหน้าบากลากเสียงยาวแล้วชำเลืองมองมาทางพวกเรา ทุกคนต่างหลบสายตาเหี้ยมเกรียมนั้นทันที
“เออ..
ไปก็ไปคุยที่นี่ไม่เหมาะว่ะ”
เสียงพ่อตัดบทแล้วหันไปพยักหน้ากับแม่
“วันนี้ข้ามีธุระด่วน พวกเอ็งลงไปอยู่ในบ้านก่อน”
แม่เดินมาบอกพวกเรา แต่ยังไม่สิ้นเสียงพี่สร้อยก็กระโดดลงจากรถเป็นคนแรกก่อนที่เสียงพ่อจะตะโกนไล่หลัง
“อย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงแอบไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้นไม่งั้นกลับมาหลังลายแน่”
ในขณะที่แม่เริ่มทำดีกับพี่สาวทั้งสามคนจนผิดสังเกต แต่สำหรับพ่อ
เขายังคงดุดันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
พวกผมทั้งห้าคนเดินเข้าไปในบ้าน
พี่นุชทำทีเป็นปิดประตูลงกลอนและเดินไปที่หน้าต่าง ค่อยๆ แอบดูว่าพวกเขาจะขับรถออกไปเมื่อไหร่
ผมเริ่มรับรู้ได้ในทันทีว่า ช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป ความตื่นเต้นระทึกใจจะเข้ามาเยือนมากขึ้นทุกวัน
ทันทีที่เสียงรถทั้งสองคันเคลื่อนตัวพ้นห่างออกไป พี่นุชเรียกทุกคนมานั่งล้อมวงกลางบ้าน คำพูดแรกที่หลุดจากปากของเธอหนักแน่นกว่าทุกครั้งที่ผมเคยได้ยิน
“อีกสามวันเราจะหนี !!”
“พี่รู้แล้วเหรอว่าเราจะไปไหนกัน”
พี่สร้อยสอดขึ้นเป็นคนแรกไม่เคยพลาด
“บ้านลุงใจดี” พี่นุชเปรย
“ลุงใจดีไหนกัน” พี่ส้มถาม
“เมื่อวานข้าเจอลุงใจดีที่บ้านหลังใหญ่ ข้าเชื่อว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่โจรแน่”
พี่นุชพูดอย่างมั่นใจ
“แล้วพี่นุชจะไปยังไง”
พี่เปี๊ยกถามขึ้น
“ข้ามีเบอร์โทรศัพท์”
พี่นุชตอบด้วยแววตาที่มีความหวัง
“ข้าหมายถึงพี่นุชจะนั่งรถอะไรไปเราไม่มีรถ แล้วหาดใหญ่ก็อยู่ไกลจากที่นี่เกือบชั่วโมง”
คำพูดย้ำของพี่เปี๊ยกดูเหมือนจะทำให้พี่ส้มและพี่สร้อยเครียดขึ้นมาในทันที
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้าจะต้องไปให้ได้”
พี่นุชเน้นเสียงหนักแน่น
นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนเติมความโกรธที่มีทั้งหมดเอาไปไว้รวมกัน
“ว่าแต่เอ็งกับไอ้บอยแน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปด้วยกัน ?”
พี่นุชหันมาถามพี่เปี๊ยก
“พี่นุชไปกันสามคนก่อนเถอะ ดูซิแค่คิดจะไปกันสามคนยังหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ
แล้วถ้าขนกันไปหมดนี่
ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาเราจะซวยกันหมด”
พี่เปี๊ยกตอบ
“เชื่อข้าเถอะ
ข้าไม่อยากให้ไอ้บอยมันโตขึ้นมาเหมือนพวกเราหรอก ข้าอยากให้มันมีอนาคตดีๆ ที่สำคัญ....”
พี่เปี๊ยกย้ำความตั้งใจแล้วเงียบไป
“ที่สำคัญอะไร”
พี่สร้อยสอดขึ้น พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผม
“ไอ้บอยมันอาจจะได้เจอพ่อแม่จริงๆ
ของมันก็ได้”
พี่นุชพยักหน้ารับทำให้ทุกหันกลับมาคุยถึงเรื่องการหนีของพี่สาวทั้งสามคนอีกครั้ง
“ลองไปถามเด็กฝั่งโน้นมั๊ยเผื่อพวกมันมีรถ”
พี่สร้อยโพล่งขึ้นอีกคราวนี้พี่เปี๊ยกกำมือเขกไปบนหัวพี่สร้อย
“ปัทโธ่
! มันจะมีรถได้ยังไงตัวเท่าลูกหมาทั้งนั้น เอ็งจะหนีไปเล่นกับพวกมันซิไม่ว่า”
“โธ่.. ก็แค่คิดเอง”
พี่สร้อยทำเสียงอ่อยแล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง
“ก็ดีเหมือนกันเผื่อจะคิดอะไรออก”
พี่นุชลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ ทุกคนลุกขึ้นตามยกเว้นผม
“อ้าวไอ้บอยเอ็งไม่ไปเหรอ”
พี่ส้มหันมาถามผม
“ไป แต่...”
ผมตอบไปด้วยอาการที่รู้สึกอึดอัดอะไรบางอย่าง
“แต่อะไร”
พี่เปี๊ยกถาม
“ปวดท้องอึ”
ผมตอบแบบอายๆ
“ปัทโธ่ ไม่เป็นไรถ้าอย่างนั้นเอ็งตามไปทีหลังก็แล้วกัน”
พี่เปี๊ยกพูดขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของพี่ส้มกับพี่สร้อย
ทุกคนเดินหายออกจากบ้านไปแล้ว ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกองหนังสือที่ตัวเองวางไว้ที่มุมห้อง ทำให้นึกขึ้นได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ผมควรจะทำก่อนไปเข้าห้องน้ำ
ผมค่อยๆ
หยิบหนังสือเล่มล่างสุดซึ่งหนาที่สุดออกมา
ลักษณะมันไม่ใช่หนังสือดาราอย่างแน่นอน
ประการแรกตัวหนังสือและรูปหน้าปกที่เห็นเป็นขาวดำทั้งหมด
ตรงกลางปกมีรูปครึ่งตัวของหญิงวัยชราคนหนึ่ง มันดูเหมือนภาพสมัยโบราณอย่างน้อยก็น่าจะก่อนผมเกิดเสียอีก กรอบรูปบนหน้าปกนั้นมีลายไทยล้อมรอบ
เมื่อเปิดเข้าไปด้านในก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหนังสืองานศพ เพราะรูปงานศพของหญิงคนนั้นพิมพ์หราอยู่หลายรูป
ผมพลิกไปจนถึงหน้าที่มีกระดาษแผ่นนั้นซ่อนอยู่ มันคงถูกพับไว้ในหนังสือเล่มนี้มานานพอดู สีของกระดาษที่เคยขาวจึงเหลืองและเก่าซีด
เมื่อกางกระดาษออก มันทำให้ผมใจหายวูบ !!
กลางกระดาษมีตัวหนังสือเขียนไว้สี่ห้าคำที่ผมอ่านไม่ออก แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ
ตัวหนังสือเหล่านั้นไม่ได้เขียนหรือพิมพ์ด้วยหมึกธรรมดาอย่างที่ผมเคยเห็นในหนังสือเล่มอื่นๆ
ลักษณะของหมึกมันซึมกระจัดกระจายจนแทบจะไม่เป็นตัวหนังสือ แต่สำหรับคนที่อ่านหนังสือได้เชื่อว่าจะต้องอ่านรู้เรื่องอย่างแน่นอน
พื้นที่ของกระดาษที่เหลือมีรอยหมึกหยดเป็นดวงเปรอะไปหมด
ผมพิจารณารอยหมึกและตัวหนังสือนั้นอีกครั้ง มันทำให้ผมนึกถึงบางอย่างขึ้นมาในทันที
มันไม่ใช่หมึก เป็นตัวหนังสือที่เขียนด้วยเลือด !!
……………
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น