วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 7)

เพื่อนใหม่


ภาพจาก http://www.unicef.org                                                                           จีรวัฒน์ ครองแก้ว


ผมเก็บกระดาษเลือดแผ่นนั้นไว้ในหนังสือเล่มเดิมแล้วเดินออกจากบ้านตรงไปที่สนามเด็กเล่นเพื่อสมทบกับพวกพี่ๆ
                ยังไม่ทันที่จะข้ามถนน  สายตามก็เหลือบไปเห็นรถบรรทุกคนเดิมยังจอดอยู่  ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้
                ทุกอย่างดูเงียบกริบเหมือนไม่มีใครอยู่ไม่ว่าคนขับหรือเด็กติดรถสักคน  มีแต่เปลเชือกที่แกว่งไปมาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งจะมีคนเพิ่งลุกจากมัน
                มองหาใครไอ้หนู 
เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้ง
                ปะๆเปล่าจ๊ะ  เดินมาดูเฉยๆ บ้านผมอยู่ตรงนี้เอง 
ผมพูดพลางชี้มือไปที่บ้าน
                ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้  ร่างของเขาสูงโปร่ง  ใบหน้าคมคายได้รูปแม้จะผิวคล้ำเหมือนคนขับรถสิบล้อทุกคนที่ผมเคยเห็นแต่ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างกับแววตาที่ดูอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรมากกว่าคนขับรถสิบล้อคนอื่นๆ
                อ๋อ..แล้วเราชื่ออะไรล่ะ 
คนขับรถสิบล้อถามพร้อมกับโน้มตัวลงมาเพื่อมองหน้าผมให้ถนัดขึ้น
                ชื่อบอย 
                ข้าชื่อเมฆนะ  เรียกว่าน้าเมฆก็ได้  ข้าน่าจะอ่อนกว่าแม่เอ็งมั๊ง  เคยเห็นที่นั่งรถด้านหน้ากระบะกับพ่อเอ็งทุกวันใช่มั๊ย ?” 
ผมพยักหน้ารับ  เสียงเหน่อๆ ของเขาน่าฟังและทำให้ผมผ่อนคลายลงไปมาก  มากพอที่จะกล้าถามเขากลับไปบ้าง
                น้ามาทำอะไรที่นี่ ?” 
จริงๆ ผมอยากจะถามว่ามาจอดรถทำไมที่นี่มากกว่า
                ข้ามาส่งของให้โรงงานน้ำมันปาล์มที่อยู่ตรงข้ามปากซอยนี่แหละ  เห็นทำเลตรงนี้มันเหมาะเลยเอารถมาจอดกะว่าจะพักสักสี่ห้าวันรอของจากหาดใหญ่ขนขึ้นกรุงเทพฯ ตอนกลับ 
ผมพยักหน้ารับแต่จริงๆ นั้นก็แค่เข้าใจว่าเขามาส่งของและรอขนของกลับเท่านั้นเองส่วนน้ำมันปาล์มคืออะไรนั้นผมไม่รู้เรื่องหรอก
                ว่าแต่พวกพี่ๆ เอ็งไปไหนกันหมดล่ะ  ข้าเคยมองไปเห็นมีเด็กรุ่นๆ อยู่อีกสามสี่คนไม่ใช่เหรอ 
น้าเมฆหมายถึงพวกพี่ๆ ของผม  แสดงว่าเขาก็เป็นคนช่างสังเกตไม่น้อยเหมือนกัน
                ไปเล่นฝั่งโน้นกันหมด  ผมตอบ
                อ้าวแล้วไม่ไปเล่นกับเขาเหรอ 
น้าเมฆถามพลางหยิบกระป๋องใบเล็กใต้ท้องรถออกมาแล้วนั่งลงขยำผ้าที่แช่อยู่
                ปวดท้อง ท้องเสีย 
น้าเมฆพยักหน้ารับคำตอบพร้อมกับบิดผ้าในมือแล้วโหนตัวขึ้นไปด้านหน้ารถเพื่อเช็ดกระจกมองข้างก่อนจะหันมาพูดว่า 
“เคยเห็นข้างในรถสิบล้อมั๊ย ?”  ผมส่ายหน้า
                “อยากเห็นมั๊ย” 
น้าเมฆถามพลางยิ้มที่มุมปาก 
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปหา  น้าเมฆดึงมือให้ผมโหนขึ้นไปด้านบน
“โอ้โห...”
ผมอุทานขึ้นมาอย่างลืมตัวไปกับความตื่นตาตื่นใจข้างหน้า 
ห้องคนขับสิบล้อกว้างใหญ่กว่าที่ผมคิด  เบาะหนังสีดำหนาหนุ่มนั่งสบายกว่ากระบะท้ายที่นั่งอยู่ทุกวันหลายเท่า  ด้านหน้ารถเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่ที่สะดุดตากลับเป็นรูปใบเล็กที่เหน็บอยู่ตรงกระจกหน้าเหนือที่นั่งคนขับ
ผมจ้องมองรูปนั้นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว
“ลูกชายกับลูกสาวฉันนะ” 
น้าเมฆพูดขึ้นเบาๆ
“ลูกสาวโคนโตอายุสิบสองแล้วส่วนคนเล็กเจ็ดขวบน่าจะเท่าบอยนะ” 
น้าเมฆดึงรูปนั้นลงมา
“เอ็งว่าคนไหนเหมือนข้ามากกว่ากัน” 
น้าเมฆถาม  ผมเพ่งดูรูปนั้นอีกครั้งแล้วชี้ไปที่เด็กผู้หญิง
“ใช่ลูกสาวเขาเหมือนฉันส่วนลูกชายเขาเหมือนแม่  แล้วเอ็งล่ะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่”  น้าเมฆหันมาถาม 
มันเป็นคำถามที่ผมไม่มีคำตอบให้  ไม่ว่าจะถามผมอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง !!
ไม่เป็นไรคงเหมือนทั้งสองคนนั่นแหละ  เอาอย่างนี้น้ามีเปลที่นอนสบายสุดในโลกให้นอนเล่นลองดูมั๊ย ?” 
น้าเมฆเปลี่ยนเรื่องคุย
                ผมพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด  น้าเมฆชี้มือไปที่เปลท้ายรถแล้วเปิดประตูอุ้มผมลงไป
                ผมไม่เคยนอนเปลมาก่อนในชีวิตเคยเห็นแต่ของชาวบ้านในตลาดหาดใหญ่  จึงมีอาการเก้ๆกังๆ จนน้าเมฆต้องเดินเข้ามาใกล้
                “เอ็งไม่เคยนอนเล่นบนเปลแบบนี้เหรอ ?” 
น้าเมฆถาม  ผมพยักหน้ารับ
                “เอาก้นขึ้นไปนั่งก่อนแล้วหมุนตัวเอาเท้ากับหัวขึ้นไป” 
น้าเมฆจัดแจงประคองผมให้ขึ้นไปนอนบนเปลจนได้ 
                แค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนได้รับการดูแลจากญาติผู้ใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่รู้หรอกว่าการมีญาติมันเป็นอย่างไร
                น้าเมฆเดินเข้าไปในรถแล้วกลับออกมาโดยมีบางอย่างถืออยู่ในมือ
                “เอ้านี่...  นอนให้เพลินเลยไอ้หนู  ข้าจะเปิดวิทยุให้ฟัง” 
น้าเมฆเปิดวิทยุเครื่องนั้นแล้วหมุนหาคลื่นจนไปหยุดอยู่ที่เพลงๆ หนึ่ง  มันเป็นเพลงลูกทุ่งที่ผมเคยได้ยินในตลาด
                ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเห็นวิทยุ  แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังวิทยุจริงกับเขา  เคยเห็นแต่เขาเปิดกันในตลาดไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสมานอนฟังมันเต็มสองหูบนเปลที่แกว่งไปมาชวนเคลิ้มแบบนี้
                นี่มันสวรรค์น้อยๆ ของผมจริงๆ

@@@@@

                เฮ้ย !!  ตื่นไอ้บอย” 
เสียงที่เรียกมาพร้อมกับแรงเขย่าจนผมโยกคลอนอยู่บนเปล  เมื่อปรือเปลือกตาขึ้นดูก็เห็นพี่เปี๊ยกยืนตาเขียวอยู่
                “ลุกๆ  นอนหลับเพลินเลยนะมึง  เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ได้ซวยกันหมด” 
พี่เปี๊ยกดุเพื่อกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นจากเปล
                เมื่อบิดขี้เกียจจนตาสว่างแล้วผมก็เห็นทั้งพี่นุช พี่ส้มพี่สร้อยยืนอยู่ตรงนั้นด้วย 
                “ไปเถอะบอยอย่ามากวนน้าเมฆเขาเลย  น้าเขาจะได้พักผ่อน” 
พี่นุชพูดขึ้น
                “ไม่เป็นไรหรอก  น้าพักมาหลายวันแล้วนี่ได้เจ้าบอยมาเล่นด้วยก็ดีจะได้ไม่เหงา” 
น้าเมฆออกตัวให้ผม  แสดงว่าพวกเขาต้องทำความรู้จักกันก่อนที่ผมจะตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
                “แล้วน้าเมฆจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนล่ะ”  พี่เปี๊ยกถาม
                “อีกสามวัน”  น้าเมฆตอบ
                “อีกสามวัน” 
ทั้งพี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยทวนคำตอบของน้าเมฆพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้ว่าประหลาดใจระคนดีใจ
                “ทำไมเหรอ  พวกเอ็งมีอะไร  อย่าบอกนะว่าจะฝากของไปกรุงเทพฯ  ของที่น้าบรรทุกกลับนี่มันเหม็นๆ ทั้งนั้นบางทีก็เป็นพวกอาหารทะเลแห้ง บางทีก็เป็นหนังวัวตากแห้งเหม็นบรรลัยเลย  พวกเอ็งจะฝากอะไรล่ะ” 
ดูเหมือนน้าเมฆก็แปลกใจแต่ยังไม่คิดไปไกล
                “ฝากคนจ๊ะ” 
พี่สร้อยสอดขึ้นจนได้
                “อะไรนะ !!  เอ็งว่ายังไงนะพูดอีกทีสิ” 
น้าเมฆอุทาน
                “คืออย่างนี้น้าเมฆ  คือว่า.....” 
พี่เปี๊ยกตัดสินใจเป็นคนอธิบายแต่ไม่วายอึกอัก
                “มีปัญหาอะไรไหนลองว่าไปสิ”  น้าเมฆเริ่มอยากรู้
                พี่เปี๊ยกหันไปมองหน้าพี่นุชเหมือนจะขอคำปรึกษา  พี่นุชพยักหน้ารับ  พี่เปี๊ยกจึงหันไปพูดกับน้าเมฆ 
“คือว่าฉันอยากจะฝากพี่สาวกับน้องสาวฉันทั้งสามคนนี่ไปกับน้าด้วย” 
พี่เปี๊ยกไม่พูดเปล่าแต่ยกสองมือขึ้นไหว้เหมือนวิงวอน
                “มันเรื่องอะไรกัน  พ่อกับแม่เอ็งจะได้เอาข้าตายนะสิ” 
น้าเมฆพูดพลางส่ายหน้า
                “เขาไม่ใช่พ่อแม่พวกหนู” 
พี่นุชพูดสวนทันควัน
                “อะไรนะ !!”  
น้าเมฆอุทานเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
                “จริงๆ จ๊ะน้า  พวกเรามาจากไหนก็ไม่รู้   เราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ  ไม่มีอะไรที่พวกเราเหมือนกันเลยน้าดูสิ” 
คำตอบของพี่เปี๊ยกทำให้น้าเมฆนิ่งเงียบแล้วกวาดตามองพวกเราทุกคนช้าๆ  ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า 
“แต่เขาก็เลี้ยงดูพวกเอ็งมาไม่ใช่เหรอ ?” 
                “เขากำลังจะขายพวกเราสามคนอีกไม่กี่วันนี้แล้ว” 
พี่นุชพูดพร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตา  พี่ส้มและพี่สร้อยก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
                “เฮ้ย !!” 
น้าเมฆอุทานเสียงหลง
                “จริงๆ จ๊ะน้าเมฆ  ไอ้บอยยืนยันได้มันแอบได้ยินมากับหู” 
พี่เปี๊ยกมองมาทางผม  น้าเมฆมองตาม
                “จริงหรือบอย” 
น้าเมฆถามผม
                “จริงครับ”  ผมยืนยัน
                “ไอ้คนที่จะพาเราไปขายมันมาดูตัวพวกเราแล้ว” 
พี่นุชตอบไปสะอื้นไป  แต่ยังไม่ทันที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป  พี่ส้มที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็ร้องเสียงหลง
                “เสียงรถ....  เสียงรถพ่อ เขากลับมากันแล้ว” 
                “เร็วๆ วิ่ง” 
พี่เปี๊ยกบอกทุกคนแล้วข้อคว้ามือผมวิ่งเข้าบ้านทิ้งน้าเมฆให้ยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น
                โชคดีที่ก่อนจะถึงบ้านนั้นทางในซอยจะเป็นโค้งหักข้อศอกประมาณสามสี่ร้อยเมตร  มันใกล้พอที่จะทำให้พี่ส้มได้ยินเสียงรถกระบะปุโรทั่งที่คำรามลั่นของพ่อได้  ก่อนที่เขาจะทันได้เห็นพวกเรา
                พี่นุชกับพี่ส้มรีบวิ่งไปที่หลังบ้านทำทีเป็นติดเตาเพื่ออุ่นกับข้าว  ส่วนพี่สร้อยรีบหยิบไม้กวาดมากวาดพื้นแต่ดูเหมือนมือที่จับไม้กวาดจะสั่นเทิ้มเล็กน้อย  ส่วนผมกับพี่เปี๊ยกที่วิ่งมาหลังสุดทำได้แค่นั่งลงตรงกองหนังสือแล้วพลิกมันไปมา
                “ปัง !!” 
เสียงประตูที่ปิดอย่างรุนแรงทำให้พวกเรารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนกลับมาด้วยอารมณ์แบบไหน
                “กูไม่เข้าใจเลยว่าอีเจ๊นั่นมันจะตั้งแง่อะไรนักหนา” 
พ่อเปิดฉากคุยกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
                “คงกลัวว่าจะมีปัญหาเหมือนคราวก่อนมั๊ง”  
แม่พูดแล้วเดินตามพ่อเข้าไป
                “ก็กูบอกแล้วไงว่ามันสุดวิสัย  อีนังเด็กสองคนนั่นมันรนหาที่เอง” 
พ่อยังหัวเสียและพูดถึงใครที่พวกเราไม่เคยรู้จัก
                แม่รีบเดินมาปิดประตูห้อง  คำสุดท้ายที่ผมได้ยินชัดเจนคือเสียงที่แม่ปรามพ่อให้เบาเสียงลง  จากนั้นก็เหลือแต่เสียงพึมพำของทั้งคู่คุยกันอยู่ในห้องนานนับชั่วโมง
                แม้จะไม่มีใครกล้าแอบฟังแต่พวกเราก็พอจะเดาได้ว่า  มันต้องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาสองคนอย่างแน่นอน 
                หรือว่า........
                หรือว่าอาจจะเป็นเรื่องสำคัญของพี่สาวทั้งสามคน !!

@@@@@

                ก่อนเข้านอนคืนนั้นผมแอบเอาของสองชิ้นไปซ่อนไว้ใต้หมอน  ชิ้นแรกเป็นไฟฉายอีกชิ้นหนึ่งคือกระดาษเลือดแผ่นนั้น
                แต่คืนนี้ต่างไปจากคืนก่อน  ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดตั้งใจที่จะไม่หลับ  ปล่อยให้ช่วงเวลาของความอึดอัดเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ  จนทุกอย่างเงียบสงัด  ได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นระงมอยู่รอบบ้าน
                ผมเอื้อมมือไปสะกิดให้พี่เปี๊ยกตื่น
                “อะไรบอย” 
พี่เปี๊ยกพลิกตัวมาทางผมแล้วกระซิบถาม
                “จะให้ดูอะไรนี่” 
พูดเสร็จผมล้วงมือไปหยิบไฟฉายใต้หมอน  มันเป็นไฟฉายขนาดเล็กเมื่อเปิดมันจึงไม่รบกวนสายตามากนัก  จากนั้นหยิบกระดาษสำคัญแผ่นนั้นออกมา
                “อะไรน่ะ ?” 
พี่เปี๊ยกถามอีกครั้ง
                ผมคลี่กระดาษที่พับครึ่งนั้นกางออก  เอาไฟฉายส่องไปให้เต็มหน้ากระดาษ
                “เอ็งก็รู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก  จะให้ข้าดูทำไม” 
พี่เปี๊ยกทำสีหน้างุนงง
                “พี่ดูดีๆ ซิ” 
ผมกระตุ้นให้พี่เปี๊ยกดูอีกครั้ง  คราวนี้พี่เปี๊ยกชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระดาษแผ่นนั้นแล้วเอาปลายนิ้วแตะไปตามรอยสีแดงที่เกรอะกรังอยู่บนกระดาษก่อนที่จะทำตาลุกวาว !!
                “เฮ้ย.. นี่มันเลือดนี่หว่า” 
พี่เปี๊ยกอุทาน
                “เอ็งไปเอามาจากไหน ?” 
พี่เปี๊ยกถามอย่างสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
                “มันอยู่ในหนังสือ” 
ผมกระซิบตอบ  แต่ยังไม่ทันที่พี่เปี๊ยกจะได้ถามอะไรต่อ  เสียงกุกกักในห้องนอนของพ่อกับแม่ก็ทำให้ผมต้องรีบปิดไฟฉายและสอดกระดาษแผ่นนั้นไว้ใต้หมอน
                เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ  ผมกับพี่เปี๊ยกนอนนิ่งแต่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ไม่กี่อึดใจจึงมีเสียงปิดประตูและลงกลอน  อาจจะเป็นแม่ที่เปิดประตูออกมาดูพวกเรา 
                นาทีนี้ทุกย่างก้าวของพวกเขากลายเป็นความหวาดกลัวของพวกเราไปแล้ว !!
............................

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เด็กชายที่หายไป (บทที่ 6)


ปมปริศนา


ภาพจาก  http://tribune.com.pk                                                                          จีรวัฒน์ ครองแก้ว


              เมื่อกลับมาบ้านในเย็นวันนั้นความประหลาดใจก็เกิดขึ้นกับพวกผมมากขึ้นไปอีก  โดยเฉพาะกับพี่สาวทั้งสามคน 
แม่เรียกพี่นุช พี่ส้มและพี่สร้อยเข้าไปหาพร้อมกับหยิบถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาวางไว้กลางบ้าน
                “พวกเอ็งเป็นสาวแล้วต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดีหน่อย” 
แม่หยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงใบนั้น  มันเป็นเสื้อยืดคอวีลายดอกไม้กับกางเกงสามส่วนสีพื้นรวมสามชุด
                ผมแทรกตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นได้ชัดๆ
กลิ่นเสื้อผ้าใหม่ลอยเตะจมูกเป็นครั้งแรกในชีวิต !!
                “นี่ของนุช นี่ของส้มและนี่ของสร้อย” 
แม่แจกเสื้อผ้าให้พี่สาวทั้งสามคนของผมคนละชุด  น้ำเสียงของเธอฟังดูเปลี่ยนไป  สรรพนามสำหรับพี่สาวทั้งสามคนที่เคยมีอีนำหน้าตอนนี้ได้หายไปแล้ว  แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ยินดียินร้ายกับเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมชุดแรกในชีวิตกับสำเนียงที่ฟังรื่นหูกว่าเมื่อก่อนของแม่นักแต่ยังไงก็ต้องรับมันไว้  คงมีพี่สร้อยเท่านั้นที่หยิบเสื้อมาทาบอกแล้วทำตาพองโต
                “แต่อย่างเพิ่งใส่นะเดี๋ยวมันจะเก่าซะหมด  เอาไว้ใส่อาทิตย์หน้า” 
แม่บอกราวกับว่าเสื้อผ้าใหม่เหล่านั้นมันสำคัญกับวาระอะไรบางอย่าง
                “เฮ้ย... อาทิตย์น่งอาทิตย์หน้าอะไรกัน  เอ็งนี่เลอะเทอะ” 
เสียงพ่อตวาดแม่มาจากวงเหล้าหลังบ้าน
                “เอ่อ... คือ คือหมายถึงว่ายังไม่ต้องใส่มันหรอก  รอให้ตัวเก่ามันขาดก่อนนะ” 
แม่รับคำพ่อด้วยท่าทางอึกอัก  พี่เปี๊ยกหันมาทางผมแล้วหลิ่วตาเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
                ยังไม่หมดแค่นั้นแม่ล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในถุงกระดาษใบนั้นอีกครั้ง  มันเป็นกล่องอะไรสักอย่างขนาดเหมาะมือ
                “และนี่แป้งผัดหน้าเอ็งสามคนเอาไปใช้  เนื้อตัวจะได้หอมๆ เหมือนสาวๆ ในตลาดกับเขามั่ง” 
แม่ยื่นกล่องแป้งให้พี่นุช  เธอรับมันด้วยอาการเรียบเฉยเช่นเดิม
                คืนนั้นแม่ให้พวกเราเข้านอนเร็วกว่าปกติแถมกำชับพี่สาวทั้งสามคนว่าต่อไปนี้ให้นอนเร็วขึ้นเพราะร่างกายจะได้พักผ่อน  จะได้ดูไม่หมองและมีน้ำมีนวลขึ้น
                ดูเหมือนพี่นุชจะตีความหมายของแม่ออกมากกว่าใคร  แววตาที่ดูไม่ยินดียินร้ายและเฉยเรียบในตอนนี้ดูเหมือนคนเย็นชาไปแล้ว  แต่ก็พยายามที่จะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาให้ดูผิดสังเกต
                การนอนเร็วขึ้นกว่าปกติทำให้ผมกระสับกระส่าย  อาการนอนไม่หลับของเด็กวัยเจ็ดขวบทำให้ต้องพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบจนพี่เปี๊ยกหันมากระซิบถาม
                “ไอ้บอย... เอ็งเป็นอะไรวะคืนนี้  นอนไม่หลับเหรอ ?” 
เสียงพี่เปี๊ยกแผ่วเบาแต่ก็พอที่จะได้ยินกันเพียงสองคน  ในขณะที่ผมพยักหน้ารับก่อนที่จะกระซิบถามกลับไป
                “ทำไมเราไม่ไปกับพี่นุชล่ะ ?”
                พี่เปี๊ยกนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ 
“เราเป็นลูกผู้ชายต้องเสียสละ  ถ้าไปกันหลายคนคงลำบากแน่” 
                ดูเหมือนพี่เปี๊ยกจะรู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนักจึงเอื้อมมือมาจับหัวผมแล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า  “แต่ข้าสัญญาว่าข้าจะพาเอ็งไปจากที่นี่ให้ได้ !!
@@@@@
                รุ่งเช้าในแต่ละวันกลายเป็นวันที่มีความหมายสำหรับพี่สาวทั้งสามคนของผม  พวกเธอนับวันถอยหลังด้วยใจระทึก
                แต่สำหรับวันนี้ดูเหมือนจะระทึกใจยิ่งกว่าเมื่อวาน !!
                ยังไม่ทันที่พ่อจะสตาร์ทเครื่องรถพาพวกเราออกจากบ้านเหมือนเช่นทุกวัน  รถคันนั้นก็ขับสวนเข้ามาเสียก่อนและมันได้กลายเป็นสิ่งระทึกใจสำหรับวันนี้ขึ้นมาทันที
                “ไอ้หน้าบา...” 
พี่สร้อยอุทานยังไม่ทันจะสิ้นคำพี่นุชต้องรีบเอามือไปปิดปากไว้ก่อน
                ต้นเหตุของข่าวร้ายเดินมายืนคุยกับพ่อที่ยังไม่ทันได้ลงจากรถ
                “เจ๊เขาอยากคุยเงื่อนไขอะไรอีกนิดหน่อย  และก็เรื่องเงินๆทองๆ ด้วย” 
ชายหน้าบากเอ่ยกับพ่อ
                “เอ็งไม่คุยแทนข้าไปเลยวะไอ้พวน”  พ่อพูด
                “ลำพังข้าเองไม่มีปัญหาหรอก  แต่เจ๊สิแกต้องการความมั่นใจว่าเด็กมันจะ.........” 
ชายหน้าบากลากเสียงยาวแล้วชำเลืองมองมาทางพวกเรา  ทุกคนต่างหลบสายตาเหี้ยมเกรียมนั้นทันที
                “เออ.. ไปก็ไปคุยที่นี่ไม่เหมาะว่ะ” 
เสียงพ่อตัดบทแล้วหันไปพยักหน้ากับแม่
                “วันนี้ข้ามีธุระด่วน  พวกเอ็งลงไปอยู่ในบ้านก่อน” 
แม่เดินมาบอกพวกเรา  แต่ยังไม่สิ้นเสียงพี่สร้อยก็กระโดดลงจากรถเป็นคนแรกก่อนที่เสียงพ่อจะตะโกนไล่หลัง
                “อย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงแอบไปเล่นกับเด็กฝั่งโน้นไม่งั้นกลับมาหลังลายแน่” 
                ในขณะที่แม่เริ่มทำดีกับพี่สาวทั้งสามคนจนผิดสังเกต  แต่สำหรับพ่อ  เขายังคงดุดันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
                พวกผมทั้งห้าคนเดินเข้าไปในบ้าน  พี่นุชทำทีเป็นปิดประตูลงกลอนและเดินไปที่หน้าต่าง  ค่อยๆ แอบดูว่าพวกเขาจะขับรถออกไปเมื่อไหร่ 
                ผมเริ่มรับรู้ได้ในทันทีว่า  ช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป  ความตื่นเต้นระทึกใจจะเข้ามาเยือนมากขึ้นทุกวัน
                ทันทีที่เสียงรถทั้งสองคันเคลื่อนตัวพ้นห่างออกไป  พี่นุชเรียกทุกคนมานั่งล้อมวงกลางบ้าน คำพูดแรกที่หลุดจากปากของเธอหนักแน่นกว่าทุกครั้งที่ผมเคยได้ยิน
                “อีกสามวันเราจะหนี !!
                “พี่รู้แล้วเหรอว่าเราจะไปไหนกัน” 
พี่สร้อยสอดขึ้นเป็นคนแรกไม่เคยพลาด
                “บ้านลุงใจดี”  พี่นุชเปรย
                “ลุงใจดีไหนกัน”  พี่ส้มถาม
                “เมื่อวานข้าเจอลุงใจดีที่บ้านหลังใหญ่  ข้าเชื่อว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่โจรแน่” 
พี่นุชพูดอย่างมั่นใจ
                “แล้วพี่นุชจะไปยังไง” 
พี่เปี๊ยกถามขึ้น
                “ข้ามีเบอร์โทรศัพท์”
พี่นุชตอบด้วยแววตาที่มีความหวัง
                “ข้าหมายถึงพี่นุชจะนั่งรถอะไรไปเราไม่มีรถ  แล้วหาดใหญ่ก็อยู่ไกลจากที่นี่เกือบชั่วโมง” 
คำพูดย้ำของพี่เปี๊ยกดูเหมือนจะทำให้พี่ส้มและพี่สร้อยเครียดขึ้นมาในทันที
                “ข้าไม่รู้เหมือนกัน  แต่ข้าจะต้องไปให้ได้” 
พี่นุชเน้นเสียงหนักแน่น  นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนเติมความโกรธที่มีทั้งหมดเอาไปไว้รวมกัน
                “ว่าแต่เอ็งกับไอ้บอยแน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปด้วยกัน ?” 
พี่นุชหันมาถามพี่เปี๊ยก
                “พี่นุชไปกันสามคนก่อนเถอะ  ดูซิแค่คิดจะไปกันสามคนยังหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ แล้วถ้าขนกันไปหมดนี่  ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาเราจะซวยกันหมด”   พี่เปี๊ยกตอบ
                “เชื่อข้าเถอะ  ข้าไม่อยากให้ไอ้บอยมันโตขึ้นมาเหมือนพวกเราหรอก  ข้าอยากให้มันมีอนาคตดีๆ ที่สำคัญ....”  
พี่เปี๊ยกย้ำความตั้งใจแล้วเงียบไป
                “ที่สำคัญอะไร” 
พี่สร้อยสอดขึ้น  พี่เปี๊ยกหันมามองหน้าผม 
“ไอ้บอยมันอาจจะได้เจอพ่อแม่จริงๆ ของมันก็ได้”   
                พี่นุชพยักหน้ารับทำให้ทุกหันกลับมาคุยถึงเรื่องการหนีของพี่สาวทั้งสามคนอีกครั้ง
                “ลองไปถามเด็กฝั่งโน้นมั๊ยเผื่อพวกมันมีรถ” 
พี่สร้อยโพล่งขึ้นอีกคราวนี้พี่เปี๊ยกกำมือเขกไปบนหัวพี่สร้อย 
“ปัทโธ่ !  มันจะมีรถได้ยังไงตัวเท่าลูกหมาทั้งนั้น  เอ็งจะหนีไปเล่นกับพวกมันซิไม่ว่า” 
                “โธ่.. ก็แค่คิดเอง” 
พี่สร้อยทำเสียงอ่อยแล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง
                “ก็ดีเหมือนกันเผื่อจะคิดอะไรออก” 
พี่นุชลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ  ทุกคนลุกขึ้นตามยกเว้นผม
                “อ้าวไอ้บอยเอ็งไม่ไปเหรอ” 
พี่ส้มหันมาถามผม
                “ไป  แต่...” 
ผมตอบไปด้วยอาการที่รู้สึกอึดอัดอะไรบางอย่าง
                “แต่อะไร” 
พี่เปี๊ยกถาม
                “ปวดท้องอึ” 
ผมตอบแบบอายๆ
                “ปัทโธ่  ไม่เป็นไรถ้าอย่างนั้นเอ็งตามไปทีหลังก็แล้วกัน” 
พี่เปี๊ยกพูดขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของพี่ส้มกับพี่สร้อย 
                ทุกคนเดินหายออกจากบ้านไปแล้ว  ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ  พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกองหนังสือที่ตัวเองวางไว้ที่มุมห้อง  ทำให้นึกขึ้นได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ผมควรจะทำก่อนไปเข้าห้องน้ำ
                ผมค่อยๆ หยิบหนังสือเล่มล่างสุดซึ่งหนาที่สุดออกมา  ลักษณะมันไม่ใช่หนังสือดาราอย่างแน่นอน  ประการแรกตัวหนังสือและรูปหน้าปกที่เห็นเป็นขาวดำทั้งหมด  ตรงกลางปกมีรูปครึ่งตัวของหญิงวัยชราคนหนึ่ง  มันดูเหมือนภาพสมัยโบราณอย่างน้อยก็น่าจะก่อนผมเกิดเสียอีก  กรอบรูปบนหน้าปกนั้นมีลายไทยล้อมรอบ  เมื่อเปิดเข้าไปด้านในก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหนังสืองานศพ  เพราะรูปงานศพของหญิงคนนั้นพิมพ์หราอยู่หลายรูป
                ผมพลิกไปจนถึงหน้าที่มีกระดาษแผ่นนั้นซ่อนอยู่  มันคงถูกพับไว้ในหนังสือเล่มนี้มานานพอดู  สีของกระดาษที่เคยขาวจึงเหลืองและเก่าซีด 
เมื่อกางกระดาษออก  มันทำให้ผมใจหายวูบ !!
กลางกระดาษมีตัวหนังสือเขียนไว้สี่ห้าคำที่ผมอ่านไม่ออก  แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ  ตัวหนังสือเหล่านั้นไม่ได้เขียนหรือพิมพ์ด้วยหมึกธรรมดาอย่างที่ผมเคยเห็นในหนังสือเล่มอื่นๆ  ลักษณะของหมึกมันซึมกระจัดกระจายจนแทบจะไม่เป็นตัวหนังสือ  แต่สำหรับคนที่อ่านหนังสือได้เชื่อว่าจะต้องอ่านรู้เรื่องอย่างแน่นอน 
พื้นที่ของกระดาษที่เหลือมีรอยหมึกหยดเป็นดวงเปรอะไปหมด   ผมพิจารณารอยหมึกและตัวหนังสือนั้นอีกครั้ง  มันทำให้ผมนึกถึงบางอย่างขึ้นมาในทันที 
มันไม่ใช่หมึก  เป็นตัวหนังสือที่เขียนด้วยเลือด !!
……………