วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

ดอกไม้ในตะวัน 6



บทที่ 6
เรื่องเล่าจากหลวงปราบ
           
            ลมเปลี่ยนทิศช่วงปลายฝนต้นหนาวของเดือนตุลาคมพัดแผ่วผ่านห้องทำงานบนกองบังคับการทหารช่างและสื่อสารช่วยเพิ่มบรรยากาศความเงียบจนแทบสงัด  เหตุเพราะห้องทำงานแต่ละห้องบนชั้นสองร้างนายทหารไปไม่น้อย  นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนายมีภารกิจติดตามนายกรัฐมนตรีไปตรวจเยี่ยมมณฑลทหารราชบุรี เหลือเพียงพันโทหลวงปราบที่ต้องประชุมคณะอาจารย์ของโรงเรียนนายสิบทหารสื่อสารอยู่ในพระนคร  เขาใช้เวลาหลังจากเสร็จจากการประชุมเอนหลังพิงพนักอยู่ที่โต๊ะทำงานครุ่นคิดถึงคำพูดของนายทหารที่เคยเป็นลูกศิษย์โรงเรียนทหารสื่อสารนายหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน
            “มีความเคลื่อนไหวของอดีตนายทหารใหญ่บางคนกำลังคิดทำปฏิวัติ !!
          หลวงปราบพยายามถอดรหัสความหมาย  จะมีการใหญ่อันใดในสถานการณ์เช่นนี้หลังขวบปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาได้ไม่กี่เดือน   โครงสร้างอำนาจทั้งหลายถูกจัดวางให้เข้าที่เข้าทางไปไม่น้อยแล้ว  แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คาดหวังไว้จนทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ก็ตาม  แต่ภายในคณะราษฎรเองก็ยังไม่มีวี่แววของความขัดแย้งอันใดที่รุนแรงจนพอจะเป็นชนวนเหตุ 
หลวงประดิษฐ์เองก็ยอมถอดสลักแห่งความขัดแย้งด้วยการเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว
            “กริ๊งๆๆ”  เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะปลุกหลวงปราบออกจากภวังค์  เขาเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์โดยคิดว่าอาจจะเป็นสายจากคุณโฉมผู้เป็นภรรยาเพราะเธอมักจะโทรมาในช่วงเวลานี้  แต่เขาคาดผิดถนัดเสียงจากปลายสายทำให้นายทหารใหญ่ทะลึ่งขึ้นยืนอย่างไม่ทันรู้ตัว !!
            “ครับท่าน ผมกำลังพูดสายอยู่ครับ”             
เสียงจากปลายสายไม่รอให้หลวงปราบได้ทันตั้งตัว คำสั่งภายในช่วงเวลาสั้นๆ ที่นายทหารใหญ่ไม่ทันคาดคิดสะกดให้เขานิ่งงันไปชั่วขณะ  สิ่งที่เขาทำได้คือการตอบรับคำสั่งอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ
            “ครับท่าน ผมจะดำเนินการทันที” หลวงปราบตอบรับคำสั่งได้เพียงเท่านั้นก่อนจะวางสายแล้วนั่งลงเหมือนโดนมนต์
            “ข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง”  นายทหารใหญ่พูดกับตัวเองเหมือนไม่อยากเชื่อข้อมูลที่เพิ่งได้รับ แต่ก่อนที่คำถามอื่นจะประดังเข้ามาในความคิด  สัญชาติญาณของผู้บังคับบัญชาก็เดินหน้าทันที
            “หมู่เมฆ”  หลวงปราบเรียกทหารประจำตัวด้วยเสียงอันดัง 
            “ครับผม”  เจ้าของเสียงกระวีกระวาดเข้ามาในห้องแล้วยืนชิดเท้ารอคำสั่ง
            “ไปเรียกผู้กองฤทธิรงค์มาพบผมเดี๋ยวนี้”  สิบโทเมฆโค้งคำนับก่อนหมุนตัวก้าวเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
              ปฏิวัติ !!  นี่เป็นคำใหม่เหลือเกินสำหรับบ้านเมืองในห้วงเวลานี้  แม้ว่าตัวเขาเองจะเคยอยู่ในคณะที่เรียกตัวเองเช่นนี้มาแล้ว  แต่เมื่ออยู่ข้างผู้ชนะและผ่านกระบวนการสถาปนาอำนาจใหม่ขึ้นมาได้  คำๆ นี้ย่อมกลายเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจรัฐโดยไม่มีข้อกังขาอันใด แม้ว่าในบางครั้งมันอาจจะถูกเรียกให้ฟังสวยหรูว่ารัฐประหารก็ตาม
            “มันอาจจะเกิดขึ้นสักวันแต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วขนาดนี้”  หลวงปราบรำพึงในใจ
            “ขออนุญาตครับ”  เสียงจากหน้าห้องทำให้หลวงปราบเงยหน้าขึ้นมอง
            “เข้ามาผู้กองฤทธิรงค์”  เจ้าของร่างสันทัดใบหน้าตอบนัยน์ตาลึกสืบเท้าเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าผู้บังคับบัญชาของเขา
            “ผมได้รับคำสั่งด่วนจากท่านนายกฯ ให้จัดทีมของเราสองชุดพร้อมวิทยุสนามออกไปตั้งศูนย์ที่ปากช่องกับโคกกระเทียม”  หลวงปราบแจ้งสิ่งที่กำลังจะต้องปฏิบัติกับผู้กองหนุ่ม
            “คงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินใช่มั๊ยครับ ?  ผู้กองหนุ่มย้อนถาม 
“พระองค์เจ้าบวรเดชก่อปฏิวัติ” 
            “พระองค์เจ้าบวรเดช !!” ผู้กองฤทธิรงค์อุทาน
            “คุณเคยอยู่กับท่านมาก่อนไม่ใช่รึ”  หลวงปราบสวนคำอุทานออกไป  ดวงตาจ้องที่ผู้กองหนุ่มเขม็ง
            “ครับ..ท่านคงทนเห็นอะไรที่มันไม่ถูกต้องไม่ได้” คู่สนทนาพยายามจะปักธงด้วยความเห็นอีกมุมหนึ่ง
            “อะไรที่ไม่ถูกต้อง  ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดว่าถูกหรือไม่ถูก พวกเขากำลังก่อกบฏ”  หลวงปราบมองหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสายตาที่แน่วนิ่งแฝงความชัดเจนอยู่ในที
            “ชุดที่จะไปโคราชผมจะให้ร้อยเอกวิชาญภพที่กำลังกลับเข้ามาเป็นหัวหน้าชุด  ส่วนคุณเตรียมชุดที่จะไปโคกกระเทียมกับผม  เรามีเวลาแค่สามชั่วโมงที่จะออกไปยันพวกกบฏไว้  ท่านนายกฯบอกว่าสายข่าวแจ้งว่าท่านบวรเดชเตรียมทหารจากหัวเมืองทั้งเหนืออีสานตะวันออกและจากใต้เข้ามารุมกินโต๊ะพวกเราในพระนคร  แต่ยังประเมินไม่ได้ว่ามากน้อยแค่ไหน  หน้าที่ของเราคือดักฟังคำสั่งของทุกหน่วยที่ก่อกบฏให้ได้แล้วส่วนกลางจะวางหมากตัดท่อน้ำเลี้ยงเอง”
            “ท่านบวรเดชยังมีบารมีอยู่มาก ทหารจากนอกพระนครคงร่วมด้วยทั้งหมด ท่านคิดว่าเราจะต้านไหวหรือครับ”  ร้อยเอกฤทธิ์รงค์พูดเหมือนหยั่งเชิงความคิดหลวงปราบ
            “ถ้าคุณคิดว่าจะแพ้เสียตั้งแต่ก่อนรบก็มีเหตุผลแค่สองอย่าง  อย่างแรกคุณไม่มีจิตวิญญาณของนักรบ  อย่างที่สองคุณมีใจให้กับศัตรู” สิ้นคำหลวงปราบมองหน้าผู้กองหนุ่มนิ่งแต่ลึกเข้าไปในถึงกระดูก
“คุณไปเตรียมกำลังพลกับยุทโธปกรณ์ด่วนที่สุด”  หลวงปราบตัดบท
            “ครับผม”  ผู้กองฤทธิรงค์รับคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะหันหลังเดินออกไปโดยไม่มีใครเห็นว่าเขาขบกรามแน่นพร้อมนัยน์ตาที่ฉายแววดุดัน
            ร้อยเอกฤทธิรงค์  อัศวเชษฐ์  ในวัยสามสิบปลายควรจะได้ครองยศพันตรีแล้วในปีนี้   คำสั่งเลื่อนยศนายทหารของกองทัพบกที่เพิ่งผ่านไปไม่มีชื่อของเขาเพราะบาดแผลจากการถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีเครื่องวิทยุสื่อสารสูญหายไประหว่างนำกำลังพลแวะพักที่นครราชสีมาหลังจากยกกำลังกลับจากไปร่วมปฏิบัติการรบกับกองทัพฝรั่งเศสที่ฝั่งประเทศลาว คณะกรรมการสอบสวนได้ผลสรุปว่าเขามีความบกพร่องในหน้าที่แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายของยุทโธปกรณ์รายการนั้น 
แต่ในรายงานระบุชัดเจนว่าวิทยุสื่อสารที่หายไปยังถูกเปิดใช้งานในบางครั้ง !!
            ร้อยเอกฤทธิรงค์ เติบโตข้ามห้วยมาจากส่วนกลางภายหลังจากที่พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชลาออกจากเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นที่รับรู้กันว่าภายใต้เครื่องแบบนายทหารของเขานั้นมีทักษะพิเศษซ่อนอยู่   เป็นทักษะที่นอกเหนือจากความจัดเจนในเชิงรบเฉกเช่นทหารอาชีพทั่วไป  แต่เขาเป็นนายทหารที่เข้าใจความสลับซับซ้อนของความคิดทางการเมืองเรื่องอำนาจมากกว่านายทหารในรุ่นเดียวกัน

@@@@@@@@@

            กว่าที่ชุดปฏิบัติการของหลวงปราบจะเดินทางมาถึงสถานีรถไฟโคกกระเทียมจังหวัดลพบุรีเวลาก็ล่วงมาเกือบสี่ทุ่มแล้ว  ขณะนั้นกองทหารจากศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรีที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีนักยกกำลังมาตั้งรออยู่ก่อนแล้วแต่กำลังพร้อมอาวุธหนักถูกเคลื่อนไปตั้งรับฝ่ายกบฏไว้ห่างจากตัวสถานีไปทางเหนือไม่กี่ร้อยเมตร  
ทั้งสถานีว่างเปล่าไร้วี่แววของขบวนรถไฟใดๆ นอกจากลมเย็นต้นฤดูหนาวกับความมืดที่ถูกแซมด้วยแสงไฟประจำสถานีแค่สิบดวงซึ่งมันไม่อาจต้านทานกับบรรยากาศอันเงียบสงัดที่ปกคลุมอยู่โดยรอบได้เท่าใดนัก  สถานีรถไฟต่างจังหวัดธรรมดาเล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นลานเปลี่ยวที่บีบหัวใจขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ห้องทำงานของนายตรวจประจำสถานีถูกปรับให้เป็นศูนย์วิทยุสนามไปแล้ว 
ทุกอย่างถูกติดตั้งและทำงานอย่างเร่งด่วนนับแต่ชั่วโมงแรกที่หลวงปราบนำกำลังมาถึง
หลวงปราบใช้เวลานับชั่วโมงในการประชุมร่วมกับนายทหารระดับสูงของศูนย์การทหารปืนใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดแต่พอสรุปความได้ว่า  เดิมนั้นทหารปืนใหญ่ถูกทาบทามให้เข้าร่วมก่อการในครั้งนี้ด้วยเพราะสมเด็จพระวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช เมื่อครั้งที่ยังครองยศพลโทได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงกลาโหมจเรการปืนใหญ่ทหารบกพร้อมกับการได้มารักษาการผู้บังคับการโรงเรียนทหารปืนใหญ่ที่นี่  ท่านจึงยังคงมีบารมีและเครือข่ายนายทหารที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อย
แต่ต้องไม่ลืมว่าท่านนายกรัฐมนตรีเมื่อครั้งยังครองศักดิ์เป็นพระศรายุทธสรสิทธิ์ ก็เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยทหารนี้มาแล้วเช่นกัน
เพราะโลกกว้างทางแคบหรือโชคชะตาฟ้าลิขิต สองอดีตนายทหารที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยทหารอันเกรียงไกรแห่งนี้  สองฐานันดรและสองอุดมการณ์ต้องโคจรมาพบกันในโลกของการเมืองเพื่อเข่นฆ่าและประหัตประหารกันด้วยกำลังของผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีหน่อเนื้อมาจากทหารเหล่าเดียวกัน 
“ชะตาชีวิตคนนี่มันก็ตลกสิ้นดี”  หลวงปราบรำพึงกับตัวเองหลังจากการประชุมนายทหารสิ้นสุดและนายทหารปืนใหญ่ต่างแยกย้ายกันไปประจำฐานที่มั่นเพื่อรอเวลาประจัญบาน
“ผู้กองฤทธิรงค์เชิญทางนี้หน่อย”  หลวงปราบเรียกนายทหารเพียงคนเดียวที่มากับเขา
“ครับ”  ผู้กองฤทธิรงค์เดินเข้ามาหาด้วยแววตาท่าทางที่ดูเหมือนบังคับความรู้สึกบางอย่างแต่ไม่รอดพ้นจากการสังเกตของนายทหารใหญ่
“ผู้กองเฝ้าวิทยุอย่าให้คลาดแม้แต่วินาทีเดียว  ผมเชื่อแน่ว่ากำลังของพระยาเสนาสงครามจากนครสวรรค์จะต้องมาถึงที่นี่ก่อนรุ่งสาง  เราต้องรู้ให้ได้ว่าพวกนั้นกำลังมีเท่าไหร่และมีอาวุธหนักอะไรบ้าง” 
“ครับ แต่ผมเกรงว่า”
“ผู้กองเกรงอะไร”  หลวงปราบสวนคำพร้อมจ้องมองหน้าผู้กองหนุ่มเขม็ง
“เกรงว่ากำลังของท่านพระยาเสนาสงครามจะมีไม่มากอย่างที่เราคิดเพราะพระองค์เจ้าบวรเดชใช้กองกำลังหลักที่มาจากโคราช” 
“ก็ใช่ แต่นั่นไม่ใช่ภารกิจของเรา  หน้าที่ของเราอยู่ตรงนี้ผู้กองอย่ารบด้วยการคาดเดา”  หลวงปราบเสียงเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ครับ ผมทราบ” ผู้กองฤทธิรงค์รับคำแต่เบนสายตาไปเสียทางอื่น
“คุณเฝ้าวิทยุไว้ให้ดีถ้ามีเรื่องด่วนจากพระนครให้รีบแจ้งผม  ผมจะออกไปสำรวจดูข้างนอกสักหน่อย”  หลวงปราบคว้าปืนพกคู่กายที่วางบนโต๊ะเก็บเข้าซองข้างเอวก่อนจะรีบเดินออกไปทิ้งให้ร้อยเอกฤทธิ์รงค์ยืนขบกรามแน่นอยู่ตรงนั้น
“หมู่เมฆ ตามผมมาข้างนอก”  เสียงของหลวงปราบสั่งแล้วเดินออกไปยังความมืดสลัวด้านนอก หลวงปราบหยุดยืนอยู่ในมุมที่ไม่สามารถมองเห็นจากด้านในห้องนายสถานีได้
“ผมอยากให้หมู่ช่วยประกบดูผู้กองฤทธิรงค์ให้ดี”  หลวงปราบพูดขึ้นเมื่อลูกน้องคนสนิทเดินมาใกล้
“ท่านกำลังสงสัยว่า....”  หลวงปราบยกมือขึ้นห้ามก่อนที่หมู่เมฆจะพูดอะไรต่อ
“อย่าเดาไป  บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่หมู่คิดจะกลายเป็นอคติเสียเปล่า  ฉันเพียงแค่เห็นว่าเขามีความคิดบางอย่างที่อาจเป็นอุปสรรคกับภาระหน้าที่ของเราเท่านั้นเอง  บอกตรงๆ เขาดูซับซ้อนแปลกๆ อยู่  บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรหรือเป็นแค่อุปนิสัยเท่านั้น  ที่แน่ๆ เขาเป็นคนพูดยากผิดวิสัยผู้ใต้บังคับบัญชา  เพราะฉะนั้นฉันต้องการให้หมู่ระวังหลังให้ฉันหน่อย”  หลวงปราบกล่าวด้วยเสียงที่เป็นกังวล
“ครับท่าน”  หมู่เมฆรับคำ
นายทหารใหญ่เพ่งมองฝ่าความมืดไปตามแนวรางรถไฟ  รางเหล็กทอดตัวหายไปในความมืดรอการปรากฏตัวของขบวนรถไฟขบวนพิเศษที่บรรทุกเอาความขัดแย้งทางการเมืองมาด้วย  เห็นทีว่าความสูญเสียจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“หรือคมกระสุนจากเหตุการณ์อภิวัฒน์ 2475 สร้างรอยแผลลึกในใจของพระยาเสนาสงครามไว้จนยากเกินที่จะรับได้”  หลวงปราบครุ่นคิดในใจก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในศูนย์วิทยุสนามพยายามนั่งข่มตาให้พยายามข่มตาให้งีบหลับเอาแรงแต่ก็ทำไม่ได้  จวบจนเวลาล่วงถึงเช้ามืด สัญญาณแห่งการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น
“ปัง !!  เสียงกระสุนแรกดังขึ้นทำลายความเงียบอันแสนอึดอัดเมื่อรุ่งสาง
“ดับไฟทุกดวง”  หลวงปราบตะโกนสั่งทันควัน 
ไม่ถึงอึดใจไฟทุกดวงในห้องวิทยุสนามชั่วคราวก็ดับลงเหลือเพียงความมืดกับเสียงหัวใจของทหารทุกนายที่เริ่มเต้นระรัว  โดยที่ไม่มีใครคาดคิด  หลวงปราบพุ่งตัวจากโต๊ะไปที่ช่องหน้าต่างด้านหน้าอย่างรวดเร็ว  เขายกปืนพกประจำกายวางแตะขอบหน้าต่างเล็งไปที่ดวงไฟด้านนอก
“ปัง...”  เสียงปืนดังแหวกอากาศพุ่งเข้าหาโคมไฟดวงแรกดังสนั่นพร้อมกับความมืดที่มิดมัวมากขึ้น
“ปัง...” เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับแสงไฟจากโคมไฟดวงที่สองดับลง มันเป็นประจักษ์พยานว่าฝีมือการยิงปืนของหลวงปราบคมฉมังไม่น้อย  ทั่วห้องตอนนี้แทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาตะคุ่มของโต๊ะทำงานและเสากลางห้อง  ในขณะที่เสียงของพลวิทยุที่เริ่มรายการการเปิดฉากปะทะไปที่พระนคร
“ผู้กองฤทธิ์รงค์”  เสียงหลวงปราบเรียกฝ่าความมืด
“ครับ”
“กำลังจากทหารนครสวรรค์มีมาเท่าไหร่ มีอาวุธหนักมาด้วยหรือเปล่า” 
“จำนวนไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีอาวุธหนักหรือปืนใหญ่มาครับ”  ผู้กองฤทธิ์รงค์ตอบ
“คุณแน่ใจนะ”  หลวงปราบย้ำ
“ทางวิทยุบอกอย่างนั้นครับ” 
“แล้วพระยาเสนาสงครามมากับรถไฟขบวนนี้ด้วยหรือเปล่า”
“ปัง ปัง ปัง” 
ไม่ทันที่จะได้รับคำตอบเสียงปืนชุดใหม่ก็ดังขึ้นจากแนวปะทะ  หลวงปราบและทุกคนในห้องหมอบลงกับพื้นเกือบจะพร้อมกัน
“ว่าไงผู้กอง”  หลวงปราบพูดสวนเสียงปืนที่บ่งบอกสัญญาณว่าการปะทะอย่างต่อเนื่องได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
“คิดว่ามานะครับ”  ผู้กองฤทธิรงค์ทิ้งเวลาหลายอึดใจก่อนจะตอบคำถามหลวงปราบ
“หมายความว่ายังไงที่คิดว่า  ผมต้องการข้อมูลที่ชัดเจน”  เสียงของหลวงปราบเข้มดังไม่แพ้เสียงปืนที่ทะยอยมาอีกระลอก
“ทางนั้นเข้ารหัสครับ  แต่นายทหารที่สั่งให้ทหารปืนใหญ่ปะทะกับทหารปืนใหญ่ด้วยกันเองได้คงมีแต่พระยาเสนาสงครามเท่านั้นที่ทำได้  แต่ไม่มีการแจ้งทางวิทยุว่ามีการขนอาวุธหนักมาด้วย” ความมืดที่ช่วยอำพรางใบหน้าทำให้ไม่มีใครเห็นว่าผู้กองหนุ่มกล่าวตอบผู้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าและแววตาที่ไม่ใคร่พอใจนัก
“หวังว่าผู้กองจะคิดไม่ผิดนะ  ถ้าอย่างนั้นคุณรายงานกลับไปที่พระนครด่วน”  หลวงปราบเปรยก่อนจะรีบเคลื่อนตัวกลับเข้ามาด้านในด้วยความระมัดระวัง
การปะทะยังคงดำเนินไปกว่าชั่วโมง  ในที่สุดเสียงปืนใหญ่ของทหารลพบุรีก็ดังกระหึ่มขึ้น  คลื่นเสียงของมันกระทบกระจกหน้าต่างจนสั่นสะเทือนก่อนจะตามมาด้วยเสียงตกกระทบเป้าในอีกไม่กี่อึดใจ ไม่นานนักนายทหารปืนใหญ่ยศร้อยโทนายหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วปราดเข้าไปหาหลวงปราบทันที
“ท่านครับ”  นายทหารหนุ่มใบหน้าเข้มคล้ำภายใต้หมวกกะโล่ทหารปืนใหญ่ทำความเคารพหลวงปราบ
“ว่าไงผู้หมวด หมวดมาจากแนวปะทะหรือเปล่า”  หลวงปราบถามคำแรก
“ครับท่าน  ผู้พันให้มาเรียนว่ากำลังทหารจากนครสวรรค์ไม่ได้บรรทุกปืนใหญ่มากับขบวนรถ  คาดว่าจะมีทหารกับอาวุธเบามาไม่กี่สิบนายเท่านั้น”
“ก็ตรงกับข้อมูลทางวิทยุที่เราดักฟังได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะรายงานสถานการณ์กลับไปพระนคร แต่หวังว่าพวกคุณคงไม่ถล่มพวกนั้นด้วยปืนใหญ่แบบเต็มพิกัดหรือปิดบัญชีไม่เผาผีกันหรอกนะ” 
“ครับท่าน เราแค่ต้องการหยุดพวกนั้นแล้วให้กลับไป เว้นแต่.....”  นายทหารปืนใหญ่หยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น
“เว้นแต่อะไรผู้หมวด”  หลวงปราบถามด้วยความร้อนใจ
“เว้นแต่ว่าจะมีคำสั่งมาจากพระนคร  แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ผมขอเรียนท่านตามตรงว่าพวกเราก็ไม่อยากเห็นพี่น้องเหล่าปืนใหญ่ต้องมาสู้รบกันเอง  แต่คำสั่งย่อมเป็นคำสั่ง”
“ก็ดี แต่เอ... มีใครเห็นพระยาเสนาสงครามหรือยัง”  น้ำเสียงของหลวงปราบคลายกังวลลงไม่น้อย
“ยังเลยครับแต่ข้อมูลยืนยันว่าพระยาเสนาสงครามนำกำลังทหารมาด้วยตัวเองเลย”
“ถ้าอย่างนั้นผู้หมวดช่วยกลับไปเรียนผู้พันด้วยว่า ผมจะออกไปที่แนวปะทะเผื่ออาจจะเจอพระยาเสนาสงคราม  ผมพอจะมักคุ้นกับท่านอยู่อาจช่วยเจรจาให้อีกแรง”
“ครับท่าน”
            นายทหารปืนใหญ่ทำความเคารพแล้วรีบเดินจากไปพร้อมกับแสงเรื่อของตะวันรุ่งที่กำลังเริ่มแตะขอบฟ้าข่มไล่เงาสลัวของค่ำคืนอันแสนอึดอัดให้เริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย  หลวงปราบนั่งลงครุ่นคิดบางอย่างอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ก่อนทะลึ่งตัวขึ้นยืนอย่างร้อนรนพร้อมหันไปพูดกับหมู่เมฆ
            “หมู่เมฆ อยู่ช่วยผู้กองฤทธิ์รงค์อย่าไปไหน  ฉันจะออกไปที่แนวปะทะสักหน่อย”  หลวงปราบใช้สายตาแทนอาณัติบางอย่างนิ่งมองหมู่เมฆอยู่ชั่วอึดใจเหมือนต้องการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบรับคำสั่งที่ซ้อนอยู่ในคำสั่งนั้น  มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอาการโน้มหัวลงเล็กน้อยของจ่าเมฆนั้นหมายถึงอะไรก่อนที่จะดึงปืนพกประจำกายออกมาตรวจดูกระสุนที่เหลือแล้วเดินออกจากไปจากห้องวิทยุสนามแต่เพียงลำพัง
            เสียงปืนจากแนวปะทะสงบลงแล้วมีเพียงเสียงร้องเท้าบูทที่กระทบพื้นตามจังหวะก้าวกับหัวใจที่เต้นระทึกเท่านั้นที่หลวงปราบสัมผัสได้ขณะเร่งฝีเท้าเดินเข้าหาแนวปะทะเบื้องหน้า   ยิ่งใกล้เข้าไปความคิดของนายทหารใหญ่แห่งกองทหารสื่อสารก็ยิ่งคาดหวังบางอย่างมากขึ้น
            “ขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ไม่ควรมีใครต้องมาล้มตายเพราะสงครามทางความคิดแบบนี้อีกเลย”
หลวงปราบลำพึงในใจก่อนจะพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หลังบังเกอร์และแนวลวดหนามของทหารปืนใหญ่ลพบุรี ทหารจากศูนย์การทหารปืนใหญ่กว่าหนึ่งกองร้อยที่ถูกยกมาตรึงไว้ตรงนี้ส่วนหนึ่ง  อีกส่วนหนึ่งกระจายแฝงตัวอยู่ตามพุ่มไว้สองข้างทางเบื้องหน้า  ประมาณจากสถานการณ์แล้วกองกำลังแค่น้อยนิดของพระยาเสนาสงครามคงไม่สามารถตีฝ่าแนวสกัดนี้ไปได้  หากถูกโหมโจมตีอย่างเต็มอัตราศึกเข้าใส่ขบวนรถไฟที่ถูกสกัดให้ตกรางย่อมกลายเป็นเป้านิ่งที่มีแต่ความสูญเสีย
            “ครับท่าน”  สิบโทนายหนึ่งปราดเข้ามาทำความเคารพ
            “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”  หลวงปราบถาม
            “ทางนั้นเริ่มล่าถอยแล้วครับหลังจากเรายิงปืนใหญ่ให้ตกหลังแนวปะทะเพื่อขู่  ทหารบางนายยอมมอบตัวที่เหลือส่วนใหญ่ถอยร่นกลับนครสวรรค์ไปแล้ว”  สิบโทรายงานฉะฉาน
            “แต่เราไม่ได้รุกกลับใช่มั๊ย”
            “ไม่ครับ”  คำตอบที่ได้เหมือนช่วยยกความหนักอึ้งออกจากอกหลวงปราบ
            “มีใครเห็นพระยาเสนาสงครามมั๊ย”  หลวงปราบถามพร้อมกวาดตาไปโดยรอบ
            “ไม่มีครับ เราคาดว่าท่านจะบัญชาการอยู่บนโบกี้สุดท้าย”  หลวงปราบมองไปเบื้องหน้าตามแนวขบวนรถไฟที่จอดสงบนิ่ง  ในขณะที่หัวขบวนถูกสะบัดตกรางเอียงลงมาที่ไหล่ทาง  แสงแรกของวันส่องกระทบขบวนรถทำให้พอเห็นกลุ่มควันจากแนวป่าข้างทางไกลออกไปหลังโบกี้สุดท้าย 
            “ฉันจะขึ้นไปดูบนรถไฟสักหน่อย”  หลวงปราบพูดในขณะตายังเพ่งมองไปเบื้องหน้า
            “ผมจะให้ทหารคุ้มกันท่านไปครับ”  สิบโทคนนั้นกล่าวขึ้นในทันที
            “ไม่ต้อง ผมไปคนเดียวจะดีกว่า เผื่อได้เจอพระยาเสนาสงครามจะได้ไม่เป็นการกดดันท่านจนเกินไป”
            “แต่ท่านครับ ผมว่า...” 
            “เชื่อผมเถอะผู้หมู่  ไม่ต้องห่วงผมดูจากรูปการณ์แล้ว สิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องทำตอนนี้คือหนีมากกว่าสู้ แล้วผู้พันก็พาทหารเข้าไปยึดขบวนรถได้เรียบร้อยแล้วไม่ใช่รึ” 
            “ใช่ครับ”
            “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันดูแลตัวเองได้”  หลวงปราบพูดพร้อมยกมือขึ้นปรามทหารนายนั้นไว้แล้วเดินสืบเท้าพ้นแนวลวดหนามตรงไปที่หัวรถจักรทันทีปล่อยให้สิบโทนายนั้นยืนนิ่งด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลอยู่ตรงนั้น
            ก่อนจะตัดสินใจก้าวขึ้นบนหัวขบวนรถหลวงปราบไม่ลืมที่จะดึงปืนคู่กายออกจากซองก่อนจะกระชับมันในท่าที่เตรียมพร้อม 
            ปะทะแรกของความรู้สึกเมื่อก้าวขึ้นมาบนขบวนรถคือกลิ่นดินปืนที่ยังคลุ้งอยู่ในตู้โดยสาร  หลวงปราบสืบเท้าผ่านเก้าอี้โดยสารแต่ละตัวไปด้วยความระมัดระวัง  วิถีของกระสุนปืนส่วนใหญ่ทำลายขอบหน้าต่างด้านบน  บางจุดพุ่งตรงเข้าโดนแผงสายไฟจนเป็นรอยไหม้ส่งผลให้กลุ่มควันลอยตัวอยู่อบอวนอยู่ในตู้โดยสาร  ในขณะที่พื้นรถไฟมีสัมภาระประจำกายบางชิ้นของทหารปืนใหญ่นครสวรรค์ตกหล่นอยู่เป็นระยะ
            หลวงปราบสืบเท้าผ่านร่องรอยของการโจมตีจนพ้นโบกี้ที่สาม แต่เขาก็ยังไม่เห็นวี่แววของทหารที่บาดเจ็บแม้แต่น้อย  เขากวาดสายตาไปยังร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่คลายกังวล  วิถีกระสุนมันฟ้องให้เห็นว่าทหารปืนใหญ่ที่โคกกระเทียมไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียถึงชีวิตกับเพื่อนทหารร่วมเหล่าแต่อย่างใด
            นายทหารใหญ่เดินทะลุมาถึงบันไดหลังของโบกี้สุดท้ายก่อนจะเพ่งมองไปที่กลุ่มควันอันเป็นผลจากลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ตกทำลายแนวไม้ใหญ่เบื้องหน้า เขากวาดสายตาไปโดยรอบแล้วถอนหายใจเหมือนโล่งอก
            “พระยาเสนาสงคราม ผมไม่อาจคาดคิดว่าท่านจะตัดสินใจเพื่อเล็งถึงผลชนะมากน้อยแค่ไหนแต่ผมก็สบายใจที่มันออกมาเป็นแบบนี้แบบที่ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดว่าได้พาเหล่าทหารมาล้มตายเพียงเพราะความคิดทางการเมืองที่ต่างกันของผู้บังคับบัญชา” 
หลวงปราบรำพึงในใจก่อนที่จะลดปืนลงเตรียมเก็บเข้าซองข้างเอว  แต่แล้วสายตาก็พลันเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างใต้ต้นจามจุรีใหญ่พ้นแนวปะทะออกไปประมาณสองร้อยเมตร  เขารีบโยนตัวลงจากท้ายโบกี้รีบสาวเท้าตรงไปยังจุดที่เห็น 
ปืนสั้นในมือถูกกระชับแน่นขึ้นมาอีกครั้ง !!
ยิ่งใกล้เข้าไปหัวใจของหลวงปราบเต้นแรงถี่กระชั้น  เขาเริ่มสังเกตว่าความเคลื่อนไหวที่เห็นเมื่อครู่เหมือนจะหยุดอยู่หลังต้นจามจุรีใหญ่นั่น  ตอนนี้เขายืนอยู่ห่างจากจุดต้องสงสัยเพียงไม่กี่ก้าว  นายทหารใหญ่เหยียดสองมือเล็งปากกระบอกปืนไปที่ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าก่อนจะตะคอกออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ใครอยู่หลังต้นไม้ ออกมาเดี๋ยวนี้....ช้าๆ”
ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงหอบหายใจของใครบางคนเล็ดลอดออกมา
“ฉันบอกให้ออกมา ไม่ออกมาฉันยิง”  หลวงปราบสำทับด้วยเสียงเข้ม เสียงหอบหายใจเมื่อครู่ดังขึ้นมากกว่าเดิมจนทำให้หลวงปราบพอคาดเดาได้ว่ามันหมายถึงอะไร  แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตัดสินใจทำอะไรต่อจากนั้น  ร่างของใครบางคนก็พลิกตัวออกมาจากหลังต้นจามจุรี
“หมวดราเชน !!  หลวงปราบอุทานลั่น
“หลวงปราบ..โอ๊ย” เจ้าของเสียงเอามือกุมไหล่ด้านซ้ายที่มีเลือดอาบไหลเป็นทางเอาไว้ สายตาที่เพ่งมองไปยังหลวงปราบดูอิดโรย  เขาพยายามชันกายลุกขึ้นช้าๆ
“ผมไม่คิดว่าหมวดจะมากับเขาด้วย  แล้วนี่คุณโดนกระสุนรึ ?”  หลวงปราบเอ่ยก่อนจะลดปืนลงเก็บเข้าซองแล้วเดินเข้าไปหาผู้หมวดหนุ่มช้าๆ
“แค่ถากไปเท่านั้นแหละครับไม่นักหนาหรอก”  ผู้หมวดหนุ่มตอบ
“ถ้าอย่างนั้นผมจะพาคุณไปหาเสนารักษ์” 
“อย่าเลยครับ ผมขอร้อง” หมวดราเชนพูดพร้อมยกมือขึ้นปราม
“ทำไมล่ะก็คุณบาดเจ็บ หรือว่าคุณกลัวผมบอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัวเพราะกำลังที่มาสกัดพวกคุณไว้เขาไม่ได้คิดจะเล่นงานทหารเหล่าเดียวกันให้ถึงตายหรอก”  หลวงปราบพยายามพูดให้นายทหารหนุ่มสาบายใจแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“เรื่องนั้นผมรู้ดี  แต่ผม...”   หมวดราเชนนิ่งไปชั่วครู่
“แต่อะไร”
“ผมไม่อยากให้ท่านต้องลำบากใจ  บางทีการช่วยฝ่ายตรงข้ามอาจทำให้ผู้ใหญ่บางคนเข้าใจท่านผิดได้  สถานการณ์ตอนนี้มันละเอียดอ่อนมาก  ท่านก็รู้ว่าท่านผู้นำแทบจะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นและที่สำคัญผมก็ไม่อยากตกเป็นเชลย”  ผู้หมวดหนุ่มอธิบาย
“หมวดราเชนกำลังคิดอะไรอยู่”  หลวงปราบพูดพลางมองเข้าไปในแววตาของผู้หมวดหนุ่ม  เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่มองกลับมาเหมือนการวิงวอน
“ผมอยากขอร้องท่านในฐานะลูกศิษย์ขอร้องครูนะครับ”  ผู้หมวดหนุ่มกล่าวก่อนที่ความเงียบจะเคลื่อนตัวเข้ามาคั่นกลางการสนทนา  หลวงปราบยืนนิ่งมองผู้หมวดหนุ่มตรงหน้า  คำว่าลูกศิษย์กับครูทำให้ภาพบางอย่างเคลื่อนเข้ามาในความคิด
ร้อยโทราเชน บุญทัน เป็นนายทหารหนุ่มที่เติบโตมาจากชั้นประทวน  แต่ด้วยผลการเรียนในระดับดีเยี่ยมมีคะแนนเป็นอันดับต้นๆ ของนักเรียนสื่อสารทหารทำให้เขาสอบเลื่อนเป็นทหารชั้นสัญญาบัตรในเวลาอันรวดเร็วและแน่นอนว่าเขามีความคุ้นเคยกับหลวงปราบเป็นพิเศษในฐานะศิษย์กับครู  หลวงปราบเองได้เคยเอ่ยปากชวนเขาให้โอนย้ายสังกัดจากทหารปืนใหญ่มาช่วยงานเขาในเหล่าสื่อสารเพราะอยากได้มือดีๆ มาร่วมงาน  แต่สายเลือดทหารปืนใหญ่ของเขาฝังแน่นจนไม่อาจตัดสินใจได้ 
วันนี้คำว่าศิษย์กับครูทำให้หลวงปราบหนักใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า !!
“ผู้หมวดกำลังจะบอกฉันว่า....”  
“ใช่...ผมอยากให้ท่านลืมเสียว่าได้พบกับผม”  คำพูดของผู้หมวดทำให้หลวงปราบนิ่งงัน  แม้ไม่เกินไปกว่าความคาดเดาแต่เขาก็รู้ในทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ความคิดที่เริ่มต่อสู้กันในสำนึกทำให้นายทหารใหญ่ขบกรามแน่น
“ท่านไม่ต้องกลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้ชีวิตราชการของท่านต้องลำบาก  เพราะจะไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้  จะไม่มีใครได้เจอผมอีก” 
“หมายความว่า....”
“ผมจะไม่กลับไปที่กองทหารปืนใหญ่นครสวรรค์อีก ผมจะไม่เป็นทหารอีกแล้ว”  ผู้หมวดหนุ่มขบกรามแน่น
“แต่เท่าที่เรารู้จักกันมาผมรู้ดีว่าคุณรักชีวิตการเป็นทหารปืนใหญ่มาก  หมวดใจเย็นๆ แล้วคิดใคร่ครวญให้ดี  ผมยังหวังลึกๆ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น  ผมจะรายงานท่านผู้นำเองว่าผู้หมวดไม่เกี่ยวข้อง  ทหารทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวข้อง พวกเขามาเพราะถูกอำนาจบังคับ”  หลวงพูดพลางเอื้อมมือไปแตะบ่าของผู้หมวดหนุ่มเบาๆ 
“หมวดใจเย็นๆ แล้วคิดใคร่ครวญให้ดี ผมจะทำรายงานว่าผู้หมวดไม่เกี่ยวข้อง ทหารทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวข้อง พวกเขามาเพราะถูกบังคับและหลอกใช้”  หลวงปราบพูดพลางเอื้อมมือไปแตะบ่าของผู้หมวดหนุ่มเบาๆ 
“พวกผมคิดใคร่ครวญและประเมินสถานการณ์ดีแล้ว ผู้บังคับกองกำลังผสมปราบกบฏคงไม่มีทางปล่อยให้คู่อริลอยนวลอย่างแน่นอนมีแต่จะล้างบางกันให้สิ้นซากไปเสีย”  ความเงียบเคลื่อนตัวเข้ามาแทรกกลางการสนทนาของคนทั้งสองอีกครั้งคราวนี้มันทอดตัวสงบนิ่งอยู่ชั่วขณะ นายทหารใหญ่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยกับร้อยโทหนุ่ม
“ผมคงไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านี้ใช่มั๊ยผู้หมวด?” 
“สักวันหนึ่งผมคงได้ทดแทนบุญคุณท่วมหัวครั้งนี้”  ร้อยโทหนุ่มพยายามจะพยุงตัวลุกขึ้นยืนแต่เสียงตะคอกจากด้านหลังก็ทำให้พวกเขารีบหันไปมองด้วยความตกใจ!
“มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคุณหลวง” มันเป็นเสียงที่หลวงปราบคุ้นหูและทำให้เขารู้สึกเสียวแปลบข้างใน
“ผู้กองฤทธิรงค์ !”  หลวงปราบอุทาน  สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปที่ปลายกระบอกปืนของผู้กองหนุ่มที่เล็งตรงมายังพวกเขาพร้อมสืบเท้าก้าวเข้ามาหาช้าๆ ลมที่พัดข้ามแนวป่าสองข้างทางรถไฟไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศเบื้องหน้าเย็นลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับโหมกระพือทุกอย่างให้คืบคลานเข้าไปใกล้วิกฤต
“แปลกใจล่ะสิคุณหลวง ผมตัดสินใจไม่ผิดที่ตามคุณหลวงมาเพราะคิดว่าอาจจะได้เจอกับสถานการณ์ดีๆ แบบนี้  แล้วผมก็เจอจริงๆ”  น้ำเสียงของผู้กองหนุ่มเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มเยาะ
“ผู้กองฤทธิรงค์ คุณมันอสรพิษชัดๆ”  ร้อยโทบัญชาพูดขึ้นพร้อมขบกรามแน่น
“เฉยๆ ดีกว่าหมวดคุณมันแค่เบี้ยแต่ผมกำลังรุกฆาตขุนอย่างคุณหลวง”  เจ้าของเสียงพูดพลางสืบเท้าเข้ามาใกล้
“ผู้กองต้องการอะไร ?”  หลวงปราบตัดบท
“ต้องการอะไรนะเหรอ ฮ่าๆๆ” ผู้กองหนุ่มหัวเราะลั่นก่อนจะหลุดประโยคสำคัญที่ทำให้ทั้งหลวงปราบและร้อยโทบัญชาแทบหยุดหายใจ
“ก็ต้องการนักโทษการเมืองตัวเอ้พร้อมลูกสมุนไงล่ะคุณหลวง”  ผู้กองหนุ่มกระชับปืนในมือเหมือนเป็นสัญญาณเตือน
“ผู้กองทำแบบนี้เพื่ออะไร” หลวงปราบถาม 
“โธ่...ไม่น่าถามเลยคุณหลวง ตั้งแต่คณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนถึงวันนี้คุณหลวงไม่เคยรู้สึกเลยหรือว่าชีวิตทหารของพวกเราเปลี่ยนแปลงกันไปแค่ไหน คุณหลวงไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่ผมไม่บอดใบ้เหมือนหมวดบัญชาหรอก ชื่อบัญชาเสียเปล่าแต่ให้เขาจูงจมูกเอาได้ ฮ่าๆๆ”  แววตาเย้ยหยันของผู้กองฤทธิรงค์มองไปที่ร้อยโทหนุ่ม
“ที่ผมเข้าใจคือผู้กองกำลังจะเหยียบผมขึ้นไปสู่อำนาจที่คุณคิดว่าหอมหวนแต่ไม่รู้หรอกว่ามันอันตรายแค่ไหน” หลวงปราบยังควบคุมน้ำเสียงได้นิ่งเหมือนไม่สะทกสะท้านกับปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องมาสอนผมคุณหลวง อย่าปฏิเสธเลยว่าไอ้ที่เสวยอำนาจกันอยู่ตอนนี้มันก็เหยียบหัวกันขึ้นมาทั้งนั้น” ผู้กองหนุ่มระเบิดเสียงลั่น
 “ปล่อยคุณหลวงไปซะแล้วเอาตัวผมไป คุณหลวงไม่มีความผิดอะไร”  หมวดบัญชาพูดแทรกขึ้นในทันที
“สายไปแล้วหมวดก็บอกแล้วไงว่าวันนี้ข้าจะได้นักโทษการเมืองตัวเอ้กับลูกสมุนไปเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ต้องขอบคุณท่านบวรเดชจริงๆ ที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้ข้า ส่วนหมวดจะคิดเจาะช่องน้อยหนีไปง่ายๆ แบบนี้มันดูจะง่ายไปหน่อย เพราะถึงยังไงความลับก็ของหมวดกับคุณหลวงก็อยู่ในมือฉันแล้ว”  ร้อยเอกฤทธิรงค์หัวเราะอย่างคนแสนลำพอง  แต่แล้วเสียงหัวเราะของผู้ที่กำลังจะได้รับชัยชนะกลับสะดุดหยุดลงอย่างไม่มีใครคาดคิด
“เสียใจด้วยความลับของผู้กองต่างหากที่อยู่ในมือผม  ค่อยๆ วางปืนลงแล้วหันมาช้าๆ ถ้ามีตุกติกแม้แต่นิดเดียวผมยิงผู้กองแน่”   นายทหารทั้งสามนายหันกลับไปยังต้นเสียงที่ไม่คาดคิดพร้อมๆกัน
“หมู่เมฆ !” หลวงปราบอุทานขึ้นเบาๆ ในขณะที่ผู้กองฤทธิรงค์กลอกตามองด้วยความตกใจ  เจ้าของเสียงเมื่อครู่ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้เขามากขึ้นสองมือกระชับปืนเล็งไปที่เป้าหมายอย่างมั่นใจรัดกุม
“เร็วๆ ผู้กองแล้วเตะปืนมาให้ผมอย่าให้ผมต้องนับระยะแค่นี้หัวกะโหลกผู้กองกระจุยแน่”  ชัยชนะแค่เอื้อมมือหลุดลอยไปในพริบตา ผู้กองหนุ่มขบกรามแน่นในขณะที่ค่อยๆ หย่อนปืนลงบนพื้นแล้วเตะมันกระเด็นไปใกล้คอมแบทของหมู่เมฆ
“ยกมือขึ้นช้าๆ”  หมู่เมฆกระชับปืนให้เห็นแล้วหันไปเอ่ยกับหลวงปราบ  “คุณหลวงคงต้องช่วยผมอีกแรง”  หมู่เมฆมองไปที่แววตาของหลวงปราบอย่างลูกน้องผู้รู้ใจนายก่อนที่จะลดสายตาลงไปที่ปืนข้างเอวแล้วเหลือบตาขึ้นพยักหน้าให้นายทหารใหญ่เล็กน้อย  เพียงแค่นี้หลวงปราบก็รู้ได้ทันทีว่าจ่าเมฆหมายถึงอะไร  เขาชักปืนออกจากซองแล้วเล็งไปที่ผู้กองฤทธิรงค์อีกคน 
“หมู่เมฆคิดดูดีๆ ฉันกำลังจะเป็นผู้ชนะและนายก็จะได้ดิบได้ดีไปกับฉันในฐานะนายทหารคนสนิท ไม่ต้องดักดานเป็นสิบโทแบบนี้หรอก”  ผู้กองฤทธิรงค์ซึ่งตอนนี้ยกสองมือขึ้นเหนือไหล่อย่างเชลยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ข่มคุมอารมณ์อันคุกรุ่น
“ไม่ต้องมาหว่านล้อมผม  ผมรู้ดีว่าควรจะต้องทำยังไง”  หมู่เมฆตอบหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ได้ยินได้รู้หมดแล้วสิว่าคุณหลวงกับผู้หมวดบัญชามีความผิดร้ายแรงแค่ไหน  ทำไมเราไม่มาร่วมมือกันจับกบฏเล่า”  ผู้กองฤทธิรงค์พูดพลางเพ่งมองไปที่หลวงปราบซึ่งตอนนี้กลายเป็นผู้เล็งปืนเข้าหาเขาอีกคน
“คุณหลวงไม่เคยคิดร้ายต่อประเทศหรือต่อใครสิ่งที่คุณหลวงทำผมเชื่อว่าคุณหลวงได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว  แต่ผู้กองไม่ใช่  ผู้กองกำลังหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้สถานการณ์ที่เราแทบจะไม่มีส่วนขัดแย้งอะไรด้วยเลย”  หมู่เมฆพูดพลางสืบเท้าเข้ามาใกล้แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงเก็บปืนที่อยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ในมืออีกกระบอก
“หมู่เมฆแกคิดว่าถ้าทำตามที่คุณหลวงต้องการแล้วเรื่องมันจะจบลงง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ  คราวนี้หมู่เมฆจะโดนความผิดไปด้วยอีกคนเสียเปล่าๆ”  ผู้กองหนุ่มไม่ละความพยายามคราวนี้แววตาเจ้าเล่ห์ของเขาฉายแววเด่นชัดขึ้น
“ใช่...มันไม่จบง่ายๆเหมือนกรณีเครื่องวิทยุนั่นหรอกผู้กอง” คำพูดของหมู่เมฆทำให้ผู้กองฤทธิรงค์ถึงกับชะงัก
“แกหมายความว่ายังไง”  ผู้กองหนุ่มกระชากเสียง
“ผู้กองไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าบารมีของคุณหลวงที่คุ้มกะลาหัวผู้กองให้รอดพ้นการสอบสวนครั้งนั้นมาได้ก็เพราะท่านช่วยกรรมการสรุปผลการสอบสวนว่าไม่มีพยานยืนยันว่าผู้กองเอาวิทยุพวกนั้นไปไว้ที่ไหน”  หมู่เมฆพูดพลางเหลือบตามองดูหลวงปราบเล็กน้อย   ดูเหมือนทั้งหลวงปราบและหมวดบัญชากำลังรอฟังสิ่งที่จ่าเมฆพูดด้วยความสนใจในขณะที่ผู้กอง ฤทธิรงค์ยืนขบกรามแน่น  เปลือกตาของเขาเต้นระริกด้วยความโกรธก่อนจะพูดตอบหมู่เมฆออกไป
“ฉันบริสุทธิ์กรรมการสอบสวนก็สรุปออกมาแล้วว่าไม่มีพยานชี้ชัดว่าฉันเกี่ยวข้องในเรื่องนี้คุณหลวงก็รู้ดี”  ผู้กองหนุ่มมองไปที่หลวงปราบเหมือนต้องการคำยืนยัน  แต่แล้วคำพูดของหมู่เมฆกลับทำให้เขาหน้าซีดเผือก
“ก็เพราะพยานมันยืนอยู่ตรงนี้ไง!”  หมู่เมฆเน้นคำ แม้แต่หลวงปราบเองก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำนี้จากปากของลูกน้องคนสนิทเป็นครั้งแรก 
“แก...แกมัน”  ผู้กองหนุ่มพูดได้แค่นั้นข้อมูลทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาจากปากหมู่เมฆอีกครั้ง
“ความเคลื่อนไหวของผู้กองอยู่ในสายตาผมตลอด  ตอนที่กองทหารหยุดพักที่โคราชหลังจากกลับจากลาวผมเห็นคุณเคลื่อนย้ายวิทยุสื่อสารสองเครื่องไปซ่อนไว้ที่บ้านพักท้ายกรมก่อนที่คนของคุณจะมาขนมันไปในตอนดึก ผมนี่แหละที่แอบเข้าไปถอดสายอากาศวิทยุออกมาเครื่องหนึ่ง  ผู้กองก็รู้ดีแก่ใจไม่ใช่หรือว่าวิทยุที่คุณแอบขโมยไปมันใช้งานได้เพียงเครื่องเดียวและเป็นเครื่องที่เราดักจับสัญญาณได้ว่าตอนนี้มันถูกฝ่ายกบฏเอาไปใช้งานอยู่ที่โคราชไม่ใช่รึ”  หมู่เมฆจ้องหน้าผู้กองหนุ่มนิ่งราวกับจะบีบลมหายใจของเขาเอาไว้ในกำมือ
“เป็นแกนี่เอง”  ผู้กองหนุ่มพูดพลางขบกรามแน่นแววตาแข็งกร้าวด้วยความโกรธ
“คุณทำงานให้ฝ่ายกบฏแท้ๆแต่ตอนนี้คุณกำลังจะสร้างเรื่องเพื่อไปเอาผลงานกับรัฐบาล  มันไม่เรียกว่าอสรพิษแล้วจะเรียกว่าอะไร
“แกมัน...”  ผู้กองฤทธิรงค์ง้างหมัดในขณะที่หมู่เมฆฉากถอยมาหนึ่งก้าวก่อนจะกระชับปืนในมือขู่กลับไป  เช่นเดียวกับหลวงปราบที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อม
“อย่านะผู้กอง ไม่งั้นผมยิงกะบาลแยกแน่” หมู่เมฆกระชับปืนในมือให้เห็น
“แกจะเอายังไงว่ามา”  ผู้กองหนุ่มพูดอย่างเสียอารมณ์
“ทำตามที่คุณหลวงบอก  ปล่อยผู้หมวดบัญชาไปซะแล้วเราจะกลับไปที่หน่วยกันโดยไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีก  ผมจะไม่ปริปากเรื่องของผู้กองอีกจะมีเราสี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้”
“ฉันจะไว้ใจพวกแกได้ยังไง ?”  ผู้กองหนุ่มพูดพลางกวาดตามองไปที่ทุกคน 
“ทุกอย่างจะเรียบร้อยถ้าคุณเป็นสุภาพบุรุษพอ”  หมู่เมฆเอ่ยขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดที่หยุดทุกอย่างได้จะออกมาจากปากของทหารชั้นผู้น้อยนายนี้  ทั้งผู้กองฤทธิรงค์  หมวดบัญชาหรือแม้กระทั่งหลวงปราบเองก็ไม่คาดคิดว่าหมู่เมฆจะเก็บงำความลับสำคัญไว้ได้ถึงขนาดนี้
“ผมอยากให้ผู้กองคิดไตร่ตรองให้ดีระหว่างความทะยานอยากส่วนตัวกับความเป็นพี่เป็นน้องในหมู่ทหารของพวกเราที่เคยรบร่วมเป็นร่วมตายกันมา”  หลวงปราบกล่าวขึ้นทำลายความเงียบและความอึดอัดที่ครอบคลุมทหารทั้งสี่นาย  ตอนนี้สีหน้าและแววตาของผู้กองฤทธิรงค์ดูผ่อนความดุดันขึงขังลงไปมากเหมือนผู้ต้องหาคดีที่จำนนต่อหลักฐานแต่ไม่ยังไม่จำนนต่อความนึกคิดจิตใจของตัวเอง
“ผู้กองคิดดูก็แล้วกันระหว่างข้อหาปล่อยเชลยกับข้อหาสมคบคิดกับฝ่ายกบฏด้วยการขโมยยุทโธปกรณ์ไปเตรียมการในครั้งนี้  ข้อหาไหนจะหนักหนาสาหัสกว่ากัน”  จ่าเมฆกล่าวสำทับราวกับรู้ว่าผู้กองหนุ่มกำลังคิดอะไร  เขาปล่อยให้ผู้กองฤทธิรงค์ใช้ความคิดอยู่ชั่วขณะ  ในที่สุดประโยคสำคัญก็ออกมาจากปากของนายทหารผู้ทะเยอทะยาน
“ก็ได้..วันนี้มันไม่ใช่วันของฉัน”  แม้จะไม่ใช่คำสารภาพแต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ทุกอย่างได้ดำเนินไปตามเหตุและผลของมัน  หมวดบัญชากล่าวลาหลวงปราบและจ่าเมฆก่อนจะประคองร่างที่บาดเจ็บของตัวเองลับหายไปในแนวป่าข้างทางผู้กองฤทธิรงค์จึงเดินนำหน้าหลวงปราบกลับไปยังศูนย์วิทยุโดยมีจ่าเมฆเดินคุมเชิงอยู่ด้านหลัง  ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีกนอกจากความเงียบที่เข้าไปเกาะกุมหัวใจทหารทั้งสามนายไว้ราวกับจะบีบบังคับให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง
ความลับเก่าไม่ได้ถูกทำให้หายไปแต่กลับมีความลับใหม่เกิดขึ้นและห่อหุ้มเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ให้เป็นละครเรื่องเดียวกัน

..............................