วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คุณเห็นอะไรซ่อนอยู่ในกำแพง ?



จีรวัฒน์ ครองแก้ว

              ลองถามตัวเอง ถามจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาแบบไร้จริตดูสักครั้ง  
คุณมองภาพวาดฝีมือจิตรกรนิรนามที่ฝากไว้ตามกำแพงเก่า  ตามตึกร้างหรือแม้กระทั่งพื้นถนนอย่างไร  ?
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คุณจะมองมันในด้านลบมากกว่าด้านบวก                           แต่จะแปลกที่ทุกคนแทบจะไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมคุณคิดอย่างนั้น
ภาพที่ผมใช้ประกอบบทความชิ้นนี้คือกำแพงโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับบ้านของผมเอง
สำหรับครูศิลปะหรือผู้ที่อาจอ้างว่าพอรู้เรื่องศิลปะบ้างอาจจะให้ค่าว่ามันก็แค่กำแพงเปื้อนสีจากเด็กเหลือขอ
สิ่งที่ควรจัดการกับมันคือการลบทำความสะอาดเสียเพื่อให้รั้วกลับมาสวยงามเรียบร้อยเหมือนเดิม 
ที่ผลงานชิ้นนี้ยังอวดฝีมืออยู่ได้อาจเป็นเพราะมุมที่ถูกละเลงเป็นงานฝีมือชิ้นนี้มันซ่อนอยู่ในจุดอับลับตาคน 
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ขอเปรียบเปรยกับอาหารสักจาน  มันเป็นมุมที่ไม่จำเป็นต้องโรยผักชี
วันนี้จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากฝ่ายปกครอง
ถ้ามุมที่เด็กพวกนี้เลือกคือรั้วด้านหน้าโรงเรียน  หรือเกิดกับรั้วโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหรือในกรุงเทพฯ ผมคิดว่าป่านนี้ผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้คงถูกลบไปในทันทีที่ฝ่ายปกครองมาเห็นพร้อมๆ กับแก๊งค์นักวาดที่จะต้องถูกเรียกตัวไปทำโทษให้หลาบจำ
          ข้อหาทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน
          เป็นเด็กไร้วัฒนธรรมที่ไม่รู้กาลเทศะ!!
วันที่ศิลปินวัยกระเตาะนัดรวมตัวกันมาสร้างผลงานชิ้นนี้  เป็นวันที่ผมอยู่บ้านและนั่งฟังเหตุการณ์อยู่ด้วยเกือบตลอดเวลาที่พวกเขารังสรรค์งานร่วมกัน
เสียงพูดคุย ปรึกษาหารือ  เสียงหัวเราะและบทสนทนาเกือบทั้งหมดกระทบโสตประสาทผมพอที่จะเข้าใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรและต้องการอะไร
             ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่  ผมขอตอบด้วยความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นและอย่างไม่ต้องเอียงอายใส่จริตใดๆ ว่า สิ่งที่ผมได้ยินในวันนั้น                                                                                                                                      
คือเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข !!
คุณลองย้อนความทรงจำของคุณกลับไปในวัยเด็กสักเสี้ยววินาที  คุณจะพบว่าจิตใต้สำนึกของคุณจะพุ่งตรงไปที่ความทรงจำที่เป็นความสุข
ความสุขคือสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการไม่ใช่หรือ ?
ถ้าสิ่งที่คุณต้องการในวัยเด็กคือความทุกข์ผมคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าจะแนะนำให้คุณไปพบแพทย์  แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการนั้นเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าคือความสุข
คำถามต่อไปที่คุณไม่สามารถละเลยได้ไม่ว่าคุณจะมีบุคลิกภาพประนีประนอมมากแค่ไหนก็ตามก็คือคำถามที่ว่า
“แล้วทำไมเด็กกลุ่มนี้ต้องแอบมาหาความสุขนอกรั้วโรงเรียนที่ลับหูลับตาอาจารย์เช่นนี้ ?”
ทำไมความสุขของเด็กกลุ่มนี้ไม่เกิดขึ้นต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนๆ ทุกคนภายในรั้วโรงเรียน !!
ทำไมความสุขของพวกเขาจึงต้องกระทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ก็กล้าหาญที่จะทำทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดและอาจถูกลงโทษเมื่อถูกจับได้
ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม  ทำไม  ทำไม  ทำไม  ทำไม ทำไม  ทำไม  
ผมกำลังจะบอกว่าความผิดซึ่งเป็นการกระทำที่พวกคุณ (ครู) ทั้งหลายเป็นผู้กำหนดค่าแต่ฝ่ายเดียวนั้น  ไม่เคยถูกมองในมุมที่ใช้เพื่อการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เลย 
คุณ (ครู) ทั้งหลายไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมจึงมีความคิดเช่นนั้น คุณคิดและทำในที่สิ่งคุณทำมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนให้สังคมยอมรับว่านี่คือมาตรฐานการศึกษา
จะมีครูสักกี่คนที่กำหนดเป้าหมายในการเรียนการสอนของตัวเองและโรงเรียนไว้ว่า
การเรียนคือความสุข  โรงเรียนคือสถานที่ที่อบอวลไปด้วยความสุข                        โรงเรียนคือที่ที่ต้องปลอดจากอำนาจและการบังคับขู่เข็ญ !!                                        โรงเรียนคือที่ๆ เด็กจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับกลิ่นอายอันเต็มไปด้วยเสรีภาพและคุณค่าของมัน !!
คุณลองเอานโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมากางดูและเปรียบเทียบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงเรียนในประเทศนี้ดูก็แล้วกัน  คุณจะพบว่าทุกวันนี้เราผลิตนักเรียนออกมา 3 กลุ่มเท่านั้น
1.      เด็กที่มีความสุขมากที่บ้าน  เมื่อมาเรียนจึงทนกับความทุกข์ในโรงเรียนได้
2.      เด็กที่มีความสุขบ้างไม่สุขบ้างที่บ้าน  เมื่อมาเรียนจึงมีความสุขบ้างไม่มีความสุขบ้างเหมือนกัน
3.      เด็กที่มีแต่ความทุกข์ที่บ้าน  เมื่อมาเรียนยิ่งเหมือนดิ่งจมลงไปบนกองทุกข์และถูกผลักให้ห่างไกลจากความสุขออกไปทุกที
คุณคิดว่าประไทยมีเด็กกลุ่มไหนมากที่สุด ?
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งว่า  ทุกวันนี้ยังมีครูและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังมีเชื่อว่า  ความเลวของเด็กหรือมนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นจากสันดาน !!
เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วย  “อำนาจ”
คุณจะไม่ตระหนักรู้เลยว่าอำนาจคือตัวการที่ทำให้  “ความรัก” ขาดหายไปจากสังคมไทย !!
ถ้าผมจะลองตั้งคำถามอย่างสุดโต่งดูว่าสังคมไทยมีความรักให้กันน้อยลงทุกที  เชื่อว่าจะต้องมีหลายคนที่เถียงคอเป็นเอ็นและอาจได้รับคำตำหนิว่าผมกำลังดูแคลนคนไทยและสังคมไทยเกินไป
แน่นอนเหลือเกินว่าคำตำหนิเหล่านี้จะต้องออกมาจากปากของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ชอบผูกขาดความคิดความเชื่อไว้ที่พวกเขาเพียงกลุ่มเดียว  คนพวกนี้ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าเคยรักใครหรือเปล่านอกจากตัวเอง ?
ตัวอย่างของคนพวกนี้พบเห็นได้ไม่อยาก สัญลักษณ์ของพวกเขาคือ “อำนาจ” ที่ถืออยู่ในมือ
คนพวกนี้เชื่อว่า “อำนาจคือความรัก”  ไม่ได้คิดว่า “ความรักคืออำนาจ”
การเลี้ยงดูลูกหลานในครอบครัว  การเรียนในโรงเรียน  การทำงาน  หรือแม้แต่การปฏิบัติต่อประชาชนของรัฐล้วนเป็นเรื่องของอำนาจทั้งสิ้น
ลองนับดูสิว่าในสังคมไทยมีคนที่มีความรักและศรัทธาในตัวเองและผู้อื่นอยู่สักกี่คน
ผมไม่ได้เหมารวมถึงผู้คนทั้งหมดในประเทศนี้  แต่คุณคิดว่าเรามีคนแบบนี้อยู่เป็นส่วนน้อยหรือส่วนมากของประเทศล่ะ !!
สังคมไทยไม่นิยมที่จะพูดถึงปัญหาอันเป็นรากเหง้าของมนุษย์กันตรงๆ  คิดอยู่อย่างเดียวว่าสิ่งที่เรามีและประกอบกันขึ้นเป็นเรานั้นช่างเลิศเลอและไม่มีใครจะเทียบได้
สังคมไทยยอมรับไม่ได้ที่จะบอกว่าคุณภาพของผู้คนในประเทศนี้บางเรื่องมันห่วยแตก !!
จิตรกรรมฝาผนังบนรั้วโรงเรียนแห่งนี้เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งอีกหลายปัญหาอันว่าด้วยอำนาจในรั้วโรงเรียนและผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคนที่เป็นครูได้อ่านบทความนี้แล้วจะร้องกรี๊ด ควันออกหูหรือโกรธจนตัวสั่น !!                          
            คนพวกนี้ไม่ยอมให้ใครแตะต้องมานานแล้ว
            เพราะเขาเป็นครู  เราจะไปรู้ดีกว่ากว่าคนที่เป็นครูได้อย่างไร ?
ใช่..  คุณอาจอ้างการเป็นครูได้ 
แต่ผมไม่เห็นใครรับสารภาพเลยว่ามาเป็นครูด้วยความตั้งใจที่จะเป็นตั้งแต่แรกหรือเปล่า ?
วิงวอนให้ลองกลับไปดูจิตรกรรมฝาผนังบนรั้วโรงเรียนใหม่อีกครั้ง  แล้วลองเปลี่ยนมุมของคำถามที่เกิดขึ้น ลองเปลี่ยนคนที่ถูกตั้งคำถามให้เป็นตัวคุณเอง
ถ้าคุณคิดว่าเด็กมีสันดานของความเลว ! แล้วตัวคุณล่ะ ? 
ถ้าความเจ็บปวดและทุกข์ของเด็กเป็นกระจกให้คนเป็นครูไม่ได้                               จะคาดหวังอะไรกับการศึกษาของบ้านเรา !!
……………………..

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชะตากรรมในอุ้งมือปีศาจ



 จีรวัฒน์  ครองแก้ว
                ถ้าเราสามารถลบคำว่า “เคราะห์กรรม” ออกไปจากความเป็นจริงในชีวิตได้  โลกนี้คงมีแต่ความรื่นรมย์ 
แต่เมื่อชะตากรรมยังอยู่กับเราเหมือนเพื่อนสนิท  สิ่งที่ควรทำก็คือ  การดูแลเพื่อนสนิทคนนี้อย่างดีที่สุด  เพราะเราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า  เขาจะโกรธเคืองเราขึ้นมาเมื่อไหร่ 
            มีคลิปเกี่ยวกับพฤติกรรมการขับรถจากเว็บไซต์ต่างประเทศมากมาย  หลายเรื่องสอดคล้องกับพฤติกรรมเลวๆ บางอย่างของคนไทยบางกลุ่มได้ดีเหลือเกิน  โดยเฉพาะพฤติกรรมการขับรถของบรรดาปีศาจบนท้องถนนทั้งหลาย
            คลิปวิดิโอสั้นๆ คลิปหนึ่งที่นำมาขายคำอธิบายในเรื่องนี้ได้ดีคือคลิปนี้  http://www.youtube.com/watch?v=LDj5wrSN5zc    
             เฟรมแรกของคลิปคือชายที่เห็นในภาพด้านซ้ายกำลังเดินข้ามถนน  ซึ่งดูแล้วเขาก็ใช้ความระมัดระวังอย่างดี  เพราะถนนด้านที่เขาเดินข้ามนั้นไม่มีรถแม้แต่คันเดียว (เป็นสี่แยก)  ในขณะอีกสองฝั่งที่เห็นในภาพกำลังได้รับสัญญาณไฟแดง  รถแต่ละคันจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวมาหยุดรอตรงสี่แยกกันหมด 
แต่แล้วโดยที่ไม่คาดคิด  มีรถคันหนึ่งจากฝั่งด้านล่างของภาพขับฝ่าไฟแดงด้วยการแซงขวาออกไป  (ความจริงจะต้องแซงซ้ายเพราะขับรถด้านขวา)   ทันใดนั้นรถที่ได้สัญญาณไฟเขียวจากด้านขวาคันหนึ่งก็พุ่งประสานงาเข้ากับรถคันดังกล่าวเต็มแรง  รถคันที่ฝ่าไฟแดงคงมองเห็นได้ในเสี้ยววินาทีจึงหักหลบได้เล็กน้อย  การชนจึงไม่เกิดขึ้นกลางตัวรถ  แต่กระแทกมุมรถด้านหน้าและทำให้รถที่ฝ่าไฟแดงเสียหลักไปทางซ้ายเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าความผิดพลาดของคนๆ หนึ่ง  กลับทำให้ผู้อื่นได้รับเคราะห์กรรม 
รถที่ได้รับสัญญาณไฟเขียวซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วโดยไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าฝ่าไฟแดงออกมานั้นเสียหลักพลิกคว่ำทันที   จังหวะที่พลิกคว่ำนี้เองที่ชายผู้เคราะห์ร้ายยังเดินไม่พ้นจากถนน  ตัวรถ (หมายถึงท้องรถที่พลิกข้าง) ซึ่งเป็นรถประเภทตรวจการขนาดใหญ่ก็ฟาดเข้ากับร่างของเขาเต็มแรง  ร่างของชายผู้ถูกสังเวยชะตากรรมกระเด็นออกไป  พร้อมๆ กับรถคันเดิมที่พลิกตามมา  สุดท้ายจึงหงายท้องทับลงไปบนร่างของเขาอีกครั้งจนแน่นิ่ง
ผมดูคลิปนี้ด้วยความรู้สึกสงสารชายคนนั้นจับใจ!!
ถ้าไม่มีการฝ่าไฟแดง  ไม่มีการทำผิดกฎจราจร  ภาพสะเทือนใจเช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น  งานนี้คนผิดกลับไม่เจ็บตัวมากนัก  แต่คนขับรถที่มาอย่างถูกต้องคงเจ็บหนัก
สำหรับชายผู้เคราะห์ร้าย  หากรอดชีวิตได้ก็คงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ 
นี่เป็นเพียงกรณีหนึ่งในบรรดาหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นและทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต  แต่การร้องขอหรือวิงวอนต่อนักซิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์  อุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทยังสร้างความสูญเสียอยู่ทุกวันในทุกแห่งหนทั่วโลก 
คราบน้ำตาของคนที่รักและญาติมิตรไหลลงชะล้างคราบเลือดเท่าไหร่ก็คงไม่พอ

@@@@@@

            สำหรับบ้านเรา  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ  ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้  กำลังกลายเป็นเรื่องปกติบนท้องถนนไปแล้ว  คุณสามารถทดสอบสมมุติฐานนี้  เพียงแค่ลองไปยืนอยู่สี่แยกไฟแดงแล้วพยายามจะทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดดูสิว่าจะได้รับการตอบรับจากคนขับรถบนท้องถนนสักเท่าไหร่
            สักวันคุณก็จะรู้คำตอบนี้ได้ด้วยตัวเอง 
            ถ้าอยากเห็นภาพเป็นวิชาการหน่อย  ก็ลองดูสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะพบว่าจำนวนคดีอุบัติเหตุจราจรทางบกในปี 2551 เกิดขึ้น 58,092 ครั้ง และในปี 2552 เกิดขึ้น 58,838 ครั้ง  มีผู้เสียชีวิตในปี 2551 จำนวน 7,373 ศพ และปี 2552 จำนวน 7,562 ศพ ส่วนผู้บาดเจ็บในปี 2551 จำนวน 46,806 ราย และในปี 2552 จำนวน 44,192 ราย เมื่อนำสถิติปี 2551 ถึง 2552 มาเปรียบเทียบ พบว่า ในปี 2552 มีคดีอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น 746 คดี หรือ ร้อยละ 1.28  ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 189 ศพหรือร้อยละ 2.56 โดยช่วงเดือนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ เดือนมกราคม 1,121 ศพ รองลงมา มีนาคม 1,095 ศพ และเมษายน 1,091 ศพ  
สถิติดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของปัญหาซึ่งไม่ได้ลดน้อยลงเลยในแต่ละปี  ทั้งๆ ที่มีโครงการรณรงค์เพื่อลดปัญหานี้นับไม่ถ้วน  ด้วยเหตุนี้จึงเปล่าประโยชน์ที่จะไปแสวงหาคำตอบว่า  ทำไมปัญหาเหล่านี้จึงยังคงเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน  เมื่อคิดอะไรไม่ออก  สังคมก็ตอบได้เพียงคำเดียวว่ามันเกิดขึ้นเพราะความประมาท  จากนั้นก็จัดทำโครงการเพื่อรณงค์กันใหม่  วันเวียนซ้ำซากอยู่อย่างนี้  โดยที่ปัญหาไม่มีวันหมดสิ้นไป
            คำถามก็คือ...  ความประมาทมันเกิดขึ้นได้เองหรือเปล่า ?
          ความประมาทมันเกิดขึ้นเพราะเราสร้างมันขึ้นมา  ด้วยความคิดที่ไร้สติของเราทั้งหมด  เพราะเรื่องนี้จะโทษใครเพียงคนเดียวไม่ได้  องค์ประกอบของสังคมบ้านเราหลายอย่างกำลังชักนำจิตวิญญาณของผู้คนให้หนีห่างออกไปจากความสงบและสันติ  ในทางตรงกันข้าม  มันกลับเคลื่อนตัวไปใกล้ความรุนแรงและจุดแตกหักมากขึ้นทุกขณะ
ลองคิดดูง่ายๆ ว่า  ในบรรดารถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนในเมืองไทยหลายสิบล้านคันที่เห็น 
คุณคิดว่ามันขับโดยมนุษย์กี่คัน  และขับโดยปีศาจกี่คัน !!
ถ้ายังไม่เห็นภาพ  เรามาลองไล่เรียงดูกันเป็นฉากๆ  คุณอาจจะเรียกว่ามันคือลำดับชั้นของปีศาจบนท้องถนนในเมืองไทยก็คงไม่ผิดนัก

ลำดับที่ 1  รถเมล์เล็ก : นรกสาธารณะ

ถ้าคุณยังไม่สะใจกับเครื่องเล่นที่หวาดเสียวที่สุดของดรีมเวิร์ลหรือสวนสยาม  ขอแนะนำให้คุณขึ้นรถเมล์เล็กหรือรถร่วมข.ส.ม.ก.สีเขียวที่วิ่งอยู่เกลื่อนเมือง 
มันคือนรกสาธารณะที่ตระเวนรับเหยื่ออย่างถูกกฎหมาย 
ผมอยากให้ผู้ที่เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในการเดินทางไปใช้บริการรถสาธารณะมาแล้วทั่วโลก  ช่วยตอบสักนิดว่า  นรกสาธารณะนี้มันพบเห็นได้แห่งเดียวในโลกที่เมืองไทยจริงๆ หรือเปล่า
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า  มันคงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยได้อนุรักษ์เอาไว้เป็นจุดขาย  เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว  เพราะมันเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้  ถ้าคุณชอบความกักฬระ  ดิบ  เถื่อนและหยาบคายแบบสุดๆ   เพียงแค่คุณเผลอไปทำอะไรให้คนขับรถหรือพนักงานเก็บเงินไม่พอใจสักนิดหน่อย 
คุณจะได้มันเป็นของแถมทันทีที่ขึ้นไปบนนรกสาธารณะคันนั้น

ลำดับที่ 2 รถตู้มหากาฬ : นักเลงประตูเลื่อน

ถ้าคุณขับรถมาตามสภาพการจราจรที่ราบรื่นแล้วอยู่ดีๆ  ก็ติดขัดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนถึงป้ายรถประจำทางสักประมาณร้อยเมตร  คุณไม่ต้องแปลกใจเลย  เพราะบรรดานักเลงประตูเลื่อนทั้งหลายเขากำลังชุมนุมพลกันอยู่ตรงนั้น  โดยไม่สนใจหรอกว่าการจราจรจะติดขัด  หรือชาวบ้านจะเดือดร้อนกันแค่ไหน 
กูจะรับผู้โดยสาร  กูจะจอดขวางแ....งอย่างนี้  มีอะไรหรือเปล่า !!
ทันทีที่ได้ผู้โดยสาร  เขาก็จะขับปาดรถออกมาจากป้าย  โดยไม่สนใจว่าใครจะเต็มใจหยุดให้หรือเปล่า  จากนั้นก็ห้อตะบึง  พาชีวิตอันมีค่าของผู้โดยสารไปผจญภัยกันอยู่บนท้องถนน  มิพักจะต้องพูดถึงความสะดวกสบายหรือสุนทรีย์ในการเดินทาง  เพราะเขาจะโยกคลอนหัวของคุณเหมือนว่าเป็นของเล่น  หรือเพื่อทดสอบว่าคุณจะทนได้ไปจนถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่
ถ้าทนไม่ได้ก็ลงไป !!

ลำดับที่ 3 แท็กซี่จอมซิ่ง : นักล่าฝากระโปรงท้าย

ไม่ใช่การกล่าวหาหรือด่าว่าคนทำมาหากิน  เพราะการทำมาหากินกับการได้รับการยกเว้นให้ทำอะไรก็ได้บนท้องถนนมันคนละเรื่องกัน 
แน่นอนว่าแท็กซี่ทุกคันอยากได้ผู้โดยสาร  เพราะฉะนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำความเร็วไม่มากนักเพื่อสอดส่ายสายตามองหาผู้โดยสารระหว่างทาง  ซึ่งความจริงแล้วก็ถือว่าเป็นการขับรถที่สุภาพและปลอดภัย  เพราะใช้ความเร็วในระดับที่สามารถควบคุมรถได้อย่างแน่นอน 
แต่ทันที่ที่ได้รับผู้โดยสาร  แท็กซี่อันแสนเฉื่อยช้าจะกลายเป็นนักล่าฝากระโปรงท้ายไปในทันที
ลองหลับตานึกดูก็ได้ว่า  นับตั้งแต่คุณขับรถมาทั้งชีวิต  รถอะไรหรือใครคือคนที่จี้ท้ายคุณมากที่สุดถ้าไม่ใช่แท็กซี่  นอกจากการปาดซ้ายป่ายขวาแล้ว  เขาจะยกไฟรัวไล่คุณเหมือนจะบอกให้รู้ว่าอย่าเกะกะขวางทาง  แม้ว่าในตอนนั้นคุณจะขับอยู่ในเลนส์ซ้ายสุดแล้วก็ตาม  ในขณะที่กระจังหน้ารถแท็กซี่จะหายใจรถต้นคออยู่ที่กระโปรงท้ายของรถคุณ
พวกเขาทำราวกับว่า  “กูรีบได้อยู่คนเดียว”

ลำดับที่ 4 กระบะส่งของ  :  ระเบิดพลีชีพ

เสียงแผดร้องของเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักเพราะแรงบิดที่ถูกเหยียบจนจมมิดปลายเท้า  ทำให้รถคันอื่นต้องรีบหลบกันวูบวาบ  และเมื่อมันแซงหน้าขึ้นไป  คุณจะเห็นรถกระบะที่ติดสติกเกอร์ห้างหุ้นส่วนอะไรสักอย่างไว้ข้างรถ  มันกำลังฮ้อตะบึงไปข้างหน้าเหมือนลืมตาย
ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนบนรถต่างสนุกสนานกับเสียงเพลงที่เปิดฟังเผื่อแผ่ชาวบ้านมาตลอดทาง
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณรู้ว่ามันเป็นรถกระบะของเถ้าแก่  ที่ลูกน้องไร้สติขับออกมาเพื่อไปส่งสินค้าตามที่ได้รับมอบหมาย  แต่งานนี้คุณภาพของรถที่เคยโฆษณากันนักหนา  จะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่ภายใต้อุ้งเท้าอันแสนโสโครกคู่นั้น 
เด็กขับรถส่งของพวกนี้เป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มคนที่น่าอิจฉา  เพราะไม่ต้องมาเปลืองสมองคอยคิดว่าจะต้องรักษาหรือดูแลสมบัติของเจ้านายเขาอย่างไร 
ขอขับให้มันพังคามือ (ตีน) ไปเลยก็แล้วกัน
            และถ้าบังเอิญกระบะของเถ้าแก่ที่กำลังแซงรถคุณขึ้นไปนั้นบรรทุกถังแก๊สมาเต็มรถ 
            อาการแบบนี้เขาเรียกระเบิดพลีชีพชัดๆ 

ลำดับที่ 5 สองแถวประจำซอย  กระเป๋าถ่อย ลูกพี่เถื่อน
ถ้าคุณหลงเข้าไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยซึ่งอาจจะเป็นซอยไหนสักแห่ง  สิ่งที่คุณต้องระมัดระวังมากที่สุดก็คือ  อย่าไปทำให้มีอุบัติเหตุกับสองแถวประจำซอยโดยเด็ดขาด  เพราะคุณอาจได้ไม้หน้าสามหรือเหล็กขุดชาบเป็นของชำร่วย
คุณต้องทำใจให้เย็นที่สุด  แม้สองแถวที่อยู่ข้างหน้าจะขับคล่อมเลน  เหมือนไอ้เข้ขวางคลองไปตลอดทางก็ตาม  ถ้าเขาหยุดคุณต้องหยุด  ถ้าเขาไปคุณจึงจะได้ไป 
ชะตาชีวิตของคุณในซอยนี้ฝากไว้ที่เขาโดยไม่ควรปริปาก!!
ยิ่งตอนที่คุณขับผ่านคิวรถของพวกเขา  คุณต้องทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด  อย่าทำอะไรตุกติกให้เขาเห็นได้ว่าคุณไม่พอใจเขา  อย่าบ่นพึมพำแม้ว่าเขาจะขับรถพรวดพราดออกมาจากคิวจนทำให้คุณต้องเบรคกระทันหัน  และหัวไปโขกกับขอบประตู
คิดเอาไว้เสมอว่าคุณไม่ควรเอาอะไรไปแลกกับอะไร !!

ลำดับที่ 6 แก๊งค์เด็กแว้น : สองล้อของคนบาป

แม้ว่าคุณจะขี่มอเตอร์ไซค์อย่างปกติหรือระมัดระวังที่สุด  แต่มันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า  คุณจะหลุดรอดปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่ตัวเองไม่ได้ก่อไปได้  เพราะจากสถิติของทุกสำนัก  มอเตอร์ไซต์คือยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุด
แต่ในอีกด้านหนึ่ง  เจ้ามอเตอร์ไซต์นี้ก็อาจจะกลายเป็นสองล้อของคนบาปที่ทำให้ผู้ร่วมทางอกสั่นขวัญหายได้เหมือนกัน
สำหรับใครก็ตามที่ต้องขับรถในยามวิกาล  แล้วบังเอิญว่าในคืนนั้น  คุณได้หลงเข้าไปในเส้นทางของการนัดหมายเพื่อประลองความเร็วของบรรดาแก๊งค์เด็กแว้นแล้วล่ะก็  มันหมายความว่า  ค่ำคืนแห่งความระทึกใจได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  คุณต้องตั้งสติและถามตัวเองให้ดีว่าจะสามารถผ่านสถานการณ์อันยากลำบากของค่ำคืนนั้นไปได้อย่างไร
ฝูงมอเตอร์ไซค์นับร้อยที่แข่งพายุมาพร้อมๆ กัน  จะชะลอความเร็วแล้วห้อมล้อมรถของคุณไว้ทุกด้าน  เหมือนฝูงต่อหัวเสือที่ตีกรอบล้อมศัตรู   อย่าเข้าใจผิดว่าพวกมันเป็นองครักษ์หรือรถนำขบวน  หากคุณทำอะไรที่ดูเป็นที่ผิดสังเกตุหรือเป็นการท้าทายเพียงเล็กน้อย  เช่นบีบแตรไล่หรือตะโกนด่า 
รู้มั๊ยว่าคุณกำลังเปิดศึกกับพญามัจจุราชดีๆ นี่เอง!!

ลำดับที่ 7   สิบล้อมหาภัย เพชฆาตตลอดกาล
          ถ้าไม่พูดถึงเขา  การจัดอันดับครั้งนี้ก็ถือว่าไม่สมบูรณ์  เพราะนับตั้งแต่มีการจดบันทึกสถิติอุบัติเหตุเกิดขึ้นในบัญชีแห่งความทุกข์ของมนุษย์  นี่คือพาหนะแห่งนรกที่ครองแชมป์ความเหี้ยมโหดอย่างยาวนานที่สุด วีรกรรมของเขาในแต่ละครั้งสร้างความสูญเสียจนสังคมยกคำว่า  “วินาศสันตะโร”  ให้ไว้เป็นคำที่คู่ควรที่สุดสำหรับเพชฆาตตลอดกาลคันนี้
            ตอนที่เราเป็นเด็ก  แม้ว่าจะเรียนภาษาไทยด้วยความเบื่อหน่ายแค่ไหน  แต่เรากลับให้ความสนใจกับภาษาที่ใช้อธิบายผลงานของสิบล้อมหาภัยจากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเช่น 
            สิบล้อเมายาขยี้แหลกสองแม่ลูก !!
          สองล้อชะตาขาดสังเวยสิบล้อตีนผี !!
          สิบล้อแข่งพายุเบรกแตกชนผู้เฒ่าตายอนาถ !!
          โชเฟอร์ตีนคะนองพาสิบล้อแหกโค้งมรณะ !!
            มันเป็นอะไรที่คลาสสิกที่สุด  และเป็นที่เอือมระอาที่สุดของสังคม  โดยเฉพาะกับรถเล็กๆ ถ้าต้องเจอกับพวกมันสองต่อสองบนท้องถนน  คุณจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของสิบล้อมหาภัยไปในทันที  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำแนะนำอื่นใดที่จะดีไปกว่าคำว่า  ถอยไปให้ห่างเพชฆาตตลอดกาลตัวนี้เสียโดยเร็ว
            ทุกวันนี้ทั้งสถิติและพฤติกรรมของสิบล้อบนท้องถิ่นดีขึ้นเหมือนกัน  เพราะมีการใช้รถที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูงมากขึ้น  มีระบบควบคุมที่ดีจากบริษัทเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าเข้ามามีอิทธิพลในการควบคุมพฤติกรรม 
แต่ที่สำคัญ...มีโชเฟอร์สิบล้อตายโหงไปแล้วหลายคน !!

@@@@@@

เปล่าเลย...  ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าคนขับรถเหล่านี้คือผู้ที่แย่หรือเลวร้ายที่สุดบนท้องถนน  แต่สิ่งที่พยายามจะบอกก็คือ  ในการขับรถทุกคัน  สตาร์ทรถทุกครั้ง  คุณสามารถที่จะเลือกได้ด้วยตัวเองว่า  คุณจะขับรถแบบมนุษย์หรือปีศาจ 
ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นปีศาจ  ภาพลักษณ์ของปีศาจก็จะติดไปกับรถของคุณ อาชีพของคุณ หน้าตาของคุณ  รวมถึงพรรคพวกเพื่อนฝูงของคุณด้วย
ปีศาจตัวนี้แม้จะควบคุมรถได้  แต่ก็ไม่เคยจะเอาชนะมันได้เลยสักครั้งเดียว  เพราะผลผลิตจากความคิดมนุษย์  มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้หลายคนทึกทักเอาว่า  สามารถควบคุมให้มันอยู่ภายใต้อุ้งมือเราได้  ทั้งๆ ที่อำนาจและขีดความสามารถในการควบคุมของเรามีอยู่อย่างจำกัด
ถ้าสังคมต้องการแก้ไขปัญหานี้  มันต้องเริ่มตั้งแต่คำถามที่ว่า  เราสร้างมนุษย์ประเภทไหนขึ้นมากันแน่ !! 
แต่ก็อีกนั่นแหละ  ภายใต้เงื่อนไขและโครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้  มันเอื้อให้ลูกหลานของเราทำความเข้าในเรื่องอื่นๆ ที่นอกจากตำราเรียนหรือไม่  ลองกลับไปดูวิชาที่สอนกันอยู่ในโรงเรียนทุกวันนี้ดูก็ได้  เราสร้างคนด้วยตำรามากกว่าการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับสรรพสิ่งรอบข้างหรือเปล่า
เด็กเหล่านี้โตขึ้นมาโดยไม่สนใจว่า  เราต้องเอื้ออาทรกับผู้อื่นบนท้องถนนไปทำไม ?
ตำราทุกเล่มล้วนบอกว่าสิ่งประดิษฐ์คิดค้นล้วนเป็นความสำเร็จของมนุษย์ในการเอาชนะธรรมชาติทั้งสิ้น  เราสามารถควบคุมมันเพื่อรับใช้เราได้ทุกเรื่อง 
แม้กระทั่งอารมณ์อันดิบ.. เถื่อน !!
วิธีคิดนี้เองที่เป็นปัญหา  และทำให้เราดูถูกพลังของธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน  ในขณะที่เราเชื่อในพลังที่เราสร้างขึ้นด้วยผลงานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น  ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีผลงานทางวิทยาศาสตร์ใดในโลกนี้ที่ไม่มีข้อจำกัด
การโฆษณาผลผลิตทางด้านยานยนต์ซึ่งทำหน้าที่รับใช้ระบบทุนและการตลาดก็ตอกย้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า  เครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาคือประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและคุณสามารถที่จะควบคุมมันได้  การใช้ประโยชน์จากยานพาหนะที่เรียกว่า “รถยนต์”  นี้จึงสูงกว่าสิ่งที่มันควรจะเป็นมาโดยตลอด 
ระดับของความเร็วหรือ “Speed” ในชีวิตมนุษย์จึงถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่เด็กวัยรุ่นจะบิดมอเตอร์ไซค์กันเหมือนคนที่ลืมตาย
ไม่แปลกเลยที่โชเฟอร์แท็กซี่จะกระหยิ่มอยู่ในใจเสมอว่าเขาคือคนที่ใช้รถมากที่สุด...ขับรถเก่งที่สุด
ไม่แปลกอีกเช่นกันที่ลูกเศรษฐีมีเงินจะถอยรถสปอร์ตราคาหลายสิบล้าน  เพียงเพื่อจะได้สัมผัสกับความเร็วของนรกบนถนนที่ไหนสักแห่งในยามค่ำคืน
บางครั้งมันก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม !!
ผมยังจำได้ถึงความประทับใจในมารยาทการขับรถของชาวญี่ปุ่น  เมื่อครั้งที่เดินทางไปทำข่าวที่นั่น  ครั้งนั้นคณะของสื่อมวลชนจากประเทศไทยและสิงค์โปรใช้เวลาสองอาทิตย์เต็มๆ อยู่บนรสบัสขนาดกลางที่การท่องเที่ยวญี่ปุ่นจัดมาให้ 
เราเดินทางไปหลายแห่งในเขตการปกครองทีเรียกว่า “คันไซ” หรือภาคกลางตอนล่างซึ่งมีภูมิประเทศและสภาพเส้นทางที่ใช้ค่อนข้างหลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นถนนในเมืองที่มีการจราจรติดขัด  ถนนระหว่างเมืองที่สามารถทำความเร็วสูงได้  หรือแม้กระทั่งถนนในอุทยานแห่งชาติที่ต้องลัดเลาะไปตามไหล่เขาที่สูงชัน 
แต่ไม่ว่าจะไปในเส้นทางไหนก็ตาม  เราจะพบแต่ความประทับใจของมารยาทในการใช้รถใช้ถนนของชาวญี่ปุ่น  โชเฟอร์รถบัสที่เรานั่นจะโค้งคำนับแสดงความขอบคุณกับรถที่หยุดให้ทางทุกครั้ง  ในขณะที่รถคันอื่นที่ได้ทางจากเราก็ทำเช่นเดียวกัน 
ที่สำคัญคือเขาทำด้วยความเต็มใจและอาการที่นอบน้อมสวยงาม
ประเทศไทยเราโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลกถึงวัฒนธรรมอันดีงามของเรา  โดยเฉพาะการใช้การไหว้อันอ่อนช้อยเป็นสื่อหรือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะบอกกับใครต่อใครว่าคนไทยใจดีและมีวัฒนธรรม
            ตั้งแต่เกิดมา  ผมยังไม่เคยเห็นคนไทยคนไหนที่ยกมือไหว้แสดงความขอบคุณให้แก่กันบนท้องถนนเลยสักครั้งเดียว !!
          ทุกวันนี้เมื่อผมขับรถถ้าใครให้ทางและสภาพจราจรขณะนั้นไม่คับขันจนเกินผมยกมือไหว้ขอบคุณเขาเลย 
          ไม่รู้เหมือนกันท่านคนไทยที่หลงไหววัฒนธรรมตัวเองทั้งหลายจะคิดอะไรกันบ้าง แต่ที่แน่ๆ ผมก็ไม่เคยเห็นรถคันไหนยกมือไหว้ตอบสักคัน !!
อย่าโกหกตัวเองว่าเรานั้นสูงส่งหรือเลิศเลอไปกว่าคนอื่น  อย่าหลงตัวเองจนกลายเป็นความคลั่งที่ไม่มีแก่นสาร  ยอมรับกันเสียเถอะว่า  สังคมไทยมันเต็มไปด้วยคนที่หน้าไว้หลังหลอก  เพราะเราสร้างกันมาแบบนั้น
 ต่อให้รัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ ทำโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุอีกนับร้อยนับพันโครงการ  ปัญหาของความสูญเสียจากอุบัติเหตุที่ผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ก่อก็จะไม่มีทางลดลง  ตราบใดที่วิธีคิดว่าด้วยมนุษย์กับสรรพสิ่งในบ้านเรายังมีปัญหา

มันมีคนละเรื่องเดียวกันซ่อนอยู่ในปัญหาลักษณะนี้มากมายในสังคมไทย

..............................

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แด่อาจาย์ใหญ่และความทรงจำของมนุษย์

  

ภาพจาก  http://funny.hunsa.com/        

จีรวัฒน์   ครองแก้ว
“ด้วยภาควิชากายวิภาคศาสตร์จะจัดงานพระราชทานเพลิงศพประจำ
ปีการศึกษา........ในวันที่....... มีนาคม.... นี้ ที่วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร  
แต่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังไม่สามารถติดต่อญาติ
อาจารย์ใหญ่บางส่วนได้ ถ้ามีผู้ใดรู้จักอาจารย์ใหญ่และญาติอาจารย์ใหญ่  ดัง
รายนามต่อไปนี้.......
            เพื่อให้ญาติของอาจารย์ใหญ่ผู้มีอุปการคุณแก่วงการแพทย์ได้ส่งท่าน
อาจารย์ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย

นี่คือข้อความบางส่วนที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จะประชาสัมพันธ์ออกไปเป็นประจำทุกปี  เช่นเดียวกับอีกหลายๆ มหาวิทยาลัย  
ข้อความที่ส่งมานั้นกระตุ้นเตือนความรู้สึกของผมให้จินตนาการไปในอดีตและย้อนกลับไปสู่อนาคตได้ในเวลาเดียวกัน  
จินตนาการกับอดีตเกิดขึ้นเพราะผมคิดถึงงานเขียนยุคเก่าอย่าง “ตึกกร็อส” ของนักเขียนระดับครูอย่าง อ.อุดากร ที่ใช้ฉากชีวิตของนักเรียนแพทย์กับอาจารย์ใหญ่มาผูกเรื่องจนเป็นความสะเทือนใจ  อีกส่วนหนึ่งก็ทำให้คิดไปถึงวันข้างหน้าว่า  ร่างที่ไร้วิญญาณของคนธรรมดาสามัญอย่างเราจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ได้บ้างนอกจากปุ๋ยในป่าช้า    
ในยามปกติเราคงไม่ได้มีโอกาสฉุกคิดถึงเรื่องนี้บ่อยนัก   ในโลกของชีวิตจริงที่สับสนวุ่นวาย  ผู้คนในสังคมก็อาจจะไม่มีเวลาคิดถึงพวกเขาสักเท่าไหร่  แต่เมื่อโอกาสนี้มาถึง  ก็ควรจะเป็นเวลาที่พวกเราจะได้คารวะต่อความกล้าหาญที่พวกเขามีสักครั้งหนึ่ง                        
            เชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่รู้ว่า  “อาจารย์ใหญ่”  คือใคร  แต่จะมีสักกี่คนได้ตัดสินใจว่าจะดำเนินรอยตามภารกิจของอาจารย์ใหญ่เหล่านี้หรือไม่  รวมถึงไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า  เหตุใดผู้คนเหล่านั้นจึงตัดสินใจอุทิศร่างที่ไร้ลมหายใจของตัวเองให้เป็นวิทยาทานแก่วงการแพทย์  
             นั่นก็เพราะวิธีคิดว่าด้วยเรื่องการบริจาคร่างกาย  (Body Donation)  หรือกายวิทยาทานหลังการเสียชีวิตนั้น  เป็นวิธีคิดหนึ่งที่ท้าทายต่อกระบวนคิดและความเชื่อของมนุษย์ที่ผูกอยู่กับอิทธิพลทางศาสนาเป็นอย่างยิ่ง !!
            ภาวการณ์ขาดแคลนร่างเพื่อใช้ในการศึกษาด้านภายวิภาคศาสตร์ของนักศึกษาแพทย์ที่มีข่าวออกมาอยู่เป็นระยะ  เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าวิธีคิดในเรื่องการบริจาคร่างกายภายหลังการเสียชีวิต   ยังเป็นอีกพรมแดนหนึ่งที่น้อยคนนักจะกล้าเดินข้ามไป  แม้จะรับรู้ว่าความเป็นเจ้าของร่างกายของตัวเองได้สิ้นสุดลงไปแล้วหลังหมดลมหายใจ  และการบริจาคร่างกายก็ได้รับการยกย่องหรือถือว่าเป็นระดับของการบริจาคอันทรงคุณค่าสูงสุดอย่างหนึ่งก็ตาม
              ถ้าเราหันไปถามพระว่าการบริจาคร่างกายเมื่อเสียชีวิตแล้วเป็นบุญหรือไม่ ? 
คงไม่มีคำพูดอื่นใดที่ผิดไปจากว่าคำว่า “ใช่”  ทั้งอาจจะได้รับการขยายความอีกว่า  การบริจาคร่างกายนี้ยังหมายถึงบุญอันยิ่งใหญ่หรือเป็นมหากุศลด้วยซ้ำไป 
            แต่จะมีคนที่เคยบวชเรียนซึ่งถือว่ามีความรู้ความเข้าใจในแนวทางอันเป็นกุศลนี้มากกว่าคนอื่นสักกี่คนที่ตัดสินใจบริจาคร่างกาย ?
          ผมไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในลักษณะที่ลบหลู่หรือดูแคลน  แต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าการบริจาคร่างกายนี้เป็นความกล้าหาญทางจริยธรรมที่มีลักษณะพิเศษ  
               เป็นความท้าทายต่อจิตสำนึกของเราที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองอย่างยิ่ง 
มันจะท้าทายอยู่ในตัวตนและความคิดของเราทุกคนตลอดเวลา  ตราบใดที่คุณยังไม่มีบัตรประจำตัวผู้บริจาคร่างกายติดอยู่ในกระเป๋าของคุณเอง

@@@@@@@

            ผมไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในโลกของเหตุผลและการตัดสินใจของใครได้  แต่สำหรับตัวเอง  ถ้าวันนี้มีใครมาถามคำถามว่า
 “คุณกล้าหาญพอที่จะบริจาคร่างกายหรือไม่ ?” 
คำตอบที่ได้ในทันทีคือคำว่า “ไม่”  แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า  เราจะหวงแหนร่างกายของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ตลอดไปก็ตาม 
คุณคิดว่ามนุษย์หวงแหนอะไรที่สุดในชีวิต ?
บางทีมันอาจไมใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือลาภยศสรรเสริญด้วยซ้ำไป
ผมเฝ้าถามตัวเองนับครั้งไมถ้วนว่าจริงๆ แล้วเราหวงแหนอะไรในชีวิตกันแน่
มันเป็นคำตอบที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของสำนึก 
ผมพบว่าสิ่งที่เราหวงแหนมากที่สุดกลับเป็นความทรงจำของเราเอง !!
            ความหวงแหนต่อความทรงจำนี้เป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์  ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะดีหรือเลว  ซึ่งในทัศนะทางพุทธศาสนามักพร่ำสอนกันว่า สภาวะที่ตรงกันข้ามกับความทรงจำคือการไม่หวงแหนสิ่งใดไว้ 
เป็นภาวะที่เรียกว่า “สูญญตา”  หรือความว่างเปล่าอันเป็นหนทางไปสู่ “นิพพาน”
แต่ถ้าผมจำเป็นต้องเลือกระหว่าง  “การสละความทรงจำ”  กับการไปสู่  “นิพพาน”  
ผมขอเลือกที่จะยอมสละความทรงจำที่มีก็เพียงพอแล้ว  มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่สุดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  และทำได้โดยที่คุณไม่จำเป็นว่าจะต้องไปบวชหรือไม่
เพียงแต่ว่าวันนี้ยังทำไม่ได้  และหวงแหนมันเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้คงไม่ได้ตัดสินใจบริจาคร่างกายของตนเองเพราะคิดว่าจะเป็นหนทางไปสู่นิพพานหรอก !!  
แต่พวกเขากล้าหาญพอที่จะสละความทรงจำที่เคยหวงแหนเอาไว้เพื่อใช้ทอดเป็นสะพานแห่งกุศลให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากร่างอันไร้วิญญาณของเขาต่างหาก
            นี่คือเหตุผลที่ขอคารวะอาจารย์ใหญ่ทุกท่าน  
            ทั้งที่เสร็จสิ้นภารกิจและพระราชทานเพลิงศพไปแล้ว  อีกทั้งที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง  รวมถึงผู้ที่ได้ตัดสินใจบริจาคร่างกายไปแล้วและเฝ้ารอวันที่จะได้เป็นอาจารย์ใหญ่โดยสมบูรณ์แบบ
            พวกท่านคือตัวอย่างของความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่และงดงาม
         แท้จริงแล้วมนุษย์เราไม่ได้กลัวความตายที่กำลังจะมาถึงสักเท่าไหร่  เพราะความเป็นจริงมันตอกย้ำเราอยู่ตลอดเวลาว่า  เราไม่สามารถหนีมันไปไหนได้  
            แท้จริงแล้วเรากลัวที่จะสูญเสียความทรงจำที่เคยมีมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตมากกว่า
            ความทรงจำเป็นภาพซ้อนของภาวะวิสัยที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในการดำรงชีวิตและความคิดของมนุษย์  มันทำหน้าที่ควบคู่ไปกับปรากฏการณ์และความเป็นจริงในชีวิตเหมือนเงาของเราเอง  
            ถ้าจะเปรียบเทียบว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของจักรวาล (Universe) คือเวลา (Time)  ตัวตนอีกด้านหนึ่งของชีวิต (Life) ก็คือความทรงจำ (Memories) นี้เอง
             น่าสนใจอย่างยิ่งที่ความทรงจำนี้สามารถถ่ายทอดได้  ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
ทั้งเวลาและความทรงจำจึงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และเป็นนิรันดร์มากกว่าชีวิตและสรรพสิ่ง

@@@@@@@

          สิ่งที่น่าสนใจที่สุดต่อเรื่องนี้คือการสร้างกระบวนการทางความคิดของผู้ที่ตัดสินใจบริจาคร่างกายเหล่านี้              
พวกเขาต้องมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากพวกเราอย่างแน่นอน !!  
คุณลองคิดดูง่ายๆ ว่า  หากตัวเราเองผู้ซึ่งไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบริจาคร่างการหลังเสียชีวิตเลยแม้แต่น้อย  แต่กลับตัดสินใจบริจาคร่างกายไปแล้ว  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
            คุณจะมองชีวิตที่เหลือด้วยทัศนะแบบไหน ?
            คุณจะต่อสู้กับความเชื่อและไม่เชื่ออันเป็นตัวตนของคุณได้อย่างไร 
             การตัดสินใจบริจาคร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนภายหลังการเสียชีวิตมักจะมีเหตุผลพิเศษรองรับโดยตัวของมันเองเสมอ  และเท่าที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมก็พบว่า  ท่านอาจารย์ใหญ่เหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของตัวเองแทบทั้งสิ้น  
            หลายคนเคยเป็นผู้รับบริจาคอวัยวะจากผู้อื่นและทำให้ชีวิตของตนเองยืนยาวต่อไปได้  จึงตัดสินใจบริจาคร่างกายเพื่อสร้างคุณูปการกับวงการแพทย์ต่อไป 
            แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า  ความคิดในเรื่องการบริจาคร่างกายกับผลบุญที่จะได้รับยังมีข้อถกเถียงและตีความกันในพุทธศาสนา  บ้างก็ว่าการบริจาคร่างกายหลังจากที่ตายไปแล้วจะได้บุญไม่มากนัก เพราะถือว่าเป็นการบริจาคของที่ไม่ใช้แล้วไม่ต้องการแล้ว  ไม่ได้บุญเท่าการบริจาคอวัยวะในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เช่นการบริจาคไต บริจาคโลหิต
              เป็นการถกเถียงที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี 
มีไม่น้อยที่ไม่กล้าบริจาคร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนเพราะกลัวว่า  ชาติหน้าจะกลายเป็นคนพิการ  โดยหารู้ไม่ว่าวิธีคิดของตัวเองนั้นพิการไปก่อนที่จะได้ไปชาติหน้าแล้ว
            กิเลศที่มีต่อบุญจึงเป็นกิเลศที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ !!
            ในความเห็นของผม  ถ้าจะตัดสินใจจะบริจาคร่างกายของเราด้วยการเริ่มต้นตั้งคำถามกับคำว่า ได้บุญมากหรือบุญน้อย  ขอแนะนำให้เก็บร่างกายของท่านเอาไว้ทำปุ๋ยในป่าช้าจะดีกว่า  
            มีเหตุผลเพียงสองประการเท่านั้นที่จะทำให้คุณตัดสินใจด้วยความสบายใจว่า  จะบริจาคร่างกายหลังจากเสียชีวิตหรือไม่  
            ประการแรกคุณพร้อมที่จะสละความทรงจำออกจากตัวตนคุณเองหรือไม่ ?
         ประการที่สองคุณมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดกับวงการแพทย์และมนุษย์ผู้ทนทุกข์ในอนาคตหรือไม่ ?
            ผมยังสงสัยว่า  การบริจาคร่างกายแล้วได้บุญมากหรือน้อยนั้น  เป็นวิธีคิดทางพุทธหรือเปล่าในเมื่อการแพทย์สมัยใหม่ไม่ได้เกิดและพัฒนาขึ้นในอารยะธรรมตะวันออก  เพราะฉะนั้นการลังเลหรือตั้งคำถามต่อปริมาณบุญที่จะได้รับกับการบริจาคร่างกายจึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วเหมือนการยืนมองดูลำธารที่ตื้นเขินและแห้งผาก  
แต่ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องปริมาณบุญกับการบริจาคร่างกายสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักร่วมกันก็คือ  
ยังไม่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดในโลกนี้ที่จะมาทดแทนร่างของอาจารย์ใหญ่ได้  
ชีวิตมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ (Modern) และหลังสมัยใหม่ (Post Modern) ล้วนแต่ใช้ประโยชน์จากร่างอันไร้วิญญาณของอาจารย์ใหญ่ทั้งสิ้น  ไม่พ้นแม้แต่ผู้คนในบางศาสนาที่หลักคำสอนไม่อนุญาตให้บริจาคร่างกายได้
ไม่มีการศึกษากายวิภาคใดที่ดีไปกว่าการศึกษาจากร่างกายของมนุษย์ที่แท้จริงอีกแล้ว
         
@@@@@@

            สำหรับท่านที่มีความสนใจจะบริจาคร่างกาย (Body Donation)  ผู้เขียนขออุทิศเนื้อที่หน้ากระดาษต่อไปนี้ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเอาไว้  เพื่อเป็นประโยชน์เบื้องต้นในการตัดสินใจของท่าน  ซึ่งสถาบันที่รับการบริจาคร่างกายนั้นมีอยู่หลายแห่ง  สำหรับในส่วนกลางส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาทางการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ  ได้แก่  
1.      โรงพยาบาลศิริราช : ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ตึกกายวิภาคศาสตร์ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช โทร.0-2419-7035 หรือ 0-2411-0241-9 ต่อ 7035
http://www.si.mahidol.ac.th/Th/department/anatomy/
2.      โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ติดต่อที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาฑินทัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โทร.0-2256-4628 และ 0-2256-4281  http://www.md.chula.ac.th/anatomy/donatebody.html
3.      โรงพยาบาลรามาธิบดี ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โทร.0-2254-5198 หรือ 0-2246-1358-74 ต่อ 4101, 4102
4.. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โทร.0-2260-1532,
0-2260-2234-5 ต่อ 4501
5.      โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า โทร.0-2246-0066 ต่อ 93606
 http://www.pcm.ac.th/an/index.php

            ข้อมูลเบื้องต้นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้จะบริจาคร่างกายควรรู้ได้แก่  ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุ  ตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไปกรณีที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร  แต่ต้องไม่เกิน 60 ปี  ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง หรือไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ
เมื่อเสียชีวิตอวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี และมีอายุไม่เกิน 80 ปี ณ วันที่เสียชีวิต 
นอกจากนี้จะมีเงื่อนไขกำหนดไว้อีกว่า  โรงพยาบาลหรือสถาบันการศึกษาจะไม่รับศพผู้บริจาคร่างกายที่
ถึงแก่กรรมเกิน 24 ชั่วโมง ยกเว้นจะได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาล   ผู้ที่ได้รับการผ่าตัด หรือมีรอยเสียหายจากอุบัติเหตุ บริเวณศีรษะและ สมอง ผู้ที่ถึงแก่กรรมจากสาเหตุจากโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและ สมอง หรือติดเชื้อโรคร้ายแรงเช่น เอดส์ ไวรัสลงตับ และวัณโรค   ผู้ที่มีคดี เกี่ยวข้องกับคดี หรือมีการผ่าพิสูจน์ ยกเว้นการผ่าพิสูจน์บริเวณช่องท้องที่แพทย์นำไปใช้ในทางการศึกษาทางการแพทย์เท่านั้น   ผู้ที่ผ่านกระบวนการเก็บรักษาด้วยน้ำยาแล้ว  เนื่องจากการเตรียมศพเพื่อการศึกษาต้องผ่านการเตรียมการให้เหมาะสมและปลอดภัยเสียก่อน
            สุดท้ายอยากจะแนะนำว่า  คุณสมบัติสำคัญของผู้ที่จะบริจาคร่างกายควรจะมีเป็นอย่างยิ่งนอกเหนือจากที่กล่าวมาก็คือ

          ต้องพร้อมที่จะสละความทรงจำที่มีมาทั้งหมดโดยไม่เจ็บปวดหรือทุรนทุรายขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ !!