ผู้มาเยือน
ภาพจาก http://www.mtholyoke.edu/~hicks22a/classweb/Childlabor จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ระหว่างทางที่เดินกลับมาจากสนามเด็กเล่น
ผมสังเกตเห็นว่าท้ายซอยสุดถนนที่ผ่านจากหน้าบ้านไปสักสองสามร้อยเมตรมีรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งจอดอยู่ แต่ผมไม่เห็นคนขับหรือใครนอกจากรถและเปลญวนสานด้วยเชือกที่ผูกโยงระหว่างกระบะรถกับกิ่งต้นจามจุรี
มันเป็นสิ่งแปลกปลอมชิ้นแรกที่เข้ามาใกล้บ้านมากที่สุดเท่าที่ผมจำได้
ผมกับพี่เปี๊ยกกลับมาบ้านก่อนที่พ่อกับแม่จะมาสักครึ่งชั่วโมง
มันทำให้ผมคิดว่าถ้าเราโชคดีอย่างนี้ทุกวันชีวิตคงมีความสุขขึ้นอีกเยอะ แต่พ่อกลับแม่กลับมาพร้อมกับสิ่งที่ทำให้ผมกับพวกพี่ๆ
ประหลาดใจ พวกเขาไม่ได้มาเพียงลำพังแต่มีรถกระบะอีกคันหนึ่งขับตามมาด้วย
เป็นครั้งแรกที่บ้านหลังนี้มีคนแปลกหน้ามาเยือน รถกระบะคันที่ขับตามมาดูใหม่และสภาพดีกว่ารถของพ่อมาก เมื่อมันจอดสนิทเราจึงเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อก้าวลงจากรถเดินตรงเข้ามาในบ้าน
“นั่งก่อนไอ้พวน”
พ่อเอ่ยปาก
ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเดินผ่านผมไป เขาหันหน้ามามองผมแวบหนึ่ง แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ร่างสูงใหญ่บึกบึนดูรับกับผิวพรรณที่ดูหยาบกร้าน ใบหน้าอันดำมะเมื่อมของเขาน่าเกรงขามเหมือนมีอำนาจบางอย่างซ่อนอยู่
เสื้อแขนกุดสีดำเผยให้เห็นรอยสักบนแขนทั้งสองข้างที่แทบจะไม่มีที่ว่างให้เห็นแม้แต่รูขุมขน
แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ารอยแผลเป็นที่พาดผ่านขมับซ้ายลงไปเกือบถึงริมฝีปากหนาเตอะนั่น
มันเหมือนพลังลี้ลับที่ทำให้ใครก็ตามที่มองไปต้องหลีบหลบตาลงต่ำ
“เฮ้ย...
พวกเอ็งออกไปอยู่ข้างนอกก่อนไป
พวกผู้ใหญ่เขาจะคุยธุระกัน”
เสียงพ่อตวาด
พวกผมทั้งห้าคนรีบวิ่งออกจากบ้านสวนกับแม่ที่กำลังยกสำรับกับแกล้มและเหล้าเดินเข้าไป
พี่นุชสบโอกาสพาพวกเราออกไปหลบมุมอยู่ที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ถัดไปจากบ้านไม่ไกลนัก
“ใครนะพี่นุชหน้าตาเหมือนไอ้หน้าบากในหนังเลย”
พี่สร้อยพูดขึ้นก่อนเหมือนเคยแต่พี่นุชรีบยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากให้เงียบไว้ก่อนจะกระซิบบอกกับเราทั้งสี่คน
“ข้าก็ไม่รู้แต่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ”
“ฉันกลัว”
พี่ส้มออกอาการหวาดๆ
ให้เห็น
“เอาอย่างนี้ดีมั๊ย”
พี่เปี๊ยกเหมือนจะคิดอะไรออก
“ว่าไง” พี่นุชถาม
“ให้บอยไปแอบฟังเขาคุยกันมันเด็กกว่าเพื่อนเขาไม่สงสัยหรอก”
ความคิดพี่เปี๊ยกทำเอาผมสะดุ้ง
“จะดีเหรอเดี๋ยวเขาจับได้หรอก”
พี่ส้มพูดด้วยความเป็นห่วง
พี่เปี๊ยกลุกขึ้นเดินไปตรงขอนไม้ด้านหลังแล้วกลับมาพร้อมกับยางล้อจักรยานและไม่ไผ่ท่อนสั้นๆ
ขนาดพอเหมาะมือ
“เอ้า...
เอ็งทำเป็นวิ่งตีล้อจักรยานเล่นแล้วหาจังหวะแอบฟังสิ”
พี่เปี๊ยกยื่นอุปกรณ์สอดแนมให้ผม ดูเหมือนตอนนี้สายตาของทุกคนบ่งบอกอาการเห็นด้วยกับพี่เปี๊ยกแล้ว มันทำให้ผมยากที่จะปฏิเสธ
ผมรับล้อและไม้มาด้วยมือที่สั่นเทาแล้วลุกขึ้นด้วยอาการละล้าละลัง
สายตาทุกคนมองมาที่ผมเหมือนกำลังฝากความหวังเอาไว้ เมื่อพี่นุชพยักหน้าผมก็เคลื่อนล้อจักรยานออกตรงไปที่หน้าบ้าน
ผมค่อยๆ
ตีล้อให้หมุนไปช้าๆ ไม่เร็วนัก
แต่เสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างในกลับเร็วรัวมากขึ้นทุกที ยิ่งเข้าใกล้ตัวบ้านมือผมยิ่งสั่น มันทำให้ล้อเริ่มแกว่งและส่ายไปมา
แต่ก่อนที่มันจะล้มลงพื้นผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะประตูบ้านที่เปิดออกอย่างกะทันหัน !!
จังหวะที่แม่เปิดประตูออกมาคือจังหวะเดียวกับที่ผมล้มลงไปคลุกฝุ่น
ล้อจักรยานควงเป็นวงไม่กี่รอบแล้วนิ่งสงบอยู่ตรงหน้า
สายตาผมกับแม่ประสานกับแวบหนึ่ง
มันเป็นสายตาที่นิ่งเย็นกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น
“ใครว่ะ” เสียงพ่อดังแว่วมาจากในบ้าน
“ไอ้บอยน่ะ
มันมาเล่นยางรถ”
แม่ตอบกลับไปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“ไอ้บอยเอ็งไปเล่นไกลๆ
ไป๊ ข้ารำคาญ”
พูดเสร็จแม่ก็ปิดประตูหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
ผมค่อยๆ
ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เลอะเต็มกางเกงออกแล้วมองไปทางต้นมะขาม มองเห็นพี่ๆ ทั้งสี่คนเกาะกลุ่มกันลุ้นชะตากรรมผมอยู่ พี่เปี๊ยกพยักพเยิดแล้วชี้มือไปทางหลังบ้าน ผมรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร
ถ้าพ่อกับแม่ตายใจแล้วผมก็น่าจะเข้าไปแอบฟังใกล้ๆ
ได้
ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้ง หยิบล้อและไม้ขึ้นมาแต่คราวนี้ผมไม่เล่นมันเพียงแต่ถือเอาไว้ในมือแล้วค่อยๆ
ย่องไปทางหลังบ้านให้ใกล้จุดที่พวกเขากำลังคุยกันมากที่สุด
ตรงนั้นเป็นหน้าต่างบานเล็กๆ
สูงกว่าหัวผมสักคืบหนึ่งเห็นจะได้
ความจริงควรจะเรียกมันว่าช่องลมน่าจะเหมาะกว่าเพราะมันมีบานหน้าต่างเพียงบานเดียว
เวลาจะเปิดก็เพียงแค่ดันขอบด้านล่างออกไปแล้วเอาท่อนไม้ค้ำยันไว้เท่านั้น
ผมมาหยุดนั่งลงใกล้ๆ
หน้าต่างนั่นพร้อมๆ กับเสียงของการพูดคุยที่เริ่มชัดเจนขึ้นจนจับใจความได้
“แล้วเอ็งติดต่อทางนั้นไว้หรือยัง
?”
เสียงพ่อถามชายหน้าบาก
“เรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง”
ชายหน้าบากตอบ เสียงของเขาทุ้มเข้มเหมือนมีอำนาจบางอย่าง
“แล้วเรื่องเงินล่ะ ?”
พ่อถามต่อแต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบเสียงแม่ก็สำทับตามหลัง
“นั่นนะสิอย่าให้เหมือนรุ่นก่อนนะฉันได้ไม่คุ้มเลย เลี้ยงพวกมันมาเปลืองข้าวสุกไปตั้งเยอะจะมาหักเปอร์เซ็นต์อะไรกันมากมาย”
คำพูดของแม่เริ่มทำให้ผมสงสัยว่าเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร
“รับรองครั้งนี้ที่ชดกับณีเรียกมาได้เต็มๆ”
ณีหมายถึงปราณีชื่อของแม่
ชื่อที่ผมแทบจะไม่เคยเห็นความหมายที่แท้จริงของมันเลยสักครั้ง แต่ยังไม่ทันที่พ่อกับแม่จะพูดอะไร ชายหน้าบากคนนั้นก็พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“วันอาทิตย์หน้าทันทีที่ไอ้เด็กสาวสามคนนั่นถึงมือเจ๊ แกไปรอรับเงินสดได้เลย”
ผมตัดสินใจในทันทีว่าควรรีบออกไปจากตรงนั้น
แต่ความรีบจนลนลานของผมทำให้ไม้ที่ถือในมือไปกระทบสังกะสีดังเปะ
“อะไรว่ะ”
เสียงพ่อตะคอกมาจากในบ้านพร้อมๆ
กับหัวใจของผมที่หล่นวูบไปที่ปลายเท้า
ทันทีที่ลุกขึ้นได้กับเศษเสี้ยวสติที่ยังพอมีเหลือ ผมตั้งล้อจักรยานให้ตรงและเริ่มตีมันเล่นอีกครั้งโดยแข็งใจไม่หันไปมองหลัง
“ไอ้บอย กูบอกแล้วว่าให้ไปเล่นไกลๆ
มึงนี่วอนซะแล้ว”
เสียงแม่ดังไล่หลังมา
แต่ผมก็ก้มหน้าก้มตาตีล้อต่อไปเหมือนไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น
@@@@@
ตลอดเวลาของความทรงจำมันตอกย้ำการรับรู้ผมมาโดยตลอดว่า ความจริงของชีวิตคือความเจ็บปวด
แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับบอกผมมากขึ้นอีกว่า ความจริงที่ได้รับการเปิดเผยหลังจากที่มันถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรมของความเป็นจริงอีกชั้นหนึ่งนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า
ตอนนี้ความเจ็บปวดกำลังถาโถมเข้าใส่พี่นุช
พี่ส้มและพี่สร้อยชนิดตั้งตัวไม่ติด
“เรามีเวลาหนึ่งอาทิตย์”
พี่นุชบอกกับทุกคน
“ทุกคนเหรอ?”
พี่เปี๊ยกถามย้ำ
“ก็ทุกคนนะสิ” พี่นุชย้ำ
“ฉันว่าพี่นุช ส้มและสร้อยเท่านั้นแหละ
ฉันกับไอ้บอยเอาตัวรอดได้ตอนนี้เรื่องของพี่สำคัญกว่าถ้าไปกันหมดนี่มันจะยุ่งยาก”
พี่เปี๊ยกพูดแล้วหันมามองตาผมเหมือนขอความเห็น
“ไม่ต้องคิดหรอกเอาตามนี้แหละ”
พี่เปี๊ยกย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เป็นห่วงบอย”
พี่นุชเปรยขึ้นพร้อมกับเอามือลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วงฉันกับบอยก็ไม่อยู่นานหรอก รอจังหวะดีๆ ก็ต้องไปเหมือนกัน
แต่ช่วงนี้ถ้าเหลือฉันกับบอยเขาคงไม่กล้าจะทำอะไรเราเพราะยังไงก็ต้องพึ่งเราขายหนังสืออยู่ดี”
พี่เปี๊ยกพูดอย่างมั่นใจ
ตกลงวันนั้นเรามีข้อสรุปกันว่าพี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อย
พี่สาวทั้งสามคนของผมได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต แม้จะยังไม่รู้ว่าชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แต่การหนีไปจากนรกที่กำลังจะถูกยัดเยียดให้สำคัญกว่า
“เงียบๆ ก่อนไอ้หน้าบากออกมาแล้ว”
พี่ส้มให้เสียง ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองที่ประตูบ้าน
ชายหน้าบากหยุดยืนคุยกับพ่อชั่วอึดใจก็บอกลากัน
เมื่อเดินมาถึงรถเขาหันหน้ามาทางพวกเราโดยบังเอิญ มันทำให้เขาเปลี่ยนใจยังไม่เปิดประตูรถแต่เดินอ้อมมาหาพวกเรา
ทุกคนเงียบกริบ คงมีแต่พี่สร้อยที่กระซิบด้วยเสียงกระเส่า
“มันมาแล้ว
ฉันกลัว”
ชายหน้าบากหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพวกเราทั้งห้าคน พี่นุช
พี่ส้มและพี่สร้อยต่างเบือนหน้ากันไปคนละทาง
มีเพียงพี่เปี๊ยกเท่านั้นที่สู้หน้าเหี้ยมๆ นั่น
ในขณะที่ผมแอบมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้านซ้ายของเขา ลักษณะของมันน่าจะเป็นบาดแผลจากของมีคมที่ดูฉกรรจ์ไม่น้อย
“ว่าไงจ๊ะเด็กๆ”
เสียงเยือกเย็นของเขาเหมือนซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่าง
“แหม... เป็นสาวกันเร็วนะ เมื่อก่อนยังเคยเห็นแก้ผ้าแบเบาะอยู่เลย ฮะฮะฮ่า”
ชายหน้าบากพูดพลางแสยะยิ้มที่มุมปาก การหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้รอยแผลเป็นเต้นเร่าๆ
อยู่บนโหนกแก้ม
“ไปก่อนนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวก็จะได้เจอกันใหม่แน่นอน”
เขาพูดพร้อมๆ
กับกวาดสายตามองพี่สาวทั้งสามคนด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
ทันทีที่รถคันนั้นเคลื่อนตัวออกจากบ้าน
พี่ส้มและพี่สร้อยต่างกระโดดเข้าเกาะแขนพี่นุชเหมือนนัดกันไว้
“ฉันกลัว”
พี่ส้มบอกพี่นุช
“ฉันก็กลัว”
พี่สร้อยสำทับอีกคน
“เราจะกลัวกันอีกไม่นานหรอก
ข้าสัญญา”
พี่นุชปลอบใจน้องสาว แววตาของเธอตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ร่องรอยของความโกรธเคืองเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกที
วันนี้มื้อเย็นของพวกเราดูเงียบเหงาวังเวงทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเช่นทุกวัน
พี่นุชนั่งก้มหน้าเงียบไม่พูดหัวเหมือนวันก่อนๆ
เช่นเดียวกับพี่ส้มกับพี่สร้อยที่คอยจับอาการพี่ส้มอยู่ตลอดเวลา
“รีบกินเถอะอย่าให้เขาสงสัย”
เสียงพี่เปี๊ยกกระซิบ
ผมเริ่มรับรู้ได้ว่านับจากวันนั้นว่า เวลาของพี่สามทั้งสามคนในบ้านหลังนี้ช่างเดินไปอย่างเชื่องช้า เหมือนเวลาจะแกล้งให้ทรมาน พวกเธอต่างเคร่งเครียดกับการคาดเดาเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ทุกจินตนาการล้วนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
กลางดึกของคืนนั้น ผมได้ยินเสียงสะอื้นอันแผ่วเบาของพี่นุชแทรกตัวผ่านความมืดออกมาเป็นบางครั้งและคิดว่ามันคงดำเนินไปอย่างนั้นตลอดทั้งคืน
……………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น