เพื่อนใหม่
ภาพจาก http://www.unicef.org จีรวัฒน์ ครองแก้ว
ผมเก็บกระดาษเลือดแผ่นนั้นไว้ในหนังสือเล่มเดิมแล้วเดินออกจากบ้านตรงไปที่สนามเด็กเล่นเพื่อสมทบกับพวกพี่ๆ
ยังไม่ทันที่จะข้ามถนน สายตามก็เหลือบไปเห็นรถบรรทุกคนเดิมยังจอดอยู่
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้
ทุกอย่างดูเงียบกริบเหมือนไม่มีใครอยู่ไม่ว่าคนขับหรือเด็กติดรถสักคน มีแต่เปลเชือกที่แกว่งไปมาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งจะมีคนเพิ่งลุกจากมัน
“มองหาใครไอ้หนู”
เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้ง
“ปะๆเปล่าจ๊ะ
เดินมาดูเฉยๆ บ้านผมอยู่ตรงนี้เอง”
ผมพูดพลางชี้มือไปที่บ้าน
ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ร่างของเขาสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายได้รูปแม้จะผิวคล้ำเหมือนคนขับรถสิบล้อทุกคนที่ผมเคยเห็นแต่ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างกับแววตาที่ดูอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรมากกว่าคนขับรถสิบล้อคนอื่นๆ
“อ๋อ..แล้วเราชื่ออะไรล่ะ”
คนขับรถสิบล้อถามพร้อมกับโน้มตัวลงมาเพื่อมองหน้าผมให้ถนัดขึ้น
“ชื่อบอย”
“ข้าชื่อเมฆนะ เรียกว่าน้าเมฆก็ได้ ข้าน่าจะอ่อนกว่าแม่เอ็งมั๊ง เคยเห็นที่นั่งรถด้านหน้ากระบะกับพ่อเอ็งทุกวันใช่มั๊ย
?”
ผมพยักหน้ารับ เสียงเหน่อๆ ของเขาน่าฟังและทำให้ผมผ่อนคลายลงไปมาก มากพอที่จะกล้าถามเขากลับไปบ้าง
“น้ามาทำอะไรที่นี่
?”
จริงๆ
ผมอยากจะถามว่ามาจอดรถทำไมที่นี่มากกว่า
“ข้ามาส่งของให้โรงงานน้ำมันปาล์มที่อยู่ตรงข้ามปากซอยนี่แหละ เห็นทำเลตรงนี้มันเหมาะเลยเอารถมาจอดกะว่าจะพักสักสี่ห้าวันรอของจากหาดใหญ่ขนขึ้นกรุงเทพฯ
ตอนกลับ”
ผมพยักหน้ารับแต่จริงๆ
นั้นก็แค่เข้าใจว่าเขามาส่งของและรอขนของกลับเท่านั้นเองส่วนน้ำมันปาล์มคืออะไรนั้นผมไม่รู้เรื่องหรอก
“ว่าแต่พวกพี่ๆ
เอ็งไปไหนกันหมดล่ะ
ข้าเคยมองไปเห็นมีเด็กรุ่นๆ อยู่อีกสามสี่คนไม่ใช่เหรอ”
น้าเมฆหมายถึงพวกพี่ๆ
ของผม แสดงว่าเขาก็เป็นคนช่างสังเกตไม่น้อยเหมือนกัน
“ไปเล่นฝั่งโน้นกันหมด” ผมตอบ
“อ้าวแล้วไม่ไปเล่นกับเขาเหรอ”
น้าเมฆถามพลางหยิบกระป๋องใบเล็กใต้ท้องรถออกมาแล้วนั่งลงขยำผ้าที่แช่อยู่
“ปวดท้อง
ท้องเสีย”
น้าเมฆพยักหน้ารับคำตอบพร้อมกับบิดผ้าในมือแล้วโหนตัวขึ้นไปด้านหน้ารถเพื่อเช็ดกระจกมองข้างก่อนจะหันมาพูดว่า
“เคยเห็นข้างในรถสิบล้อมั๊ย
?” ผมส่ายหน้า
“อยากเห็นมั๊ย”
น้าเมฆถามพลางยิ้มที่มุมปาก
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปหา น้าเมฆดึงมือให้ผมโหนขึ้นไปด้านบน
“โอ้โห...”
ผมอุทานขึ้นมาอย่างลืมตัวไปกับความตื่นตาตื่นใจข้างหน้า
ห้องคนขับสิบล้อกว้างใหญ่กว่าที่ผมคิด
เบาะหนังสีดำหนาหนุ่มนั่งสบายกว่ากระบะท้ายที่นั่งอยู่ทุกวันหลายเท่า
ด้านหน้ารถเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ที่สะดุดตากลับเป็นรูปใบเล็กที่เหน็บอยู่ตรงกระจกหน้าเหนือที่นั่งคนขับ
ผมจ้องมองรูปนั้นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว
“ลูกชายกับลูกสาวฉันนะ”
น้าเมฆพูดขึ้นเบาๆ
“ลูกสาวโคนโตอายุสิบสองแล้วส่วนคนเล็กเจ็ดขวบน่าจะเท่าบอยนะ”
น้าเมฆดึงรูปนั้นลงมา
“เอ็งว่าคนไหนเหมือนข้ามากกว่ากัน”
น้าเมฆถาม ผมเพ่งดูรูปนั้นอีกครั้งแล้วชี้ไปที่เด็กผู้หญิง
“ใช่ลูกสาวเขาเหมือนฉันส่วนลูกชายเขาเหมือนแม่ แล้วเอ็งล่ะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่” น้าเมฆหันมาถาม
มันเป็นคำถามที่ผมไม่มีคำตอบให้ ไม่ว่าจะถามผมอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง !!
“ไม่เป็นไรคงเหมือนทั้งสองคนนั่นแหละ
เอาอย่างนี้น้ามีเปลที่นอนสบายสุดในโลกให้นอนเล่นลองดูมั๊ย ?”
น้าเมฆเปลี่ยนเรื่องคุย
ผมพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด น้าเมฆชี้มือไปที่เปลท้ายรถแล้วเปิดประตูอุ้มผมลงไป
ผมไม่เคยนอนเปลมาก่อนในชีวิตเคยเห็นแต่ของชาวบ้านในตลาดหาดใหญ่ จึงมีอาการเก้ๆกังๆ จนน้าเมฆต้องเดินเข้ามาใกล้
“เอ็งไม่เคยนอนเล่นบนเปลแบบนี้เหรอ
?”
น้าเมฆถาม ผมพยักหน้ารับ
“เอาก้นขึ้นไปนั่งก่อนแล้วหมุนตัวเอาเท้ากับหัวขึ้นไป”
น้าเมฆจัดแจงประคองผมให้ขึ้นไปนอนบนเปลจนได้
แค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ
ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนได้รับการดูแลจากญาติผู้ใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่รู้หรอกว่าการมีญาติมันเป็นอย่างไร
น้าเมฆเดินเข้าไปในรถแล้วกลับออกมาโดยมีบางอย่างถืออยู่ในมือ
“เอ้านี่... นอนให้เพลินเลยไอ้หนู ข้าจะเปิดวิทยุให้ฟัง”
น้าเมฆเปิดวิทยุเครื่องนั้นแล้วหมุนหาคลื่นจนไปหยุดอยู่ที่เพลงๆ
หนึ่ง มันเป็นเพลงลูกทุ่งที่ผมเคยได้ยินในตลาด
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเห็นวิทยุ
แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังวิทยุจริงกับเขา
เคยเห็นแต่เขาเปิดกันในตลาดไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสมานอนฟังมันเต็มสองหูบนเปลที่แกว่งไปมาชวนเคลิ้มแบบนี้
นี่มันสวรรค์น้อยๆ ของผมจริงๆ
@@@@@
“เฮ้ย !! ตื่นไอ้บอย”
เสียงที่เรียกมาพร้อมกับแรงเขย่าจนผมโยกคลอนอยู่บนเปล
เมื่อปรือเปลือกตาขึ้นดูก็เห็นพี่เปี๊ยกยืนตาเขียวอยู่
“ลุกๆ นอนหลับเพลินเลยนะมึง เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ได้ซวยกันหมด”
พี่เปี๊ยกดุเพื่อกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นจากเปล
เมื่อบิดขี้เกียจจนตาสว่างแล้วผมก็เห็นทั้งพี่นุช
พี่ส้มพี่สร้อยยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ไปเถอะบอยอย่ามากวนน้าเมฆเขาเลย น้าเขาจะได้พักผ่อน”
พี่นุชพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก
น้าพักมาหลายวันแล้วนี่ได้เจ้าบอยมาเล่นด้วยก็ดีจะได้ไม่เหงา”
น้าเมฆออกตัวให้ผม แสดงว่าพวกเขาต้องทำความรู้จักกันก่อนที่ผมจะตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“แล้วน้าเมฆจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนล่ะ”
พี่เปี๊ยกถาม
“อีกสามวัน” น้าเมฆตอบ
“อีกสามวัน”
ทั้งพี่นุช
พี่ส้มและพี่สร้อยทวนคำตอบของน้าเมฆพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้ว่าประหลาดใจระคนดีใจ
“ทำไมเหรอ พวกเอ็งมีอะไร
อย่าบอกนะว่าจะฝากของไปกรุงเทพฯ
ของที่น้าบรรทุกกลับนี่มันเหม็นๆ ทั้งนั้นบางทีก็เป็นพวกอาหารทะเลแห้ง
บางทีก็เป็นหนังวัวตากแห้งเหม็นบรรลัยเลย
พวกเอ็งจะฝากอะไรล่ะ”
ดูเหมือนน้าเมฆก็แปลกใจแต่ยังไม่คิดไปไกล
“ฝากคนจ๊ะ”
พี่สร้อยสอดขึ้นจนได้
“อะไรนะ !! เอ็งว่ายังไงนะพูดอีกทีสิ”
น้าเมฆอุทาน
“คืออย่างนี้น้าเมฆ
คือว่า.....”
พี่เปี๊ยกตัดสินใจเป็นคนอธิบายแต่ไม่วายอึกอัก
“มีปัญหาอะไรไหนลองว่าไปสิ” น้าเมฆเริ่มอยากรู้
พี่เปี๊ยกหันไปมองหน้าพี่นุชเหมือนจะขอคำปรึกษา พี่นุชพยักหน้ารับ พี่เปี๊ยกจึงหันไปพูดกับน้าเมฆ
“คือว่าฉันอยากจะฝากพี่สาวกับน้องสาวฉันทั้งสามคนนี่ไปกับน้าด้วย”
พี่เปี๊ยกไม่พูดเปล่าแต่ยกสองมือขึ้นไหว้เหมือนวิงวอน
“มันเรื่องอะไรกัน พ่อกับแม่เอ็งจะได้เอาข้าตายนะสิ”
น้าเมฆพูดพลางส่ายหน้า
“เขาไม่ใช่พ่อแม่พวกหนู”
พี่นุชพูดสวนทันควัน
“อะไรนะ !!”
น้าเมฆอุทานเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“จริงๆ จ๊ะน้า พวกเรามาจากไหนก็ไม่รู้ เราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ไม่มีอะไรที่พวกเราเหมือนกันเลยน้าดูสิ”
คำตอบของพี่เปี๊ยกทำให้น้าเมฆนิ่งเงียบแล้วกวาดตามองพวกเราทุกคนช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า
“แต่เขาก็เลี้ยงดูพวกเอ็งมาไม่ใช่เหรอ
?”
“เขากำลังจะขายพวกเราสามคนอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”
พี่นุชพูดพร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตา พี่ส้มและพี่สร้อยก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
“เฮ้ย !!”
น้าเมฆอุทานเสียงหลง
“จริงๆ จ๊ะน้าเมฆ ไอ้บอยยืนยันได้มันแอบได้ยินมากับหู”
พี่เปี๊ยกมองมาทางผม น้าเมฆมองตาม
“จริงหรือบอย”
น้าเมฆถามผม
“จริงครับ” ผมยืนยัน
“ไอ้คนที่จะพาเราไปขายมันมาดูตัวพวกเราแล้ว”
พี่นุชตอบไปสะอื้นไป แต่ยังไม่ทันที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป พี่ส้มที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็ร้องเสียงหลง
“เสียงรถ.... เสียงรถพ่อ เขากลับมากันแล้ว”
“เร็วๆ วิ่ง”
พี่เปี๊ยกบอกทุกคนแล้วข้อคว้ามือผมวิ่งเข้าบ้านทิ้งน้าเมฆให้ยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น
โชคดีที่ก่อนจะถึงบ้านนั้นทางในซอยจะเป็นโค้งหักข้อศอกประมาณสามสี่ร้อยเมตร
มันใกล้พอที่จะทำให้พี่ส้มได้ยินเสียงรถกระบะปุโรทั่งที่คำรามลั่นของพ่อได้ ก่อนที่เขาจะทันได้เห็นพวกเรา
พี่นุชกับพี่ส้มรีบวิ่งไปที่หลังบ้านทำทีเป็นติดเตาเพื่ออุ่นกับข้าว ส่วนพี่สร้อยรีบหยิบไม้กวาดมากวาดพื้นแต่ดูเหมือนมือที่จับไม้กวาดจะสั่นเทิ้มเล็กน้อย ส่วนผมกับพี่เปี๊ยกที่วิ่งมาหลังสุดทำได้แค่นั่งลงตรงกองหนังสือแล้วพลิกมันไปมา
“ปัง !!”
เสียงประตูที่ปิดอย่างรุนแรงทำให้พวกเรารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนกลับมาด้วยอารมณ์แบบไหน
“กูไม่เข้าใจเลยว่าอีเจ๊นั่นมันจะตั้งแง่อะไรนักหนา”
พ่อเปิดฉากคุยกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
“คงกลัวว่าจะมีปัญหาเหมือนคราวก่อนมั๊ง”
แม่พูดแล้วเดินตามพ่อเข้าไป
“ก็กูบอกแล้วไงว่ามันสุดวิสัย อีนังเด็กสองคนนั่นมันรนหาที่เอง”
พ่อยังหัวเสียและพูดถึงใครที่พวกเราไม่เคยรู้จัก
แม่รีบเดินมาปิดประตูห้อง
คำสุดท้ายที่ผมได้ยินชัดเจนคือเสียงที่แม่ปรามพ่อให้เบาเสียงลง จากนั้นก็เหลือแต่เสียงพึมพำของทั้งคู่คุยกันอยู่ในห้องนานนับชั่วโมง
แม้จะไม่มีใครกล้าแอบฟังแต่พวกเราก็พอจะเดาได้ว่า
มันต้องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาสองคนอย่างแน่นอน
หรือว่า........
หรือว่าอาจจะเป็นเรื่องสำคัญของพี่สาวทั้งสามคน
!!
@@@@@
ก่อนเข้านอนคืนนั้นผมแอบเอาของสองชิ้นไปซ่อนไว้ใต้หมอน
ชิ้นแรกเป็นไฟฉายอีกชิ้นหนึ่งคือกระดาษเลือดแผ่นนั้น
แต่คืนนี้ต่างไปจากคืนก่อน ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดตั้งใจที่จะไม่หลับ
ปล่อยให้ช่วงเวลาของความอึดอัดเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ จนทุกอย่างเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นระงมอยู่รอบบ้าน
ผมเอื้อมมือไปสะกิดให้พี่เปี๊ยกตื่น
“อะไรบอย”
พี่เปี๊ยกพลิกตัวมาทางผมแล้วกระซิบถาม
“จะให้ดูอะไรนี่”
พูดเสร็จผมล้วงมือไปหยิบไฟฉายใต้หมอน
มันเป็นไฟฉายขนาดเล็กเมื่อเปิดมันจึงไม่รบกวนสายตามากนัก จากนั้นหยิบกระดาษสำคัญแผ่นนั้นออกมา
“อะไรน่ะ ?”
พี่เปี๊ยกถามอีกครั้ง
ผมคลี่กระดาษที่พับครึ่งนั้นกางออก เอาไฟฉายส่องไปให้เต็มหน้ากระดาษ
“เอ็งก็รู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก จะให้ข้าดูทำไม”
พี่เปี๊ยกทำสีหน้างุนงง
“พี่ดูดีๆ ซิ”
ผมกระตุ้นให้พี่เปี๊ยกดูอีกครั้ง คราวนี้พี่เปี๊ยกชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระดาษแผ่นนั้นแล้วเอาปลายนิ้วแตะไปตามรอยสีแดงที่เกรอะกรังอยู่บนกระดาษก่อนที่จะทำตาลุกวาว
!!
“เฮ้ย.. นี่มันเลือดนี่หว่า”
พี่เปี๊ยกอุทาน
“เอ็งไปเอามาจากไหน ?”
พี่เปี๊ยกถามอย่างสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
“มันอยู่ในหนังสือ”
ผมกระซิบตอบ แต่ยังไม่ทันที่พี่เปี๊ยกจะได้ถามอะไรต่อ
เสียงกุกกักในห้องนอนของพ่อกับแม่ก็ทำให้ผมต้องรีบปิดไฟฉายและสอดกระดาษแผ่นนั้นไว้ใต้หมอน
เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ
ผมกับพี่เปี๊ยกนอนนิ่งแต่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่กี่อึดใจจึงมีเสียงปิดประตูและลงกลอน อาจจะเป็นแม่ที่เปิดประตูออกมาดูพวกเรา
นาทีนี้ทุกย่างก้าวของพวกเขากลายเป็นความหวาดกลัวของพวกเราไปแล้ว
!!
............................