วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 14)

รถไฟ นาฬิกาและชะตาชีวิต


ภาพจาก http://www.foxnews.com/health/                                                      จีรวัฒน์  ครองแก้ว

                วันแรกของการเป็นพ่อค้าลูกชิ้นปิ้งของผมกับพี่เปี๊ยกเริ่มต้นขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น  ประเมินดูจากลูกชิ้นที่พี่เปี๊ยกปิ้งแล้ววางใส่ถาดให้ผมมีทั้งที่ยังไม่สุกและไหม้เกรียม  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะใส่ใจนัก  คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะให้ขายหมดไวๆ แล้วกลับไปนอนคุยกับพี่เปี๊ยกมากกว่า
                พี่เปี๊ยกก็เช่นกัน  ดูแกจะไม่มีสมาธิกับการปิ้งลูกชิ้นสักเท่าไหร่  ผมสังเกตเห็นแกชะเง้อมองขบวนรถไฟทุกขบวนที่เคลื่อนเข้ามาในชานชะลาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน
                “เอ็งปิ้งดีๆ ได้มั๊ยวะไอ้เปี๊ยก  ดูสิไหม้หมดแล้ว  ถ้าไม้ไหนขายไม่ได้กูจะเอาคลุกขี้เถ้าให้พวกมึงกินแทนข้าว” 
                ในหัวสมองผมมีแต่คำถามทุกครั้งที่เธอเกรี้ยวกราดใส่พวกเรา  ถ้าเธอจะทำดีกับเราขึ้นกว่านี้สักนิด  บางครั้งผมกับพี่เปี๊ยกอาจทนอยู่กับความลำบากนี้ได้  แต่เมื่อเธอและนายชดไม่เคยคิด  ทำไมผมและพี่เปี๊ยกจะต้องทนอยู่กับการจองจำที่แสนทรมานนี้
ตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  ผมแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่เปี๊ยกเลย  เพราะน้าณีนั่งคุมเชิงพี่เปี๊ยกอยู่ไม่ห่าง  เมื่อใดที่รถไฟเข้าเทียบชานชะลา  เธอจะเดินตามไปยืนดูผมขึ้นไปขายลูกชิ้นบนขบวนรถอย่างไม่คลาดสายตาและเธอจะมีความสุขทุกครั้งที่ผมกลับลงมาพร้อมเงินเต็มถาดที่ยื่นให้
                “มึงมัวเหม่ออะไรอยู่วะไอ้บอย  รถไฟเข้าสถานีแล้วไม่เห็นเหรอ”
                เสียงตวาดของเธอทำให้ผมสะดุ้ง  พี่เปี๊ยกมองมาที่ผมแล้วพยักพเยิดให้ผมรีบเอาลูกชิ้นใส่ถาด  แกคงรำคาญเสียงของเธอเต็มที
                ผมรีบเอาลูกชิ้นใส่ถาดแล้วเดินตรงไปที่ขบวนรถไฟ  กลิ่นลูกชิ้นปิ้งหอมกรุ่นที่ลอยมาเตะจมูกอยู่แค่คืบไม่ได้ยั่วน้ำลายผมแล้ว  มันกลายเป็นกลิ่นที่บีบคั้นความรู้สึกจนต่อมน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
                “ลูกชิ้นปิ้งครับลูกชิ้นปิ้ง” 
                เสียงร้องขายลูกชิ้นของผมฟังดูไม่ราบเรียบนัก  บางครั้งมันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ  จนผมต้องพยายามตัดความกังวลทั้งหมดออกไปเมื่อคิดได้ว่า  ถ้าวันนี้ลูกชิ้นเหลือ  มันคงไม่เป็นผลดีสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกอย่างแน่นอน
                ทางออกของผมคือการพยายามทำความรู้สึกให้เพลิดเพลินกับความจอแจบนโบกี้รถไฟ  เพราะผู้คนที่เดินทางมากับรถไฟแต่ละขบวนเหมือนละครโรงใหญ่ที่มีชีวิต 
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนมารวมกันมากมายขนาดนี้  แต่ละคนแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย  บางคนแต่งเครื่องแบบเท่ห์ๆ และนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น  บางคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มาพร้อมสัมภาระกองใหญ่   พวกเขาพูดคุยกันเหมือนไม่อยากหยุดพักหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันมานานแรมปี 
ที่นั่งตอนท้ายของแต่ละโบกี้มักจะมีพระภิกษุนั่งอยู่  ท่านนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น บางครั้งผมเห็นมีลูกศิษย์นั่งมาด้วย  อายุคงจะไล่เลี่ยกับผม
แต่แววตาพวกเขาไม่เหมือนผม
บางโบกี้จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่แต่งตัวด้วยเสื้อแขนสั้นสีขาวทั้งหมด  ผู้ชายจะใส่กางเกงขายาวสีดำส่วนผู้หญิงจะใส่กระโปรงสีดำบ้างน้ำเงินบ้างคละกันไป  หน้าตาที่สดใสดูมีความสุขไม่แพ้คำพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ครื้นเครงอยู่เป็นอยู่ระยะ  พวกเขาเหมือนคนพิเศษในสายตาผม
                ถ้าพี่เปี๊ยกได้เรียนหนังสือก็คงแต่งตัวแบบนี้  !! 
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร  พวกเขาดูมีความสุขกับการเดินทางมากกว่าเด็กขายลูกชิ้นปิ้งอย่างผม  อาจจะมีบางคนที่เหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างบ้าง  แต่เขาคงเหม่อลอยออกไปด้วยความเพลิดเพลินมากกว่า  ไม่เหมือนผมที่เหม่อลอยเกือบจะเจอดี
“ระวังไอ้หนู !!
ผู้หญิงวัยกลางคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านริมบนรถไฟร้องทักด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยพร้อมกับมือที่ยืนมาประคองไหล่ผมที่เอนเข้าไปหา  ในขณะที่ผมพยายามฝืนมือที่ถือถาดลูกชิ้นให้ตั้งตรงเข้าไว้ 
“เดินดีๆ อย่าเหม่อสิวะไอ้เด็กใหม่”
ผมหันไปตามเสียง   เห็นเด็กหนุ่มอายุน่าจะมากกว่าพี่เปี๊ยกสักสองสามปียืนแสยะยิ้มอยู่ข้างๆ ในมือเขาแบกถาดขายของสัพเพเหระเช่นยาดม กระดาษชำระและหมากฝรั่ง  ตัวเขาดำเหมือนเอาถ่านไปทาเอาไว้เช่นเดียวกับผมที่หยิกจนขดกันเหมือนรังนก 
แต่แววตาที่มองมาเหมือนเย้ยหยันและข่มเด็กใหม่อย่างผมอยู่ในที
“ขอโทษครับ”
สัญชาติญาณเอาตัวรอดทำให้ผมรีบพูดออกไปเสียก่อนที่เขาจะรู้สึกหมั่นไส้ผมไปมากกว่านี้
“เฮ้ย...เดี๋ยวพวกกูรับน้องให้เอามั๊ย ?”
ผมไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูดนอกจากรีบเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว  สังเกตว่ายังมีพรรคพวกของเขายืนรอหัวเราะเยาะผมอีกสองสามคน  บางคนขายหนังสือพิมพ์  บางคนขายน้ำอัดลม
“มึงจะเดินหนีไปไหน  เดี๋ยวก็ต้องเจอกูอีก” 
เสียงเด็กผมหยิกคนนั้นพูดไล่หลังมาแต่ผมไม่อยากหันไปมอง  สังเกตดูผู้โดยสารบนขบวนรถก็ไม่สนใจอะไรสิ่งที่เกิดขึ้นนัก  พวกเขาดูเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับเด็กขายของบนรถไฟสักเท่าไหร่  หรือไม่ก็คงไม่อยากเสียเวลาใส่ใจกับเด็กที่ไร้ราคาอย่างเรา
สิ้นเสียงระฆังนายสถานีประกาศว่ารถไฟกำลังจะออกเดินทางต่อ                                                                      พลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในอารมณ์ชั่ววูบ !!
“หรือเราจะหนีไปกับรถไฟขบวนนี้ ?”
สติที่ถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็วบอกผมในทันทีว่าเป็นไปไม่ได้  ถึงผมจะหนีไปได้แต่ผมจะทิ้งพี่เปี๊ยกไว้คนเดียวได้อย่างไร
ความรู้สึกที่โง่เขลาถูกลบหายออกไปในทันที  เหลือเพียงความรู้สึกผิดที่กลับมาทิ่มแทงตัวเอง
ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น  ผมตัดสินใจก้าวลงจากโบกี้สุดท้ายของขบวนรถเดินกลับไปหาพี่เปี๊ยก 
“เป็นไงวะไอ้พ่อค้าลูกชิ้นปิ้ง” 
เสียงนายเพิงทักผมเมื่อเดินมาถึงรถเข็นปิ้งลูกชิ้น  หน้าตายียวนของเขาทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนอยู่ข้างใน 
“อ้าว..มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”  น้าณีร้องทัก
“สักพักนี้แหละ จะมาถามพี่ณีว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย” 
นายเพิงถามพลางหันมามองหน้าผม
“ก็เรียบร้อยดี  ขายดีซะด้วยสิ” 
“ใช้ไอ้บอยขายน่ะดีแล้ว  คนเขาจะได้สงสาร  ว่าแต่ว่าเอ็งไปรายงานตัวกับพี่ใหญ่เอ็งหรือยังหล่ะ ?”
นายเพิงโน้มตัวลงมาหาผม  นัยน์ตาของเขาดูเจ้าเล่ห์พิกล  ผมอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ว่าไงน้าเพิงมาตรวจงานแต่เช้าเลยนะ” 
ผมหันไปตามเสียง  เด็กชายผมหยิกที่กระแทกผมเกือบล้มบนขบวนรถนั่นเอง 
“นี่ไงไอ้บอยลูกพี่เอ็ง ไอ้ก้าน รู้จักเอาไว้ซะ”
นายเพิงพูดพลางชี้นิ้วไปที่เด็กผมหยิกคนนั้น
“อ๋อ...รู้จักกันแล้ว  แต่ยังไม่ได้รับน้อง  รอโอกาสเหมาะๆ ก่อน”
เสียงลากยาวของเด็กชื่อก้านยียวนจนอยากจะอาเจียน  ผมเบือนหน้าหนีหันไปทางพี่เปี๊ยกเห็นแกยืนขบกรามนิ่ง  ในมือกำไม้คีบถ่านแน่นพร้อมสายตาที่มองเด็กชื่อก้านอย่างไม่ไว้ใจ
“ไอ้หนูช่วยดูไอ้บอยให้น้าด้วยนะ”
เสียงน้าณีพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงจ๊ะน้า  เรื่องดูแลเด็กๆ นี่ขอให้บอกฉันเอาอยู่หมัดอยู่แล้ว”
ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าคนชื่อก้านหันมาทางผมพร้อมแสยะยิ้มเห็นฟันขาวแถมยักคิ้วอย่างยียวน 
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะพี่ณี”
ก่อนจะไปจากตรงนั้นนายเพิงก้มลงมากระซิบบางอย่างกับผมที่ข้างหู
“ถ้าเอ็งขายเก่งๆ อีกหน่อยข้าจะเอาลูกชิ้นเม็ดเล็กๆ มาให้เอ็งขายนะไอ้หนู หึๆ”
นายเพิงหลิ่วตาใส่ผมก่อนเดินจากไป  ทิ้งไว้แต่ความสงสัยว่าลูกชิ้นเม็ดเล็กที่พูดถึงนั้นมันคืออะไร  แต่ก่อนที่ความคิดจะอึดอัดมากไปกว่านั้น  เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ
วันนั้นผมต้องวนเวียนขึ้นลงรถไฟเพื่อขายลูกชิ้นปิ้งอีกนับสิบรอบ

@@@@@

                “ไอ้บอย  อย่าเพิ่งหลับ”
                เสียงกระซิบของพี่เปี๊ยกดังขึ้นที่ข้างหูผมขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ
                “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราต้องวางแผนหนีกัน !
                ในที่สุดคำพูดนี้ก็หลุดออกมาจากปากพี่เปี๊ยก
                “แต่ข้าสังหรณ์ใจ”
                คำพูดเพียงสองสามคำแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นกังวลของพี่เปี๊ยก
                “พี่สังหรณ์ใจอะไร ?”  ผมกระซิบถาม
                “ข้าสังหรณ์ใจว่าการหนีของเรามันจะยากกว่าที่พี่นุชหนี”
                พี่เปี๊ยกเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ
                “ไอ้บอย  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอ็งต้องดูแลตัวเองให้ได้รู้มั๊ย”
                ผมพยักหน้าอยู่ในความมืด
                “ไฟฉายอยู่ไหน” พี่เปี๊ยกถาม
                “อยู่นี่จ๊ะ” 
ผมล้วงไฟฉายในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้พี่เปี๊ยก  พี่เปี๊ยกรับมันไว้แล้วดึงผมห่มมาคลุมตัวเราสองคนก่อนที่จะเปิดไฟฉายขึ้นแล้วล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“เอ็งดูนี่”  
พี่เปี๊ยกกระซิบแล้วส่องไปฉายไปที่นาฬิกาข้อมือที่น้าเมฆให้มา
“เราจะรอดไปได้เพราะนาฬิกาเรือนนี้” 
พี่เปี๊ยกพูดแต่ผมกลับไม่เข้าใจความหมาย
“เอ็งกับข้าต้องอดทนอีกสักสองอาทิตย์  ข้าต้องการให้แน่ใจว่าทุกอย่างมันจะตรงเวลาหรือเปล่า”
คำพูดของพี่เปี๊ยกทำให้ผมสับสนมากขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจ” 
ผมบอกพี่เปี๊ยกไปตามตรง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้  ข้าจะใช้นาฬิกานี้จับเวลาทุกอย่างเอาไว้โดยเฉพาะขบวนรถไฟที่ล่องลงใต้”
พี่เปี๊ยกค่อยๆ เฉลยแผนการ  แต่ผมก็ยังคงไม่เข้าใจนัก
“เอ็งเห็นมั๊ยว่ารถไฟที่ล่องลงใต้ทุกขบวน จะมีท้ายขบวนอยู่ใกล้กับหน้าบ้านที่สุด  ถ้าเรารู้ได้ว่าขบวนรถไฟขาล่องจะเข้าจอดที่สถานีเวลาไหนและออกเวลาไหน  โอกาสที่เราจะหนีไปกับรถไฟขบวนนั้นก็เป็นไปได้  แต่ทุกอย่างต้องแน่ใจเสียก่อน”
ผมเริ่มเห็นภาพ  จริงอย่างที่เปี๊ยกบอก  รถไฟขาล่องทุกขบวนจะทิ้งท้ายขบวนไว้ห่างจากบ้านหลังนี้ไม่มากนัก  ทุกขบวนจะจอดส่งผู้โดยสารนานพอสมควร  นานพอที่จะทำให้ผมขายลูกชิ้นได้หลายไม้
“พรุ่งนี้เราจะถ่วงเวลาออกจากบ้านให้พอดีกับขบวนรถไฟที่เข้ามาจอด  จะได้รู้ว่าโบกี้สุดท้ายมันอยู่ห่างจากหน้าบ้านกี่เสาไฟฟ้า” 
                แผนการของพี่เปี๊ยกแทบทำให้ผมนอนไม่หลับ  
                ภาพของรถไฟที่กำลังเคลื่อนขบวนออกจากสถานีไปพร้อมกับอิสรภาพ  วนเวียนอยู่ในความคิดผมแทบตลอดคืน.

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 13)

วงล้อมซาตาน



ภาพจาก http://www.sociology.org/wp-content/uploads/19706975.jpg                  จีรวัฒน์ ครองแก้ว


ผมกับพี่เปี๊ยกสะดุ้งตื่นตามเสียงกุกกักที่ดังมาจากด้านใน  ความจริงผมไม่ได้หลับสักเท่าไหร่หรอก  เรื่องราวทั้งหมดวนเวียนเข้ามาในหัวให้คิดแทบตลอดคืน 
คิดถึงพี่สาวทั้งสามคน 
คิดถึงน้าเมฆผู้ที่ไม่ใช่ญาติแต่ยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเด็กห้าคนที่ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเอง 
คิดถึงลุงอรุณผู้ใจดีที่โอบอุ้มเด็กสาวทั้งสามคนไว้ด้วยจิตใจที่อ่อนโยน 
คิดถึงเจ้าปานและสนามเด็กเล่นที่ผมคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเล่นอีกต่อไป
แต่ตอนนี้ผมคิดถึงใครไม่ได้อีกแล้ว
“ไอ้สองคนรีบอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้าไปซื้อของในตลาดด้วยกัน” 
เสียงของคนที่ผมยังจำใจต้องเรียกว่าแม่ร้องสั่งมาจากในห้อง
ตลาด !!  พวกเขาจะไปซื้ออะไรกัน  ผมไม่อยากคาดเดา  รู้แต่เพียงว่าต่อจากนี้ไปผมกับพี่เปี๊ยกสองคนคงต้องถูกเขาควบคุมอย่างไม่คลาดสายตา
เมื่อจัดการกับธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย  คนอีกคนหนึ่งที่ผมยังต้องจำใจเรียกว่าพ่อเดินนำหน้าพวกเราก้าวพ้นประตูห้อง 
ทันทีที่ก้าวมายืนอยู่ด้านนอก  จินตนาการท่ามกลางความมืดของผมเมื่อคืนก็ปรากฏเป็นจริงอยู่ตรงหน้า
ด้านหน้าของห้องเช่านับสิบห้องคือถนนเล็กๆ ที่ทอดขนานไปกับทางรถไฟ  ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่นับร้อยห้องทอดตัวไปตามแนวถนนกับทางรถไฟเช่นกัน 
ต่างกันตรงที่ระหว่างทางรถไฟกับถนนฝั่งนั้นมีรั้วตาข่ายสูงท่วมหัวกั้นเป็นแนวยาว   ผมเหมือนถูกตัดขาดออกจากสังคมอีกส่วนหนึ่งเหมือนเดิมไม่มีผิด
มองไปด้านซ้ายมือผมเห็นขบวนรถไฟจอดอยู่สองขบวน  ถัดไปเป็นอาคารชั้นเดียวหลังคามุงด้วยกระเบื้องตั้งขนานไปกับทางรถไฟและถนน  ป้ายขนาดใหญ่สีขาวด้านหน้าตรงอาคารนั้นบอกให้รู้ได้ในทันทีว่ามันคือสถานีรถไฟ
ที่ซุกหัวนอนใหม่ของเราห่างจากสถานีรถไฟเพียงไม่กี่เสาไฟฟ้า ?
ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็มีเสียงเรียกพ่อมาจากด้านหลัง 
“หวัดดีพี่ชด” 
ทุกคนหันไปมองตามเสียง  ชายร่างสันทัดผิวคล้ำไว้หนวดเฟิ้มจนดูรกลูกตาเดินเข้ามาใกล้พวกเรา 
เขาคือคนที่ชายหน้าบากพูดถึงเมื่อคืน
“หวัดดีเอ็งคงชื่อเพิงใช่มั๊ย ?”  พ่อถาม
“ใช่ฉันเอง  ยินดีต้อนรับพี่” 
สำเนียงพูดของเขาปนเหน่อเล็กน้อยแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ยังไงข้าขอมาเป็นเพื่อนบ้านด้วยคนนะ” 
พ่อบอกพร้อมเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบาๆ
“ด้วยความยินดีเลยพี่  ได้มือดีๆ อย่างพี่มาอยู่ใกล้ๆ พวกฉันคงมีอะไรทำสนุกๆอีกเยอะ” 
คนชื่อเพิงตอบพร้อมยิ้มฟันขาว  ผมมองเข้าไปในตาของเขาเห็นแววของความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่ผ่านมา  แม้ว่าการพูดคุยของพวกเขาจะดูเปิดเผยสำหรับผมกับพี่เปี๊ยกมากขึ้น  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาคุยกัน 
คำว่า “มือดี” ที่ว่านั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไร
คนที่โหดเหี้ยมและดิบเถื่อนอย่างนี้จะเป็นมือดีได้อย่างไร ?
รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ผมเรียกเขาว่าพ่อ ความรู้สึกสะอิดสะเอียดจะอัดแน่นขึ้นมาที่คอหอย !!

@@@@@

                รถกระบะคันเก่าพาเราตระเวนเข้าไปในตลาด  ผมสังเกตว่าเขาตั้งใจที่จะขับวนไปมารอบเมืองเพื่อให้รู้เส้นทาง 
                พิษณุโลกใหญ่และเจริญกว่าที่ผมคิด  ถนนหนทางและร้านรวงอัดแน่นและดูยุ่งเหยิงไม่น้อยไปกว่าหาดใหญ่  ดูเหมือนรถราที่นี้จะมีมากกว่าด้วยซ้ำ  บางครั้งเครื่องบินลำใหญ่ก็บินผ่านหัวผมไปเหมือนกำลังจะร่อนที่หลังตึกข้างหน้า 
ถ้าการอยู่ที่หาดใหญ่มันไม่เคยมีอะไรง่าย  ที่นี่ก็คงไม่ง่ายเหมือนกัน ดีแต่ว่าสำเนียงพูดคุยของคนที่นี่ไม่ทำให้ผมต้องเดาความหมายให้ปวดหัว
รถกระบะสัปปะรังเคคันเดิมพาเราวนไปรอบๆ เมืองกว่าครึ่งชั่วโมง  ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ร้านขายของขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  ในร้านเต็มไปด้วยอุปกรณ์ขายของสำหรับแม่ค้า 
แม่เข้าไปในร้านเพียงคนเดียวปล่อยให้พ่อนั่งเฝ้าผมกันพี่เปี๊ยกอยู่ในรถ
“เอ็งว่าเขาจะซื้ออะไร” 
พี่เปี๊ยกถามขึ้นมาลอยๆ
“ซื้อของใช้ในบ้านมั๊ง” 
ผมตอบซื่อๆ เพราะคาดเดาอะไรไม่ออกจริงๆ
“ไม่ใช่หรอก  ข้ารู้ว่าเขากำลังจะหาอะไรให้เราทำ  เขาไม่ปล่อยให้เรากินข้าวฟรีๆ หรอก” 
พี่เปี๊ยกตอบด้วยแววตาขึ้งเครียด แต่เขาก็คาดไม่ผิด  แม่เดินมาที่รถพร้อมกับเด็กประจำร้านที่ยกอุปกรณ์มาด้วยหลายอย่าง  มีทั้งรถเข็น เตา  ที่ปิ้งลูกชิ้น  หม้อลูกใหญ่ที่มีหูหิ้ว    
ผมกับพี่เปี๊ยกมองหน้ากันต่างคนต่างรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับ  พี่เปี๊ยกเอื้อมมือไปจับของเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด  
“ไอ้บอย  เอ็งกับข้ากำลังจะกลายเป็นพ่อค้าลูกชิ้น”  พี่เปี๊ยกบอกผม
“ดีสิฉันจะได้กินลูกชิ้นให้อร่อยไปเลย” 
ผมแสร้งทำน้ำเสียงให้ดูเหมือนตื่นเต้นเล็กน้อย
“ฝันไปเถอะ เอ็งกับข้าคงจะได้กินน้ำจิ้มลูกชิ้นคลุกข้าวมากกว่า” 
คำตอบของพี่เปี๊ยกฟังดูโหดร้ายเกินไป  แต่มันก็ไม่ไกลจากความเป็นจริง
 พ่อขับรถมาที่ตลาดอีกแห่งหนึ่งเพื่อแวะซื้อลูกชิ้นถุงใหญ่  คะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะมีอยู่หลายร้อยลูก  ทั้งลูกชิ้นเนื้อ  ลูกชิ้นหมู  ลูกชิ้นปลา  มันทำให้ผมฝันหวานถึงกลิ่นหอมๆ ของมันตอนที่ปิ้งอยู่บนเตาทันที
แต่ก็ได้แค่คิด !!
เมื่อกลับมาถึงห้อง  คนชื่อเพิงยืนรอพ่ออยู่หน้าห้องกับชายคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน 
เสื้อลายสก็อตสีฟ้าสอดอยู่ในกางเกงยีนสีน้ำเงินที่มีเข็มขัดเส้นใหญ่สีน้ำตาลคาดอยู่   หัวเข็มขัดเป็นรูปเสือสีดำกำลังกระโจนตะปปเหยื่อ  ลักษณะการแต่งตัวทำให้ชายคนนี้ดูแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ
ด้วยหน้าตาท่าทางที่นิ่งเงียบ  แต่ดูเหมือนซ่อนอะไรไว้มากมายและอาการนอบน้อมของนายเพิงที่มีต่อชายคนนี้บ่งบอกว่าเขาคงเป็นคนสำคัญ
 “โอ้โฮว่าไงจ่านพ ทำไมมาถึงที่นี่ได้” 
พ่อทักทายชายคนนั้นทันทีที่ปิดประตูรถ
“ไอ้พวนมันส่งข่าวข้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะมีเสือพลัดถิ่นมาที่นี่  ข้าเลยต้องรีบมาดักรอเสือหลงซะหน่อย  ไม่งั้นมันจะจับเหยื่อที่นี่ไปกินซะหมด”  
เสียงของเขาหนักแน่นและนิ่งเย็นพอๆ กับแววตา
“มิบังอาจจ่านพ  ฉันมันก็แค่เสือลำบากตัวนึงเท่านั้นแหละ” 
เสียงหัวเราะร่วนดังตามมาเมื่อสิ้นเสียงสัพยอก  ดูจากรูปการแล้วทุกคนต่างกริ่งเกรงคนที่ชื่อจ่านพคนนี้ไม่น้อยทีเดียว
“แล้วนี่พี่เชิดไปซื้ออะไรมาเยอะแยะ” 
คนชื่อเพิงถามพลางชะโงกหน้าไปดูของบนรถ
“ไปซื้ออุปกรณ์จะให้ไอ้สองตัวนี่มันขายลูกชิ้นปิ้ง” 
พ่อตอบแล้วชี้มาทางผมกับพี่เปี๊ยก
“ดีเลย  ถ้างั้นก็ไปขายที่สถานีรถไฟนั่นแหละเดี๋ยวฉันเคลียร์ทางกับนายสถานีให้เอง  รับรองไม่มีปัญหาที่นี่ถิ่นฉัน  แต่ตอนนี้เราเข้าไปเข้าไปคุยธุระเราในห้องฉันก่อนดีกว่า  เรื่องเตรียมขายของปล่อยให้พี่ณีเขาจัดการเถอะ” 
คนชื่อเพิงพูดเสร็จก็เดินหันหลังไปเปิดประตูห้อง
“ไปไอ้เชิดข้ามีงานสำคัญจะให้เอ็งทำ” 
จ่านพพูดพลางเอามือโอบไหล่พ่อเดินตามเข้าไปในห้องนายเพิง
@@@@@
                ของที่ซื้อมาทั้งหมดถูกเอาไปวางไว้หลังบ้าน  ผมกับพี่เปี๊ยกถูกสั่งให้เตรียมทุกอย่างตั้งแต่ติดเตา  ล้างอุปกรณ์  เสียบลูกชิ้นใส่ไม้  โขลกพริกทำน้ำจิ้ม
                เธอชี้นิ้วสั่งโดยไม่คิดจะแตะต้องของพวกนั้นไม่แต่น้อยและไม่แม้แต่จะถามผมกับพี่เปี๊ยกว่าเต็มใจที่จะทำงานนี้หรือเปล่า
                “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  เอ็งสองคนมีหน้าที่เตรียมของทุกอย่างให้เรียบร้อย  แล้วเข็นลูกชิ้นไปขายที่สถานีรถไฟ ลูกชิ้นทั้งหมดมีสองร้อยไม้  พวกเอ็งต้องขายให้หมด  ถ้าไม่หมดข้าจะให้เอ็งกินข้าวกับน้ำจิ้มลูกชิ้นนี่แหละ” 
เสียงของเธอยิ่งฟังดูไร้ความปราณีมากขึ้นทุกที  พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผมเหมือนจะบอกว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้นไม่ผิดไปจากความจริงสักนิด
                “ไอ้บอย  เอ็งไม่ใช่เด็กแล้วต่อไปนี้เอ็งต้องเอาลูกชิ้นใส่ถาดเข้าไปเดินขายในสถานีและบนรถไฟ  ส่วนไอ้บอยเอ็งรู้มากนัก  เอ็งไม่ต้องไปไหนข้าจะให้ยืนปิ้งลูกชิ้นเฝ้ารถเข็นอยู่ข้างหน้าสถานีนั่นแหละ  ไม่ต้องห่วงหรอกข้าจะเฝ้าพวกเอ็งอยู่ที่นั่นทั้งวัน” 
เธอแจกแจงแบ่งงานให้ผมกับพี่เปี๊ยกที่กำลังก้มหน้าก้มตาช่วยกันเสียบลูกชิ้นใส่ไม้      ในขณะที่ความหวาดกลัวที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนานกำลังก่อตัวเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง                                                                                                        ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในความเงียบลึกข้างใน  !!
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรต่อเสียงหัวเราะก็ดังมาจากห้องข้างๆ ครืนใหญ่  แต่ดูเหมือนมันจะกลายเป็นเสียงสนับสนุนให้เธอพูดต่อ 
“แล้วเอ็งสองคนก็ไม่ต้องคิดหนีเหมือนอีสามตัวนั่นหล่ะ  เอ็งก็เห็นใช่มั๊ยว่าที่นี่มันถิ่นของใคร  ตอนนี้สายตาของพี่ชดเป็นสัปปะรด  มันไม่ง่ายเหมือนที่หาดใหญ่นะโว๊ย” 
เธอพูดพลางเอาปลายนิ้วชิ้วไปที่กลางหน้าผากของพี่เปี๊ยกจนหน้าหงาย  ผมเห็นพี่เปี๊ยกก้มหน้ากัดฟันกรอด
ความจริงเราปฏิเสธสิ่งที่เธอพูดไม่ได้  ตอนนี้สภาพของผมกับพี่เปี๊ยกไม่ต่างอะไรกับเหยื่ออันโอชะ ที่ตกอยู่ในวงล้อมของซาตาน !!
คำขู่ของเธอถูกตัดบทด้วยเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาในห้องเสียก่อน
“เสร็จกันหรือยังหละ”  คนชื่อเพิงถาม
“อีกนิดเดียวจ๊ะเหลือทำน้ำจิ้มอีกหน่อย”  แม่ตอบ
“เอาอย่างนี้  เดี๋ยวฉันจะล่วงหน้าที่คุยกับนายสถานี  ถ้าเสร็จแล้วก็เข็นไปที่นั่นได้เลยฉันจะรออยู่” 
นายเพิงหันหลังกลับออกไปเหลือแต่พ่อซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกเขาว่านายชด  ส่วนเธออีกคนผมจะเรียกว่าน้าณี  
มันสุภาพและพอฟังได้ที่สุดแล้วกับความรู้สึกจริงๆ ที่ผมมี !!

@@@@@

                พี่เปี๊ยกจูงรถเข็นขายลูกชิ้นโดยมีผมเดินเกาะไปด้วย  ส่วนน้าณีเธอเดินตัวเปล่าคุมเราอยู่ด้านหลัง  มีเพียงเข็มขัดกระเป๋าที่เตรียมไว้ใช้ทอนเงินรัดเอวเท่านั้น 
                จากห้องเช่าผมเดินนับเสาไฟฟ้ามาถึงสถานีรถไฟได้แปดเสา  ใช้เวลาเดินไม่เกินสิบนาทีเราก็มาหยุดยืนอยู่หน้าสถานีที่เต็มไปด้วยรถสองแถวและผู้คนที่กำลังเดินทาง 
                เสียงประชาสัมพันธ์จากเครื่องขยายเสียงดังขึ้นเป็นระยะพอจับใจความได้ว่า  ขบวนรถจะมีทั้งขึ้นและล่อง   ปลายทางขาขึ้นคือจังหวัดเชียงใหม่  ปลายทางขาลงคือกรุงเทพฯ 
                ผมจะขึ้นหรือล่องดีล่ะ ?
                “ไอ้บอยมัวแต่เหม่ออะไรวะ  จัดลูกชิ้นใส่ถาดซิ” 
เสียงน้าณีตะกอกใส่ผมจะสะดุ้ง
                “มาพอดีเลยแม่ณีนี่พี่เกียรติ์  ผู้ช่วยนายสถานีที่นี่” 
นายเพิงเดินมาตอนไหนผมไม่ได้ทันเห็น  เขาแนะนำคนๆ หนึ่งที่ใส่เครื่องแบบสีกากีให้น้าณีรู้จัก
                “ก็ช่วยๆ ผมหน่อยอย่าขายให้เกะกะก็แล้วกัน  บางทีนายจากเขตมาตรวจเดี่ยวจะซวยกันหมด” 
คนชื่อเกียรติ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ 
                “จ๊ะคุณผู้ช่วย  แหมขอบคุณมากนะค่ะแล้วฉันจะให้ไอ้บอยเอาลูกชิ้นไปฝากทุกวันเลย” 
น้าณีออกอาการประจบออกนอกหน้า
                “อ้อ.. คุณผู้ช่วยฉันขอฝากรบกวนสักเรื่องได้มั๊ยค่ะ”  น้าณีถาม
                “คือไอ้บอยลูกคนเล็กฉันมันเกเรมาก  ชอบหนีไปเที่ยวบ่อยๆ ถ้ารถไฟจะออกแล้วมันไม่ยอมลงจากขบวนรถ  ช่วยให้ใครไล่มันลงเลยนะจ๊ะไม่ต้องเกรงใจ  ถ้ามันดื้อก็ตีมันเลย” 
คำพูดของน้าณีทำให้ผมเจ็บแปลบไปในความรู้สึก
                “ก็ได้” 
คนในเครื่องแบบรับปากแล้วเดินกลับไป
                “ไอ้หนูเอ็งเกเรจริงๆ เหรอวะ?” 
คนชื่อเพิงถามผมแต่น้าณีชิงตอบแทน
                “เพราะพวกมันนี่แหละฉันกับพี่ชดถึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาที่นี่ไง  ไอ้พวกนี้มันแสบต้องกำราบมันไว้พี่เพิง” 
เธอพูดเหมือนยกความผิดทั้งหมดมาให้ผมกับพี่เปี๊ยก  แต่ก็ดูเหมือนได้ผลเพราะคำพูดของนายเพิงที่ย้อนกลับมาบ่งบอกในทันทีว่าเขาเป็นคนอันตรายที่ผมกับพี่เปี๊ยกต้องอยู่ห่างๆ เข้าไว้
                “ไอ้หนูเอ็งอยู่ที่นี่ซ่าส์ไม่ได้หรอกโว๊ย  เอ็งรู้ไว้ด้วยว่าเด็กที่ขายของในสถานีรถไฟนี่คนของข้าทั้งนั้น   แค่เอ็งขยับนิดเดียวเท่านั้น  มันจะมารุมฉีกเนื้อเอ็งเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว  เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือน” 
นายเพิงพูดพลางจ้องมองเขม็งเข้ามาในตาผม                                                                                                      มันเหมือนแววตาของซาตานที่กำลังจ้องเหยื่อ !!                                                                                                         
.........................