วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 4)

ผู้มาเยือน


ภาพจาก http://www.mtholyoke.edu/~hicks22a/classweb/Childlabor                  จีรวัฒน์ ครองแก้ว

              ระหว่างทางที่เดินกลับมาจากสนามเด็กเล่น  ผมสังเกตเห็นว่าท้ายซอยสุดถนนที่ผ่านจากหน้าบ้านไปสักสองสามร้อยเมตรมีรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งจอดอยู่  แต่ผมไม่เห็นคนขับหรือใครนอกจากรถและเปลญวนสานด้วยเชือกที่ผูกโยงระหว่างกระบะรถกับกิ่งต้นจามจุรี  
มันเป็นสิ่งแปลกปลอมชิ้นแรกที่เข้ามาใกล้บ้านมากที่สุดเท่าที่ผมจำได้
ผมกับพี่เปี๊ยกกลับมาบ้านก่อนที่พ่อกับแม่จะมาสักครึ่งชั่วโมง   มันทำให้ผมคิดว่าถ้าเราโชคดีอย่างนี้ทุกวันชีวิตคงมีความสุขขึ้นอีกเยอะ  แต่พ่อกลับแม่กลับมาพร้อมกับสิ่งที่ทำให้ผมกับพวกพี่ๆ ประหลาดใจ  พวกเขาไม่ได้มาเพียงลำพังแต่มีรถกระบะอีกคันหนึ่งขับตามมาด้วย
เป็นครั้งแรกที่บ้านหลังนี้มีคนแปลกหน้ามาเยือน  รถกระบะคันที่ขับตามมาดูใหม่และสภาพดีกว่ารถของพ่อมาก  เมื่อมันจอดสนิทเราจึงเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อก้าวลงจากรถเดินตรงเข้ามาในบ้าน
“นั่งก่อนไอ้พวน” 
พ่อเอ่ยปาก
ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเดินผ่านผมไป  เขาหันหน้ามามองผมแวบหนึ่ง  แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ร่างสูงใหญ่บึกบึนดูรับกับผิวพรรณที่ดูหยาบกร้าน  ใบหน้าอันดำมะเมื่อมของเขาน่าเกรงขามเหมือนมีอำนาจบางอย่างซ่อนอยู่  เสื้อแขนกุดสีดำเผยให้เห็นรอยสักบนแขนทั้งสองข้างที่แทบจะไม่มีที่ว่างให้เห็นแม้แต่รูขุมขน
แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ารอยแผลเป็นที่พาดผ่านขมับซ้ายลงไปเกือบถึงริมฝีปากหนาเตอะนั่น  มันเหมือนพลังลี้ลับที่ทำให้ใครก็ตามที่มองไปต้องหลีบหลบตาลงต่ำ 
“เฮ้ย... พวกเอ็งออกไปอยู่ข้างนอกก่อนไป  พวกผู้ใหญ่เขาจะคุยธุระกัน” 
เสียงพ่อตวาด
พวกผมทั้งห้าคนรีบวิ่งออกจากบ้านสวนกับแม่ที่กำลังยกสำรับกับแกล้มและเหล้าเดินเข้าไป  พี่นุชสบโอกาสพาพวกเราออกไปหลบมุมอยู่ที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ถัดไปจากบ้านไม่ไกลนัก
“ใครนะพี่นุชหน้าตาเหมือนไอ้หน้าบากในหนังเลย” 
พี่สร้อยพูดขึ้นก่อนเหมือนเคยแต่พี่นุชรีบยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากให้เงียบไว้ก่อนจะกระซิบบอกกับเราทั้งสี่คน
“ข้าก็ไม่รู้แต่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ” 
“ฉันกลัว” 
พี่ส้มออกอาการหวาดๆ ให้เห็น
“เอาอย่างนี้ดีมั๊ย” 
พี่เปี๊ยกเหมือนจะคิดอะไรออก
“ว่าไง”  พี่นุชถาม
“ให้บอยไปแอบฟังเขาคุยกันมันเด็กกว่าเพื่อนเขาไม่สงสัยหรอก” 
ความคิดพี่เปี๊ยกทำเอาผมสะดุ้ง
“จะดีเหรอเดี๋ยวเขาจับได้หรอก” 
พี่ส้มพูดด้วยความเป็นห่วง 
พี่เปี๊ยกลุกขึ้นเดินไปตรงขอนไม้ด้านหลังแล้วกลับมาพร้อมกับยางล้อจักรยานและไม่ไผ่ท่อนสั้นๆ ขนาดพอเหมาะมือ
“เอ้า... เอ็งทำเป็นวิ่งตีล้อจักรยานเล่นแล้วหาจังหวะแอบฟังสิ” 
พี่เปี๊ยกยื่นอุปกรณ์สอดแนมให้ผม  ดูเหมือนตอนนี้สายตาของทุกคนบ่งบอกอาการเห็นด้วยกับพี่เปี๊ยกแล้ว  มันทำให้ผมยากที่จะปฏิเสธ
ผมรับล้อและไม้มาด้วยมือที่สั่นเทาแล้วลุกขึ้นด้วยอาการละล้าละลัง  สายตาทุกคนมองมาที่ผมเหมือนกำลังฝากความหวังเอาไว้   เมื่อพี่นุชพยักหน้าผมก็เคลื่อนล้อจักรยานออกตรงไปที่หน้าบ้าน
ผมค่อยๆ ตีล้อให้หมุนไปช้าๆ ไม่เร็วนัก  แต่เสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างในกลับเร็วรัวมากขึ้นทุกที  ยิ่งเข้าใกล้ตัวบ้านมือผมยิ่งสั่น  มันทำให้ล้อเริ่มแกว่งและส่ายไปมา  แต่ก่อนที่มันจะล้มลงพื้นผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะประตูบ้านที่เปิดออกอย่างกะทันหัน !!
จังหวะที่แม่เปิดประตูออกมาคือจังหวะเดียวกับที่ผมล้มลงไปคลุกฝุ่น  ล้อจักรยานควงเป็นวงไม่กี่รอบแล้วนิ่งสงบอยู่ตรงหน้า
สายตาผมกับแม่ประสานกับแวบหนึ่ง  มันเป็นสายตาที่นิ่งเย็นกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น
“ใครว่ะ”  เสียงพ่อดังแว่วมาจากในบ้าน
“ไอ้บอยน่ะ มันมาเล่นยางรถ” 
แม่ตอบกลับไปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“ไอ้บอยเอ็งไปเล่นไกลๆ ไป๊ ข้ารำคาญ” 
พูดเสร็จแม่ก็ปิดประตูหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เลอะเต็มกางเกงออกแล้วมองไปทางต้นมะขาม  มองเห็นพี่ๆ ทั้งสี่คนเกาะกลุ่มกันลุ้นชะตากรรมผมอยู่  พี่เปี๊ยกพยักพเยิดแล้วชี้มือไปทางหลังบ้าน  ผมรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร
ถ้าพ่อกับแม่ตายใจแล้วผมก็น่าจะเข้าไปแอบฟังใกล้ๆ ได้ 
ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้ง  หยิบล้อและไม้ขึ้นมาแต่คราวนี้ผมไม่เล่นมันเพียงแต่ถือเอาไว้ในมือแล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังบ้านให้ใกล้จุดที่พวกเขากำลังคุยกันมากที่สุด
ตรงนั้นเป็นหน้าต่างบานเล็กๆ สูงกว่าหัวผมสักคืบหนึ่งเห็นจะได้   ความจริงควรจะเรียกมันว่าช่องลมน่าจะเหมาะกว่าเพราะมันมีบานหน้าต่างเพียงบานเดียว  เวลาจะเปิดก็เพียงแค่ดันขอบด้านล่างออกไปแล้วเอาท่อนไม้ค้ำยันไว้เท่านั้น 
ผมมาหยุดนั่งลงใกล้ๆ หน้าต่างนั่นพร้อมๆ กับเสียงของการพูดคุยที่เริ่มชัดเจนขึ้นจนจับใจความได้
“แล้วเอ็งติดต่อทางนั้นไว้หรือยัง ?” 
เสียงพ่อถามชายหน้าบาก
“เรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง” 
ชายหน้าบากตอบ  เสียงของเขาทุ้มเข้มเหมือนมีอำนาจบางอย่าง
“แล้วเรื่องเงินล่ะ  ?” 
พ่อถามต่อแต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบเสียงแม่ก็สำทับตามหลัง 
“นั่นนะสิอย่าให้เหมือนรุ่นก่อนนะฉันได้ไม่คุ้มเลย  เลี้ยงพวกมันมาเปลืองข้าวสุกไปตั้งเยอะจะมาหักเปอร์เซ็นต์อะไรกันมากมาย” 
คำพูดของแม่เริ่มทำให้ผมสงสัยว่าเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร
“รับรองครั้งนี้ที่ชดกับณีเรียกมาได้เต็มๆ” 
ณีหมายถึงปราณีชื่อของแม่  ชื่อที่ผมแทบจะไม่เคยเห็นความหมายที่แท้จริงของมันเลยสักครั้ง  แต่ยังไม่ทันที่พ่อกับแม่จะพูดอะไร  ชายหน้าบากคนนั้นก็พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“วันอาทิตย์หน้าทันทีที่ไอ้เด็กสาวสามคนนั่นถึงมือเจ๊  แกไปรอรับเงินสดได้เลย” 
ผมตัดสินใจในทันทีว่าควรรีบออกไปจากตรงนั้น  แต่ความรีบจนลนลานของผมทำให้ไม้ที่ถือในมือไปกระทบสังกะสีดังเปะ
“อะไรว่ะ” 
เสียงพ่อตะคอกมาจากในบ้านพร้อมๆ กับหัวใจของผมที่หล่นวูบไปที่ปลายเท้า
ทันทีที่ลุกขึ้นได้กับเศษเสี้ยวสติที่ยังพอมีเหลือ  ผมตั้งล้อจักรยานให้ตรงและเริ่มตีมันเล่นอีกครั้งโดยแข็งใจไม่หันไปมองหลัง
“ไอ้บอย  กูบอกแล้วว่าให้ไปเล่นไกลๆ มึงนี่วอนซะแล้ว” 
เสียงแม่ดังไล่หลังมา  แต่ผมก็ก้มหน้าก้มตาตีล้อต่อไปเหมือนไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น
@@@@@
                ตลอดเวลาของความทรงจำมันตอกย้ำการรับรู้ผมมาโดยตลอดว่า  ความจริงของชีวิตคือความเจ็บปวด  แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับบอกผมมากขึ้นอีกว่า  ความจริงที่ได้รับการเปิดเผยหลังจากที่มันถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรมของความเป็นจริงอีกชั้นหนึ่งนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า
                ตอนนี้ความเจ็บปวดกำลังถาโถมเข้าใส่พี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยชนิดตั้งตัวไม่ติด
                “เรามีเวลาหนึ่งอาทิตย์” 
พี่นุชบอกกับทุกคน
                “ทุกคนเหรอ?” 
พี่เปี๊ยกถามย้ำ
                “ก็ทุกคนนะสิ”  พี่นุชย้ำ
                “ฉันว่าพี่นุช ส้มและสร้อยเท่านั้นแหละ ฉันกับไอ้บอยเอาตัวรอดได้ตอนนี้เรื่องของพี่สำคัญกว่าถ้าไปกันหมดนี่มันจะยุ่งยาก” 
พี่เปี๊ยกพูดแล้วหันมามองตาผมเหมือนขอความเห็น
                “ไม่ต้องคิดหรอกเอาตามนี้แหละ” 
พี่เปี๊ยกย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
                “เป็นห่วงบอย” 
พี่นุชเปรยขึ้นพร้อมกับเอามือลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
                “ไม่ต้องห่วงฉันกับบอยก็ไม่อยู่นานหรอก  รอจังหวะดีๆ ก็ต้องไปเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ถ้าเหลือฉันกับบอยเขาคงไม่กล้าจะทำอะไรเราเพราะยังไงก็ต้องพึ่งเราขายหนังสืออยู่ดี” 
พี่เปี๊ยกพูดอย่างมั่นใจ
                ตกลงวันนั้นเรามีข้อสรุปกันว่าพี่นุช  พี่ส้มและพี่สร้อย  พี่สาวทั้งสามคนของผมได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต  แม้จะยังไม่รู้ว่าชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร 
แต่การหนีไปจากนรกที่กำลังจะถูกยัดเยียดให้สำคัญกว่า
                “เงียบๆ ก่อนไอ้หน้าบากออกมาแล้ว” 
พี่ส้มให้เสียง  ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองที่ประตูบ้าน
                ชายหน้าบากหยุดยืนคุยกับพ่อชั่วอึดใจก็บอกลากัน  เมื่อเดินมาถึงรถเขาหันหน้ามาทางพวกเราโดยบังเอิญ  มันทำให้เขาเปลี่ยนใจยังไม่เปิดประตูรถแต่เดินอ้อมมาหาพวกเรา
                ทุกคนเงียบกริบ  คงมีแต่พี่สร้อยที่กระซิบด้วยเสียงกระเส่า 
“มันมาแล้ว ฉันกลัว”
                ชายหน้าบากหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพวกเราทั้งห้าคน  พี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยต่างเบือนหน้ากันไปคนละทาง  มีเพียงพี่เปี๊ยกเท่านั้นที่สู้หน้าเหี้ยมๆ นั่น  ในขณะที่ผมแอบมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้านซ้ายของเขา  ลักษณะของมันน่าจะเป็นบาดแผลจากของมีคมที่ดูฉกรรจ์ไม่น้อย
                “ว่าไงจ๊ะเด็กๆ” 
เสียงเยือกเย็นของเขาเหมือนซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่าง
                “แหม... เป็นสาวกันเร็วนะ  เมื่อก่อนยังเคยเห็นแก้ผ้าแบเบาะอยู่เลย  ฮะฮะฮ่า” 
ชายหน้าบากพูดพลางแสยะยิ้มที่มุมปาก  การหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้รอยแผลเป็นเต้นเร่าๆ อยู่บนโหนกแก้ม
                “ไปก่อนนะจ๊ะ  แล้วเดี๋ยวก็จะได้เจอกันใหม่แน่นอน” 
เขาพูดพร้อมๆ กับกวาดสายตามองพี่สาวทั้งสามคนด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
                ทันทีที่รถคันนั้นเคลื่อนตัวออกจากบ้าน  พี่ส้มและพี่สร้อยต่างกระโดดเข้าเกาะแขนพี่นุชเหมือนนัดกันไว้ 
                “ฉันกลัว” 
พี่ส้มบอกพี่นุช
                “ฉันก็กลัว” 
พี่สร้อยสำทับอีกคน
                “เราจะกลัวกันอีกไม่นานหรอก  ข้าสัญญา” 
พี่นุชปลอบใจน้องสาว  แววตาของเธอตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก  ร่องรอยของความโกรธเคืองเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกที
                วันนี้มื้อเย็นของพวกเราดูเงียบเหงาวังเวงทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเช่นทุกวัน  พี่นุชนั่งก้มหน้าเงียบไม่พูดหัวเหมือนวันก่อนๆ  เช่นเดียวกับพี่ส้มกับพี่สร้อยที่คอยจับอาการพี่ส้มอยู่ตลอดเวลา
                “รีบกินเถอะอย่าให้เขาสงสัย” 
เสียงพี่เปี๊ยกกระซิบ
                ผมเริ่มรับรู้ได้ว่านับจากวันนั้นว่า  เวลาของพี่สามทั้งสามคนในบ้านหลังนี้ช่างเดินไปอย่างเชื่องช้า   เหมือนเวลาจะแกล้งให้ทรมาน  พวกเธอต่างเคร่งเครียดกับการคาดเดาเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  
ทุกจินตนาการล้วนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น 
กลางดึกของคืนนั้น  ผมได้ยินเสียงสะอื้นอันแผ่วเบาของพี่นุชแทรกตัวผ่านความมืดออกมาเป็นบางครั้งและคิดว่ามันคงดำเนินไปอย่างนั้นตลอดทั้งคืน
……………………..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น